บทที่ 107
หยวนอู่และหยวนเปียวนำกองทหาร 2 พันนายฝ่าออกจากกองทัพพวกมอร์ฟีส นี่เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมากนัก ทำให้พวกทหารมอร์ฟีสกระจายตัวออกจากการบุกทะลวงอย่างบ้าเลือดนี้
พี่น้องฉางกวงคือผู้ฝึกยุทธ์ระดับปราณบรรพกาล พวกเขาใช้พลังแห่งแสงเพื่อจัดการกับศัตรู นั่นคือวิชาแบ่งกาย ทั้งสองแยกร่างตัวเองออกเป็น 9 ร่าง และพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ พร้อมกับบุกทำลายทุกสิ่งรอบตัวไปตลอดระยะทาง
ในเมื่อแม่ทัพเก่งกาจขนาดนี้ พวกทหารเองก็มีขวัญกำลังใจที่พุ่งทะยานเช่นกัน พวกเขาเปรียบดั่งเสือร้าย 2 พันตัวที่วิ่งทะยานลงมาจากหุบเขาภายใต้การนำของพี่น้องฉางกวง
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันแบบนี้สร้างความปั่นป่วนให้กับพวกมอร์ฟีสเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกที่อยู่หน้าประตู พวกเขาถูกโจมตีจากคู่พี่น้องอย่างหนักหน่วง ถูกตัดแบ่งกำลังออกเป็นสองฝั่งจนยุ่งเหยิงไปหมด และถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น หากแต่พวกเขาก็ยังคงบุกทะลวงไม่หยุด
ในเวลานี้ ชิวเจิ้นและทุกคนในเมืองก็รู้แล้วว่ากำลังเสริมมาถึงแล้ว ดังนั้นมูฉิงจึงไม่รอช้า รีบออกคำสั่งให้เปิดประตูเมืองต้อนรับพวกเขาทันที
พวกมอร์ฟีสพยายามที่จะเข็นรถเข้ามาโดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นทันทีที่ประตูเปิด พวกเขาก็พากันตะลึงงันแล้วคิดว่าพวกเฟิงกำลังจะยอมแพ้ จึงได้รีบวิ่งเข้าใส่ในเมืองอย่างบ้าคลั่ง !
หยวนอู่ชูหัวของแม่ทัพมอร์ฟีสไปรอบ ๆ ก่อนที่เขาจะเห็นเข้ากับแม่ทัพมอร์ฟีสที่ขี่ม้า และในมือถือธงที่มีสัญลักษณ์เหยี่ยวอยู่กลางค่ายพวกมัน
หยวนอู่ยิ้มออกมาแล้วยกหอกของเขาพุ่งเข้าใส่เป้าหมาย
ระหว่างทาง หอกของเขาก็ได้ปลดปล่อยจิตสังหารออกมา ทำให้พวกมอร์ฟีสที่เข้ามาเรื่อย ๆ ล้มตายราวกับใบไม่ร่วง และโดยไม่รอช้า แม่ทัพมอร์ฟีสที่เห็นการโจมตีนั้น ก็ได้แทงดาบสวนกลับมาทันที แต่ทว่าหยวนอู่ก็ยกหอกขึ้นปัดป้องมันเอาไว้แล้วกระโดดขึ้นไปข้างบน ก่อนจะฟาดหอกเข้าใส่หัวของเป้าหมายอย่างแรง
แม่ทัพมอร์ฟีสยกดาบขึ้นป้องกัน หากแต่ก็ไม่อาจรับไหว
เกิดเสียงปะทะขึ้นพร้อมกับดาบที่หักกลาง หอกของหยวนอู่กระแทกเข้ากับกะโหลกของอีกฝ่ายจนแหลกสลาย
ก่อนที่จะทันได้เอ่ยเสียงใดออกมา หัวของแม่ทัพมอร์ฟีสก็พลันยุบเป็นรอยหอก และร่างของเขาก็ร่วงลงกับพื้น
หยวนอู่เข้ามาคว้าธงชัยกองทัพพวกมันเอาไว้ ใช้ปลายของมันแทงหัวของแม่ทัพนายนั้น ก่อนจะชูขึ้นพร้อมตะโกน “แม่ทัพพวกเจ้าตายแล้ว จงยอมแพ้เสียเถอะ !”
