บทที่ 105
เจียงโมได้รับบาดเจ็บหนัก เลือดที่ไหลออกจากปากของเขาไหลยาวไปจนถึงเกราะปราณเลยทีเดียว
เมื่อแม่ทัพทั้งสองพุ่งเข้ามา เจียงโมก็ไม่เหลือพละกำลังจะปัดป้องแล้ว ทว่าเขาก็ยังสามารถใช้วิชาสับเปลี่ยนเงาหลบหนีออกมาได้ด้วยพละกำลังเฮือกสุดท้าย และเข้าไปหลบที่หลังกำแพง
ทหารแคว้นเฟิงที่อยู่บนกำแพงถึงกับตกตะลึงกับการปรากฏตัวของเจียงโม แต่เมื่อเห็นว่าเขาได้รับบาดเจ็บหนัก คนพวกนั้นก็รีบเข้ามาปฐมพยาบาลในทันที
ถึงเขาจะทำลายรถศึกได้ หากแต่ก็สร้างการเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อยเท่านั้น มันไม่สามารถช่วยพลิกสถานการณ์โดยรวมขึ้นมาได้เลย
การปิดล้อมของพวกมอร์ฟีสมีแต่จะยิ่งหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อเห็นว่าพวกเฟิงนั้นไม่สามารถยื้อไว้ได้อีก มันก็ได้มีอีก 1 กองทัพไม่ทราบฝ่ายปรากฏออกมาจากด้านข้าง
พวกเขาไม่มีธงหรืออะไรที่บ่งบอกถึงตัวเองเลย และถึงจะเป็นแค่ทหารราบแต่ก็เคลื่อนไหวเร็วมาก
เมื่อได้รับรายงาน พวกแม่ทัพมอร์ฟีสก็พากันประหลาดใจ พวกเขานั้นไม่รู้เลยว่าพวกที่มานั้นเป็นใครและมาจากไหน ต่อให้หันไปมองก็ยังดูไม่ออก ดังนั้นหนึ่งในแม่ทัพพวกนั้นจึงได้ออกคำสั่งให้ไปตรวจค้นตัวตนของอีกฝ่ายในทันที
หากทว่าพวกทหารที่ไปก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย…
ที่แท้กองกำลังไม่ทราบฝ่ายก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พวกเขาก็คือกองทัพที่นำโดยถังหยินนั่นเอง !
เมื่อเห็นพวกมอร์ฟีสกำลังล้อมตีเมืองชายแดน ถังหยินก็ไม่รอช้า รีบมุ่งหน้ากลับมาที่เมืองนี้ทันที !
และเมื่อเห็นเปลวไฟที่เกิดขึ้นรอบตัวเมือง ชายหนุ่มก็คาดเดาได้เลยว่ากำลังมีการต่อสู้อันดุเดือดเกิดขึ้น !
ถังหยินนั้นรู้ดีว่าพวกเฟิงไม่อาจต่อต้านพวกมอร์ฟีสได้นานมากนัก ดังนั้นเขาจึงรีบวิ่งออกมาก่อน ทิ้งพี่น้องฉางกวง เฉิงจิน และโอชิงกับทหารเอาไว้เบื้องหลัง
เมื่อเขาวิ่งมาพบเจอพวกมอร์ฟีสระหว่างทาง ชายหนุ่มก็รู้ได้ทันทีว่าพวกมันส่งคนมาตรวจสอบตัวตนพวกเขาแน่ ดังนั้นจึงรีบเร่งความเร็วขึ้นอีก
ในจังหวะที่ทหารมอร์ฟีสพวกนั้นเห็นเครื่องแต่งกายของถังหยิน พวกมันก็รู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นพวกเฟิงแน่ ดังนั้นจึงไม่กล้ารุดเข้าไปมากกว่านี้ รีบควบม้ากลับมารายงานในทันที
แต่ทว่าชายหนุ่มนั้นรวดเร็วกว่าคนพวกนั้น เพียงชั่วพริบตาที่ม้าหันหน้าไป เขาก็พลันมาปรากฏตัวอยู่บนหลังพวกมันแล้ว
“ว้ากกกก !” ในจังหวะที่ทหารมอร์ฟีสผู้หนึ่งกำลังชักดาบออกมาฟันถังหยิน ชายหนุ่มก็พลันคว้าข้อมือและลำคอของอีกฝ่ายเอาไว้
จากนั้นก็ปรากฏเป็นเพลิงสีดำในมือของเขา ทำให้นายทหารคนนี้ถูกเผาหายไปทันที ไม่มีแม้แต่เสียงกรีดร้อง
ถังหยินไม่ได้พูดอะไรให้มากความ เขารีบควบขี่ม้าของทหารที่ถูกกำจัดไป ก่อนจะมุ่งหน้าไปหาพวกมอร์ฟีสต่อ
ระหว่างนั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าม้าที่เขาขี่มานั้น มันไม่รวดเร็วเท่าลู่อิงเอาเสียเลย
แต่ยังไม่ทันที่จะได้คิดอะไรมากนัก ถังหยินก็ได้มาถึงค่ายของพวกมอร์ฟีสแล้ว และด้วยม้าที่ชายหนุ่มขี่มานั่นเป็นของพวกมอร์ฟีส ดังนั้นคนพวกนั้นจึงไม่ได้เอะใจอะไร แต่เมื่อเขาเข้ามาใกล้มากขึ้น ก็ได้มีหนึ่งในพวกมอร์ฟีสนั้นรู้ตัว ว่าคนที่กำลังเข้ามานั่นไม่ใช่พวกของตน !
