บทที่ 94
ไม่นานนัก หลังจากถังหยินกลับไปยังเมืองชายแดน ชิวเจิ้น ไป่หยง และคนอื่น ๆ ที่พึ่งได้รับข่าวก็เข้ามาหาเขา
แน่นอนว่าทุกคนล้วนแล้วแต่ตื่นเต้นกับผลการต่อสู้ พวกเขาพากันคาดเดาถึงสีหน้าของถังหยิน และคิดไว้ว่าจะต้องเป็นใบหน้าแห่งความยินดีอย่างแน่นอน แต่ทว่ามันกลับกลายเป็นความเสียใจที่อยู่บนใบหน้าของชายหนุ่มแทน
ทุกคนได้แต่ตะลึง พวกเขาไม่เข้าใจว่าการที่ปราบพวกมอร์ฟีสได้มันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรือ ?
ถังหยินเลิกคิ้วขึ้น “พวกเจ้าคิดอยากจะฉลองกันงั้นหรือ ?”
“แน่นอน” จูนัวเป็นคนตรง ๆ เขาตอบรับไป “นานมากแล้วที่พวกเราไม่ได้เอาชนะพวกมอร์ฟีส ดังนั้นพวกเรามากินกันให้เต็มที่กันเถอะ !”
“ถูกต้อง” ทุกคนพูดตาม
ชายหนุ่มส่ายหัว “เท่าที่ข้ารู้ พวกมอร์ฟีสนั้นเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นมาก ครั้งนี้พวกมันพ่ายแพ้ที่เมืองหวาง ข้าไม่คิดว่าเราจะมีเวลาได้เตรียมตัวรับมือพวกมันเยอะนักหรอก”
จูนัวพูดไม่ออก สีหน้าของเขาดูผิดหวัง ในฐานะหัวหน้ากองพันที่ 3 ของเขตปิงหยวน เขาเองก็พอจะรู้เกี่ยวกับพวกมอร์ฟีสมาบ้าง และการคาดการณ์ของถังหยินก็ไม่ได้ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย ถ้าครั้งนี้พวกมันบ้าคลั่งขึ้นมา พวกเขาจะต้องลำบากมากแน่ ๆ
คนอื่นสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วก้มหัวลงนึกคิด
จากนั้นชิวเจิ้นก็ถาม “ถ้าพวกมันจะมาจริง ๆ ข้าละสงสัยเสียจริงว่ามันจะมากันกี่คน ?”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางโจวและไป่หยงพลันรีบตอบไปว่า “ในเมื่อพวกมันสูญเสียไปมากแบบนี้ ถ้างั้นพวกมันก็อาจจะมากันมากถึง 5 หมื่นนายเลยก็เป็นได้ !”
“นั่นมันเยอะมากทีเดียว !” ชิวเจิ้นพูดไม่ออก ตอนนี้ทหารในเขตปิงหยวนที่นับรวมเข้ากับ 2 กองพันจัดตั้งขึ้นใหม่ ก็มีเพียงแค่ 5 กองพันเท่านั้น เมื่อนับรวมกำลังพลแล้วมีไม่ถึง 5 หมื่นนายแน่ ๆ อีกทั้งทหารกว่าครึ่งก็เป็นพลทหารใหม่ไร้ประสบการณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นแล้วจึงไม่อาจหวังได้มากนัก
ไป่หยงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นายท่าน ดูเหมือนว่าเป้าหมายของพวกมันจะเป็นเมืองชายแดน ข้าคิดว่าเราควรทำการย้ายทหาร 2 กองมาไว้สำหรับป้องกันเมืองชายแดน ตราบเท่าที่พวกเราสามารถประคับประคองไปได้ พวกมันก็จะเป็นฝ่ายที่ถอยไปเอง”
“แม่ทัพไป่พูดถูก” ทุกคนพยักหน้าให้
ถังหยินพึมพำ “แม่ทัพไป่ แล้วเราควรส่งทหารกองไหนไปกัน ?”
“กองที่ 4 และ 5” ไป่หยงไม่พูดพร่ำทำเพลง
“กองพันใหม่งั้นหรือ ?” ชิวเจิ้นขมวดคิ้ว กองพันใหม่ทั้ง 2 นั้นเพิ่งจะถูกก่อตั้งและขาดเรื่องความพร้อม แล้วแบบนี้ถ้าให้พวกเขาทำการป้องกันเมืองชายแดนจะไหวหรือ “นี่มันจะไม่อันตรายไปหน่อยหรือ ?”
ไป่หยงถอนหายใจ “ท่านชิว ข้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ! แม้ว่าพวกมอร์ฟีสจะอยากบุกโจมตีเมืองชายแดน แต่พวกเราก็รับประกันไม่ได้หรอกว่าพวกมันจะไม่ลอบโจมตีที่อื่นอีก ดังนั้นการให้กองทหารที่มีประสบการณ์สู้รบตั้งทัพรออยู่ในสภาวะเตรียมพร้อมย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า และให้กองพันที่ 4 และ 5 รับหน้าที่ป้องกันที่นี่ เสมือนหนึ่งเป็นการฝึกฝนไปในตัวด้วยไงเล่า นี่นับเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ฝึกทหารของเรา แต่แน่นอนว่าข้าไม่ได้หวาดกลัวแต่อย่างใด ดังนั้นถ้าหากว่านายท่านต้องการจะส่งข้าไป ข้าก็ไม่คัดค้าน !”
ด้วยตำแหน่งหัวหน้ากองพันที่ 2 ของไป่หยง เขาจึงเกรงว่าคำที่พูดออกไปนั้นจะทำให้สหายและหัวหน้าของกองพันอื่น ๆ เกิดความเข้าใจผิด
ชิวเจิ้นครุ่นคิดอย่างหนัก เพราะแม้ว่าเขาจะเข้าใจในคำพูดของไป่หยง หากแต่การที่ให้กองทหารหน้าใหม่ออกไปรับหน้าพวกทหารเกราะหนัก มันจะไม่เป็นเรื่องที่โหดร้ายเกินไปหรือ ?
เขาส่ายหัวและพูดกับถังหยิน “นายท่าน การเลือกใช้กองพันที่ 4 และ 5 นั้น ข้าว่ามันค่อนข้างจะหนักหนาอยู่นะ”
เด็กหนุ่มพูดถูกต้อง เมืองชายแดนคือจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ถ้าเกิดว่าถูกตีแตกขึ้นมา มันจะถือว่าเป็นความผิดพลาดครั้งร้ายแรงในฐานะของผู้ว่าเขตของเขา ซึ่งนี่ก็ยังไม่นับรวมไปถึงความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น จากการส่งกองทหารหน้าใหม่ไปป้องกันเมืองชายแดนนั่นอีก
ถังหยินเป็นคนที่เด็ดขาดตั้งแต่อดีตและไม่เคยลังเลอะไรเลย แต่ตอนนี้มันแตกต่างกันออกไป เขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกแล้ว การตัดสินใจของเขามีผลต่อชีวิตของทหารนับพันนับหมื่นนาย รวมไปถึงชีวิตของผู้คนในเขตปิงหยวนนี้ด้วย
ชายหนุ่มขบริมฝีปากแน่น ไม่ได้พูดอะไรอยู่นาน
ในเวลานี้ ก็มีทหารวิ่งเข้ามาจากด้านนอก คนผู้นั้นคุกเข่าลงหนึ่งข้างและกล่าว “รายงานขอรับ ชาวเมืองหวางมาถึงนอกเมืองแล้วและกำลังรอการจัดสรรอยู่ขอรับ”
ได้ยินแบบนี้ ถังหยินก็ตอบกลับ “เรื่องนี้โยนให้เจ้าเมืองชายแดนจัดการไปซะ”
นายทหารคนนั้นเริ่มกังวล
จางโจวจึงจัดการให้ “นายท่าน เมืองแห่งนี้ไม่มีเจ้าเมืองขอรับ”
“หา ?” ถังหยินแปลกใจ ไม่ใช่ว่าจางโจวพูดให้เขาไม่เข้าใจ แต่เขาลืมไปด้วยซ้ำ “ทำไมกัน ?”
จางโจวหัวเราะแห้งๆ “เมืองชายแดนมีพวกมอร์ฟีสรุกรานบ่อยครั้งและทำให้เจ้าเมืองโดนสังหารเกือบทุกครั้ง ดังนั้นจึงกลายเป็นว่าไม่มีผู้ใดอยากมาเป็นเจ้าเมืองในเมืองแห่งนี้อีก”
“เช่นนั้นเองหรือ ?” ถังหยินถอนหายใจ ไม่สนใจเรื่องนั้นอีก
ฝ่ามือทั้ง 2 ข้างกำแน่นเข้าหากันอย่างช้า ๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดออกมาเบา ๆ ว่า “ข้าไม่สนว่าเมืองแห่งนี้จะเป็นยังไง แต่ข้าจะไม่อนุญาตให้เมืองแห่งนี้แตกพ่ายเด็ดขาด !”
เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มจึงหันไปพูดกับจางโจว “แม่ทัพจาง จัดการเรื่องพวกคนอพยพให้ข้าที”
“รับทราบ” จางโจวลุกขึ้นและเดินออกไป
เหมือนว่าจู่ ๆ ถังหยินจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาทำการยืดแขนออกไปหยุดไว้ และพูดว่า “จริงสิ มีนายกองที่ชื่อเสี่ยวมูฉิงอยู่ ไปพาตัวเขามาหาข้าด้วย !”
“เสี่ยวมูฉิง ?” จางโจวดูงุนงงเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นสีหน้าของถังหยิน เขาก็ไม่กล้าขัดคอ
แท้ที่จริงแล้วจางโจวนั้นคุ้นเคยกับชื่อนี้ดี เพราะว่าเขาเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับนายทหารผู้หนึ่งที่ทำงานในกองทัพมาหลายปี หากแต่ก็ยังไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งใด ๆ เลยผู้หนึ่ง
เขาไม่รู้ว่าทำไมถังหยินต้องตามหาชายคนนี้ แต่ก็ยังทำตามอยู่ดี และก่อนจะไปหาชายผู้นั้น จางโจวก็ได้ทำการพาผู้คนเข้าไปอยู่ในเมืองตามที่ได้รับคำสั่งมาก่อนเป็นอันดับแรก
ที่นอกเมืองนั่นแทบจะรกร้าง ดังนั้นจึงง่ายต่อการจับจองของผู้คนนับพันจากเมืองหวางที่ย้ายมา
เมื่อเสร็จเรื่องนี้แล้ว จางโจวก็ได้พาเสี่ยวมูฉิงเข้ามา
ไป่หยงและคนอื่น ๆ พากันทำสีหน้าไม่พอใจทันทีที่ได้เจอหน้าเขา หากแต่ถังหยินกลับตรงกันข้าม เมื่อเห็นชายคนนั้น เขาก็พลันก้มหัวลงเล็กน้อยและยิ้มออกมา “นั่งก่อนสินายกองเสี่ยว”
“เป็นพระคุณอย่างยิ่งขอรับ” เขาไม่เคยคิดว่าถังหยินจะเรียกหา ดังนั้นจึงทำตัวไม่ถูกนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับการที่ทุกคนในนี้นั้นล้วนแล้วแต่มีตำแหน่งใหญ่โตกว่าตัวเขากันทั้งนั้น เลยได้แต่นั่งบนเก้าอี้อย่างระมัดระวัง
ชายหนุ่มสังเกตหน้าตาของมูฉิงอีกครั้ง เขาไม่ได้หล่อเหลามากแต่ก็พอใช้ได้ ด้วยร่างกายที่สมส่วน และดวงตาที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน
ถังหยินถาม “นายกองเสี่ยว เจ้าคิดว่าพวกมอร์ฟีสจะกลับมาจริง ๆ งั้นหรือ ?”
“แน่นอนที่สุดขอรับ” มูฉิงนั่งหลังตรงและตอบกลับไป
“เป้าหมายคือเมืองชายแดน ?”
“มีความเป็นไปได้ที่มากที่สุดขอรับ”
“ถ้างั้นบอกข้าที ว่าถ้าพวกมันจะมาจริง ๆ เจ้าคิดว่าเราควรจะใช้พลทหารกี่นายถึงจะพอสำหรับการป้องกันเมืองในครั้งนี้ ?”
ทุกคนพากันหันมองไปยังมูฉิง
มูฉิงตะลึงและก็ประหลาดใจในเวลาเดียวกัน เขารู้ได้ในทันทีว่านี่คือเวลาที่เขาจะได้เฉิดฉาย “ 2 หมื่นก็เพียงพอแล้วขอรับ”
“หา ?”
ทุกคนในห้องนี้ตะลึงจนหน้าเปลี่ยนสี จูนัวเอียงตัวมาข้างหน้า “มูฉิง เจ้าพูดอะไร ? นี่มันเรื่องบ้าบอไร้สาระอะไร…”
ถังหยินบอกให้จูนัวหยุด และถามมูฉิงต่อว่า “บอกข้าสิ ว่าทำไมถึงใช้แค่ 2 หมื่นนาย ?”
“ถ้าข้าเดาไม่ผิด พวกมอร์ฟีสนั้นไม่กล้าที่จะส่งทหารมาเกิน 6 หมื่นนายแน่ ๆ แต่ถึงกระนั้นพวกมันก็ยังมากกว่าเราอยู่ดี ดังนั้นถ้าพวกเราเลือกที่จะป้องกันเมืองเอาไว้ ความสูญเสียย่อมไม่น้อยเลย ทว่าในขณะเดียวกัน หากเป็นไปได้ ข้าก็อยากจะเสนอให้พวกเราเข้าโจมตีมันก่อน”
“ใช้ 2 หมื่นปะทะกับ 6 หมื่นงั้นหรือ ! นี่เจ้าบ้าหรืออย่างไร ?” ไป่หยงถาม
มูฉิงหัวเราะ “ถ้าพวกเราสู้กันซึ่ง ๆ หน้าละก็คงใช่ แต่ถ้าพวกเราส่งทหารไปซุ่มโจมตีแบบกระจายตัว และรอจังหวะดี ๆ จากนั้นจึงค่อยเข้าโจมตีจากทั้งในและนอกเมือง เมื่อนั้นแหละจะเป็นเวลาที่พวกเราทำลายค่ายและกองทัพของพวกมันได้อย่างราบคาบ !”
“เจ้าพูดตลกอะไรของเจ้ากัน” จูนัวหัวเราะออกมา “ด้านนอกเมืองชายแดนนั้นเป็นทุ่งราบ มีเพียงภูเขาทางตะวันออกเท่านั้น ทว่ามันก็ไม่เหมาะเท่าใดนัก อีกอย่าง ก็ใช่ว่าพวกมันจะโง่จนไม่ระวังตัวเสียเมื่อไหร่”