พวกทหารเลวต่างก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด หากแต่ก็ถูกดึงดูดด้วยเสียงอันดังก้องนั่น
เมื่อฝั่งศัตรูมองมาที่ต้นเสียง พวกเขาก็ได้เห็นเข้ากับหัวแม่ทัพที่ปักอยู่บนธง ทำให้สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที
การตายของแม่ทัพผู้นี้ ทำให้ขวัญกำลังของพวกเขาตกต่ำลงมากจนไม่สามารถสู้ต่อได้
ข่าวการตายของแม่ทัพกระจายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้พวกมอร์ฟีสไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
เวลาคือสิ่งสำคัญที่สุดในช่วงสงคราม ไม่มีใครอยากจะปล่อยให้อีกฝ่ายตั้งตัวได้ แม้ว่าพวกมอร์ฟีสจะมีจำนวนที่มากกว่าก็จริง แต่หลังจากที่แม่ทัพของพวกเขาตาย คนพวกนี้ก็ไม่มีขวัญและกำลังใจที่จะทำอะไรต่อได้อีก การต่อสู้ครั้งนี้จึงกลายเป็นการสู้เพื่อปกป้องตัวเองแทน
บนหอคอยนั่น มูฉิงจ้องมองการต่อสู้ด้านนอกโดยไม่กะพริบตา หัวใจของเขาบีบอัดขึ้นมาอยู่จุกที่ลำคอ
สิ่งที่เขาเห็นคือพวกมอร์ฟีสที่กำลังพ่ายแพ้ !
ในที่สุดเขาก็สามารถถอนหายใจอย่างโล่งอกได้เสียที นี่อาจจะเป็นการรบที่ได้รับชัยชนะกับพวกมันเป็นครั้งแรกก็เป็นได้
แต่ทว่ามูฉิงก็พลันนึกไปถึงคำที่ว่า ‘สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งรีบนับศพทหาร’ ขึ้นมาได้เสียก่อน
เพราะถึงพวกมอร์ฟีสจะหมดกำลังใจแล้ว หากแต่จำนวนของพวกเขาก็ยังมีมากมายอยู่ดี ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะให้ทหารเฟิงเพียง 2000 นายบุกฝ่าเข้ามาได้ และเมื่อคิดได้แบบนั้น สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป
มูฉิงกับชิวเจิ้นเป็นคนประเภทเดียวกัน พวกเขาเรียนรู้จากความผิดพลาดหรือเรียนรู้จากคนอื่นเสมอ และด้วยเหตุนี้ทำให้พวกเขามีความรู้สึกที่เหมือนกัน
เพียงแต่ว่าพวกเขาเลือกเดินทางที่แตกต่างกัน ชิวเจิ้นเลือกทางของกุนซือ ส่วนมูฉิงเลือกเดินเส้นทางของแม่ทัพนายกอง
ภายใต้การรวมกันของความสามารถนี้ พวกมอร์ฟีสก็ไม่อาจต้านทานพลังของพวกเฟิงได้และเริ่มพ่ายแพ้ลง เหมือนกับโดมิโน่ที่พังทลายเป็นส่วน ๆ การพ่ายแพ้ในจุดเล็ก ๆ ในครั้งนี้ ได้ทำให้ทั้งกองทัพแตกพ่ายและเริ่มหนีตายกลับไปยังเขตแดนของตนเอง
พวกทหารม้าเกราะหนักเองก็ไม่อยากจะอยู่นานมากนัก ทันทีที่ได้คำสั่งจากแม่ทัพตัวเอง พวกเขาก็ละทิ้งถังหยินและวิ่งกลับไปพร้อมกับพวกพ้องของตนในทันที !
แต่เดิมมีพวกทหารม้าหนักอยู่ราวๆ 2,000 นาย แต่เมื่อกลับไปครั้งนี้กลับมีจำนวนที่น้อยลงกว่าเดิม ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่ชายหนุ่มทำไปนั้น คือหลักใหญ่สำคัญที่ทำให้การศึกในเมืองชายแดนคราวนี้ได้รับชัยชนะ !
เขาเก็บดาบและถอนหายใจออกมา มีศพและม้าที่ได้รับบาดเจ็บมากมายทั่วสนามรบ แม้แต่พวกเชลยที่ไม่อาจลุกขึ้นมาได้ก็มี หากแต่เขาก็ยังไม่เห็นเฉิงจินและโอชิงเลย
“หรือว่าพวกเขาจะตายกันไปแล้ว ?”
ระหว่างที่เขากำลังตระหนก ก็มีม้าวิ่งเข้ามาหาชายหนุ่ม ก่อนที่มันจะล้มคว่ำลงและดีดใครสองคนลอยเข้ามาหาเขา
“นายท่าน !”
เป็นเฉิงจินกับโอชิงนั่นเอง
ถังหยินมองทั้งสอง “พวกเจ้าปลอดภัยสินะ ?”
“แน่นอนนายท่าน !” เฉิงจินก้มหัวให้แล้วมองเลือดที่เปื้อนตัวเขาเอง “นี่น่ะเป็นเลือดของพวกมัน”
“นายท่านสุดยอดมาก การโจมตีที่ขาของม้าทำให้สามารถตัดกำลังพวกทหารม้าไปได้มากเลย !” โอชิงพูดต่อ
ถังหยินหัวเราะออกมา “ถ้างั้นพวกเจ้าก็เห็นหมดแล้วสินะ”
“แน่นอน จริง ๆ แล้วข้ากับโอชิงนั้นไม่ได้รับมืออะไรกับพวกมันมากนัก เพราะพวกมันเน้นโจมตีนายท่านนี่แหละ”
พวกทหารม้าหนักเอาแต่สนใจถังหยิน จนทำให้ไม่มีใครสนใจทั้ง 2 คนนี้เลย ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะสอดส่องดูการต่อสู้ของถังหยินแทน และเมื่อเห็นการโจมตีของชายหนุ่ม พวกเขาก็ต้องตะลึงเพราะมันไม่อาจจะเลียนแบบหรือทำตามได้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นพวกศัตรูล่าถอยกลับไป นั่นก็แสดงว่าเมืองชายแดนปลอดภัยแล้ว ทำให้เฉิงจินดีใจจนอดที่จะตะโกนออกมาไม่ได้ว่า “พวกเราเอาชนะพวกมันได้แล้ว !”
ถังหยินรวมดาบเข้าด้วยกัน เปลี่ยนให้กลายเป็นเคียวแล้วกล่าว “แต่เราจะปล่อยพวกมันไปไม่ได้ ตามมันไป !”
เขาไม่คิดจะปล่อยพวกที่หนีตายกลับไปง่าย ๆ ดังนั้นชายหนุ่มจึงพุ่งเข้าไปด้วยความรวดเร็วและตามไล่ล่าคนพวกนั้นอย่างไม่ลดละ
ระหว่างการไล่ล่า เขาก็ได้พูดขึ้น “อย่าเพิ่งหยุด ไล่ตามพวกมันไปจนสุดขอบเลย !”
พวกทหารเฟิงที่กำลังจะพักผ่อน เมื่อได้รับคำสั่งแบบนี้มา ก็ทำให้พวกเขาเริ่มคิดอีกแบบหนึ่ง ไล่ตาม ? ถ้าเกิดว่าทำแบบนั้น งั้นมันก็หลายถึงการบุกเข้าไปในดินแดนของพวกมันงั้นหรือ ?
ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเฟิงไม่เคยจะได้เข้าไปแตะเขตของพวกมอร์ฟีสเลยแม้แต่ครั้งเดียว
แต่คำสั่งก็คือคำสั่ง พวกเขาไม่อาจปฏิเสธได้ ยิ่งไปกว่านั้นตัวแม่ทัพเองก็พุ่งเข้าไปขนาดนั้นแล้ว แบบนี้พวกทหารเลวจะไม่ตามไปได้ยังไงกัน ?
พวกเขาไล่ล่ากองทัพมอร์ฟีสไปไกลถึง 40 ลี้
ชายหนุ่มจำไม่ได้ว่าฆ่าพวกมันไปมากเท่าไหร่ ก่อนที่เขาจะหยุดลง เพราะเจอเข้ากับอะไรบางอย่าง..
และนั่นก็คือเขตแดนของพวกมอร์ฟีส !