“มีศัตรูลอบเข้ามะ… !” ทหารมอร์ฟีสนายหนึ่งที่รู้ตัวพลันรีบตะโกนเตือนในทันที
ทว่าในระหว่างที่พลทหารมอร์ฟีสนายนั้นกำลังตะโกน อีกฝ่ายก็พลันโดนถังหยินเอาดาบปาดคอขาดไปในทันที
นายทหารมอร์ฟีสผู้นั้นพยายามเอามือขึ้นมาปิดลำคอตัวเองที่โดนฟันเอาไว้ ทว่ามันก็สายไปเสียแล้ว เขาได้แต่เดินถอยหลังไปอีก 2-3 ก้าว ก่อนจะล้มลงไปบนพื้น จากนั้นพวกมอร์ฟีสที่เหลือก็พากันพุ่งเข้าใส่ถังหยินโดยไม่ต้องรออะไรทั้งนั้น
ชายหนุ่มทำการปลดปล่อยพลังออกมา ก่อนจะผสานมันเข้ากับเกราะและอาวุธเพื่อเปลี่ยนพวกมัน ทำให้ดาบในมือของเขากลายเป็นเคียวยาวสีดำ ที่ใบมีดนั้นปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีดำอีกชั้นหนึ่ง
เขาเหวี่ยงเคียวเล่มนั้น เพื่อบีบให้พวกมอร์ฟีสต้องยกอาวุธขึ้นมาป้องกัน หากทว่ามันก็ไร้ผล
เพราะทันทีที่อาวุธพวกนั้นสัมผัสโดนเข้ากับเคียว ก็พากันแตกหัก ทำให้ทหารมอร์ฟีสพวกนั้นไม่อาจปัดป้องการโจมตีของชายหนุ่ม จนร่างสัมผัสเข้ากับคมเคียวของเขาเข้าอย่างจัง และกลายเป็นเถ้าถ่านอย่างรวดเร็ว ด้วยถูกเปลวไฟสีดำที่ติดมากับเคียวเผาไหม้
เมื่อพวกมอร์ฟีสเห็นฉากนี้ พวกเขาก็ถึงกับตะลึง ร่างกายแข็งทื่อราวกับถูกฟ้าผ่า ก่อนจะได้สติ และตะโกนอย่างบ้าคลั่งออกมาว่า “เขามีเคียวเพลิงสีดำ !”
เสียงตะโกนนี้ทำให้ทหารทุกนายถอยร่นไปทันที
แม้ว่าการต่อสู้ที่เมืองหวังจะไม่ใหญ่มาก แต่ถังหยินก็ได้ฝังความกลัวใส่พวกมอร์ฟีสไว้มากทีเดียว ข่าวลือที่พวกเขาได้ยินมาก็คือมีแม่ทัพของพวกเฟิงผู้หนึ่ง ที่มาพร้อมกับเคียวสีดำอันแสนน่ากลัว ซึ่งรูปลักษณ์ของถังหยินในตอนนี้ก็ตรงกับคำบอกเล่าดังกล่าว จึงทำให้พวกเขาพากันหวาดกลัว
คนพวกนั้นพากันถอยหนี ในขณะที่ถังหยินเข้าประชิดตัว และใช้จังหวะนี้ในการเด็ดหัวแม่ทัพมอร์ฟีสแทน
ไม่ว่าพวกทหารจะวิ่งเร็วแค่ไหน แต่พวกเขาก็ไม่อาจเร็วกว่าม้าศึกได้ เมื่อพวกมอร์ฟีสถอยหนี ถังหยินก็ไล่ตามด้วยม้า พร้อมกับเหวี่ยงเคียวไล่ฆ่าทหารมอร์ฟีสเรียงคน
พวกที่รอดชีวิตพากันกลัวสุดขีด ไม่มีใครกล้าจะเข้าปะทะ และเข้าขวางทางม้าของถังหยินเลยแม้แต่คนเดียว
พวกเขาเปิดทางให้ชายหนุ่มวิ่งตรงเข้าไปยังค่ายทหารได้อย่างง่ายดาย
ใจกลางกองทัพคือสถานที่ที่ซึ่งมีพวกผู้บัญชาการทั้งหลายอยู่ แน่นอนว่าคือจุดยุทธศาสตร์สำคัญมาก และเพราะการต่อสู้ที่เกิดขึ้น จึงทำให้ที่นี่แทบไม่มีทหารคอยปกป้องอยู่เลย เมื่อบวกกับถังหยินที่กล้าหาญชาญชัยบุกเข้ามาแบบนี้ มันจึงทำให้พวกมอร์ฟีสที่โผล่หน้าออกมาโดนสังหารจนหมดสิ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อชายหนุ่มมาถึงใจกลางค่ายทหาร เขาก็ได้เห็นเข้ากับชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ซึ่งเมื่อดูจากลักษณ์ท่าทางของอีกฝ่ายแล้ว มันก็ดูเหมือนว่าคนผู้นี้นั้นจะเป็นแม่ทัพหลักของมอร์ฟีสที่นำการบุกครั้งนี้ ดังนั้นถังหยินจึงไม่รอช้า รีบรุดหน้าเข้าไปทันที
ทหารมอร์ฟีสรอบนี้มีวิชายุทธ์และเก่งกาจไม่ใช่น้อย มาจนถึงตอนนี้ ชายหนุ่มก็ได้เข้าปะทะกับผู้ที่ใช้อาวุธปราณมากกว่า 20 นายแล้ว
เมื่อเข้าปะทะกัน ถังหยินก็จัดแจงเหวี่ยงเคียว ปลดปล่อยพลังปราณออกมา
พวกทหารมอร์ฟีสนั้นรู้ดีว่าชายผู้นี้มีพลังกายที่สูงเอาเรื่อง จึงไม่กล้าเข้าต่อสู้ด้วยตรง ๆ ดังนั้นหลังจากเห็นคลื่นพลังพุ่งเข้ามา ทหารพวกนั้นก็พลันพุ่งเข้าไปโจมตีถังหยินจากรอบทิศทาง
หากทว่าไม่ใช่แค่วิชายุทธ์ เพราะแม้แต่กลศึกเอง ก็ไม่มีใครสู้ถังหยินได้เลยแม้แต่คนเดียว
ต่อให้พวกมอร์ฟีสจะมีจำนวนคนที่มากกว่า ชายหนุ่มก็ไม่ได้สนใจ เขาเหวี่ยงเคียวไล่จัดการศัตรูที่เรียงรายโดยรอบ ไม่เปิดโอกาสให้พวกมันได้ตอบโต้แม้แต่น้อย
ร่างท่อนบนของทหารมากมายลอยอยู่กลางอากาศ ผิดกับท่อนล่างที่ทิ้งตัวอยู่บนพื้น ที่แท้พวกเขาก็ถูกตัดครึ่งนี่เอง ! ว่าแล้วร่างกายที่เหลือไว้ก็ได้กลายเป็นควันสีดำและหายไป
เมื่อเห็นว่าพวกพ้องของตัวเองสูญเสียไปมาก ก็ไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามาสู้กับถังหยินอีกเลย พวกเขารู้ขีดจำกัดความสามารถของตัวเองดีพอที่จะไม่คิดเข้าสู้อย่างไร้สมอง
ทางด้านชายหนุ่มเอง เขาก็ไม่ได้สนใจคนพวกนี้เท่าไหร่นัก เพราะที่ถังหยินให้ความสนใจ ก็คือแม่ทัพมอร์ฟีสผู้ที่กำลังควบม้าเข้าไปหาทหารม้าสวมเกราะพวกนั้น !
นี่คงจะเป็นทหารม้าเกราะหนักที่ร่ำลือกัน พวกเขาสวมชุดเกราะศึกหนักตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้แต่ใบหน้าเองก็มีหน้ากากเหล็กปกปิดอยู่ และถึงแม้พวกเขาจะไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ หากแต่ก็มีความสามารถเทียบเท่าได้ด้วยยุทโธปกรณ์ เพราะแม้แต่ม้าเองก็มีเกราะเหล็กหนาคอยปกป้องเอาไว้
ซึ่งถ้าหากแม่ทัพมอร์ฟีสผู้นั้นหนีเข้าไปรวมกลุ่มกับพวกนั้นได้ ชายหนุ่มก็จะไม่มีโอกาสได้สังหารอีกฝ่ายอีกต่อไป !
ถังหยินตะโกนออกไป “พวกเจ้าทั้งหมดหลีกไป !” เขาเหวี่ยงเคียวปลดปล่อยคลื่นพลังอีกครั้ง
ชายหนุ่มตั้งใจว่าจะใช้พลังนี้เปิดทางให้ตัวเองออกไป แต่กลับกลายเป็นว่าพวกที่รับการโจมตีไปนั้น กลับเลือกที่จะมุ่งหน้าเข้ามาหาเขาต่ออย่างไม่กลัวตายแทน
เมื่อเห็นว่าแม่ทัพฝ่ายนั้นกำลังจะหนีไปได้ ถังหยินก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนทำการเปลี่ยนร่างของม้าที่เขากำลังขี่อยู่ให้กลายเป็นหมอกสีดำ และสั่งให้มันกระโจนเข้าใส่เป้าหมาย
“มานี่เลย !”
ชายหนุ่มตะโกนเสียงดัง ก่อนจะเหวี่ยงเคียวตัดขาม้าของแม่ทัพมอร์ฟีสผู้นั้น จนอีกฝ่ายร่วงลงมากองอยู่บนพื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก