บทที่ 108
สมาพันธรัฐมอร์ฟีสมีขนาดที่กว้างใหญ่มากและมีภูมิประเทศที่แตกต่างจากแคว้นเฟิงโดยสิ้นเชิง ถ้าหากว่าตามเข้าไปก็อาจจะตกอยู่ในวงล้อมศัตรูได้
ดังนั้นชายหนุ่มจึงออกคำสั่งให้ทุกคนหยุดลง
เมื่อได้ยินแบบนั้น ทั้งกองทัพเฟิงก็พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก และในขณะเดียวกันก็ดีใจที่จะได้กลับบ้านตัวเองเสียที
ถึงแม้ว่าจะได้รับชัยชนะมาแล้วก็ตาม แต่พวกเฟิงก็ยังหวาดกลัวมอร์ฟีสอยู่ดี ยังไงเสียที่นี่มันก็คือบ้านของพวกมัน
ถังหยินหันมามองพวกของเขาแล้วตะโกน “พวกเรากำจัดพวกมอร์ฟีสได้หลายหมื่นนายแล้ว พวกเจ้าจะกลัวอะไรกันอีก ? ถึงแม้ว่าดินแดนของพวกมันจะกว้างใหญ่มากแค่ไหน แต่การที่พวกเราเข้ามาได้ลึกขนาดนี้ ทว่าก็ยังไม่พบเจอเข้ากับกองกำลังใดเข้ามาขัดขวางเลยแม้แต่น้อย เจอแบบนี้แล้วพวกเจ้ายังคิดว่าพวกมันน่ากลัวอีกหรือ ?”
“ต่อไปในอนาคต พวกเราจะไม่หยุดอยู่แค่ขับไล่พวกมันแน่ หากแต่จะต้องบุกทะลวงให้ถึงใจกลางของดินแดนพวกมันเลยต่างหาก !”
คำพูดของเขาทำให้เหล่าทหารมีขวัญและกำลังใจมากขึ้น พวกเขาพากันชูอาวุธขึ้นพร้อมตะโกน “สายลมอันกล้าแกร่ง ของนำพาให้เราชาวเฟิงมีชัย !”
“เก็บรวบรวมทุกอย่างที่หาได้ และกลับไปเมืองของพวกเรากัน !”
ภายใต้คำสั่งนี้ พวกเฟิงก็กลับสู่ความปกติ
“หากสงครามมาเยือนข้าจักออกไปทำศึก เพื่อเกียรติยศและศักดิ์ศรีของเราชาวเฟิง ขอให้สายลมนำพาชายชนะมาสู่พวกเรา !” ระหว่างทางพวกเฟิงก็ร้องเพลงปลุกใจไปด้วยไม่หยุด
การต่อสู้ครั้งนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับถังหยิน ชายหนุ่มทำให้ทั้งเขตปิงหยวนต้องสั่นสะเทือน เขาได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งของตัวเองและได้รับการยอมรับในเขตปิงหยวนแล้ว ซึ่งนี่ก็ยังไม่นับรวมไปถึงเกียรติยศที่แม้แต่ขุนนางคนอื่น ๆ ยังไม่สามารถทำได้ ชายหนุ่มนั้น… ได้เอาชนะใจของผู้คนในเขตนี้ได้สำเร็จแล้ว !
สำหรับเขตปิงหยวน เขาได้ทำลายความเชื่อที่ว่าพวกมอร์ฟีสนั้นไร้เทียมทานเสียจนแหลกละเอียด
กองทัพของถังหยินมีรถม้าหลายสิบคันกลับมาด้วย เป็นเพราะหลังจากที่กลับมาถึงสนามรบ เขาก็พบว่าพวกมอร์ฟีสนั้นได้ทิ้งเสบียงและอาวุธมากมายเอาไว้ จึงได้สั่งให้ทั้งกองทัพเก็บมันกลับไปด้วย
ด้วยคำสั่งนี้ ของทุกชนิดจึงได้ถูกเก็บรวบรวม เช่นเดียวกับม้าพาบูและซากศพของผู้ขี่มันก่อนหน้านี้ด้วยเช่นกัน
หลังการต่อสู้จบลง พวกเขาก็พบว่าฝ่ายเฟิงนั้นสูญเสียทหารไปถึง 3 พันนาย ส่วนทางมอร์ฟีสนั้น พวกมันเสียหายหนักยิ่งกว่า ! มีทหารมากถึง 3 หมื่นนายที่ถูกฆ่าตาย และอีกกว่า 4 หมื่นนายที่ถูกจับตัวเอาไว้ได้ตอนที่กำลังจะหนี
การใช้จำนวนที่น้อยกว่าแลกกับการสูญเสียอันยิ่งใหญ่ของพวกมอร์ฟีส ถือได้ว่าเป็นใบเบิกทางอันน่ายินดียิ่ง
แต่ช่างหัวเรื่องการเก็บกวาดสนามรบไปก่อน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้อื่นไปเถอะ ! ดังนั้นแล้วถังหยินจึงพาทั้งกองทัพกลับเข้าสู่เมืองชายแดนในทันที !
เมื่อพวกเขาก้มมองชุดเกราะของตน พวกเขาก็ต้องพบว่าชุดเกราะในตอนนี้นั้นมันได้เปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนและน้ำไม่ต่างอะไรจากของถังหยินมากนัก
ทำให้พวกเขาหันมองหน้ากันแล้วหัวเราะขึ้นมา ก่อนจะถอดชุดพวกนั้นออกเพื่อความสบายตัว
“จบศึกนี้ พวกมันคงต้องคิดหนักที่จะกลับมาบุกพวกเราแล้วละ !” หยวนเปียวหัวเราะออกมา
“ถูกต้อง แต่พวกเราก็ลดการป้องกันไม่ได้หรอก ในเวลาเช่นนี้พวกเรานั้นควรจะเตรียมตัวให้ดียิ่งขึ้นไปอีก !” มูฉิงกล่าว
คำพูดนี้ทำเอาทุกคนแทบจะจิตใจห่อเหี่ยวกันเลยทีเดียว
ทว่าถังหยินกลับพูดชม “มูฉิงพูดถูก พวกเราต้องเตรียมการสำหรับศึกครั้งหน้าเอาไว้ให้ดี อย่างน้อยก็จนกว่าพวกมันจะถูกกำจัดจนหมดสิ้น”
ทุกคนต่างก็มองหน้ากันและหมดซึ่งคำจะพูด
ระหว่างที่พวกเขาเข้ามาในเมือง ทั้งสองข้างทางก็มีชาวเมืองมากมายพยายามจะออกมามองดูกองทหารเกียรติยศกองนี้
เมื่อแรกเริ่มพวกเขาเห็นว่าพวกมอร์ฟีสนั้น มาด้วยจำนวนที่มากมายเกือบแสน ทำให้พวกชาวบ้านพากันคิดว่าพวกเขาต้องไม่รอดแน่ ๆ แต่แล้วพวกเขาก็ต้องพบว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ด้วยกองกำลังประมาณ 2 หมื่นนายของพวกเฟิง กับสามารถเอาชนะ และปกป้องเมืองนี้เอาไว้ได้ !
ผู้ว่าเมืองซ่งเหวิน เดินออกมาต้อนรับถังหยินแล้วคุกเข่าด้วยสายตาที่สั่นเครือ “การที่มีท่านคอยปกป้องที่นี่ช่างเป็นบุญของพวกเรายิ่งนัก !”
ด้วยคำพูดนี้ ทำให้ผู้คนรอบตัวเขาต่างก็คุกเข่าลง
ถังหยินในตอนนี้นั้น กำลังรู้สึกดีใจเป็นอันมาก
ตอนแรกที่เขามารับหน้าที่นี้ เขาแค่ต้องการทำหน้าที่ให้มันจบ ๆ ไปก็เท่านั้น แต่มาในคราวนี้ เมื่อมีผู้คนมากมายห้อมล้อมให้กำลังใจกันมากมาย มันก็ทำให้เขาพูดไม่ออก
ชิวเจิ้นเดินออกมาพูดข้างตัวเขา “ชนะใจผู้คนแล้วล่ะ”
เมื่อได้ยินคำดังกล่าว มันก็ทำให้ชายหนุ่มตื่นเต้นยินดีเป็นอันมาก จึงรีบเดินออกมาแล้วพยุงซ่งเวิ่นขึ้น ก่อนพูดว่า “เมื่อครั้งอดีต พวกมอร์ฟีสได้ทำการรุกรานพวกเราจนทางการต้องออกกฎห้ามหนีจากชายแดน แต่ในตอนนี้ พวกเจ้าไม่ต้องกลัวอีกต่อไปแล้ว เพราะข้าจะปกป้องที่นี่จากศัตรูต่างแดนเพื่อรับประกันความสงบสุขของพื้นที่นี้เอง !” ว่าแล้วถังหยินก็ยืนขึ้น ก่อนโบกมือเรียกแสงสีดำให้ปรากฏขึ้น
ผู้คนที่เห็นแบบนี้ก็เริ่มตะลึงแล้วตะโกนขึ้น “โอ้ ท่านแม่ทัพถังจงเจริญ !”
ทันใดนั้นพวกชาวเมืองก็เริ่มพูดตามกัน “ท่านแม่ทัพถังจงเจริญ ท่านแม่ทัพถังจงเจริญ ! ท่านแม่ทั…”
ถังหยินตื่นเต้น เลือดสูบฉีดไปทั่วตัว เขาไม่อาจเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้ได้อีกต่อไป ชายหนุ่มนั้นอยากจะบุกเข้าไปในเขตพวกมอร์ฟีสเสียเดี๋ยวนี้เลย !
เมื่อเห็นใบหน้าอันแสนดีใจของถังหยิน ชิวเจิ้นก็ยิ้มออกมา “นายท่านต้องไปฝึกพูดเพิ่มขวัญกำลังใจใหม่เสียแล้ว ครั้งนี้ยังไม่นับว่าดีพอ”
ราวกับเอาน้ำดับไฟ ถังหยินหน้าซีด เริ่มรู้ตัวถึงคำพูดของชิวเจิ้นแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบพาทุกคนกลับไปที่จวน
เมืองชายแดนแห่งนี้ไม่มีตำแหน่งผู้ว่า ดังนั้นมันจึงกลายเป็นสถานที่เหมาะสำหรับถังหยินจะใช้มันในการวางแผนกิจการต่าง ๆ
เขานั่งอยู่กลางห้องพร้อมกับเหล่าแม่ทัพที่รายล้อม
ถังหยินหัวเราะแล้วมองไปรอบ ๆ “พวกเจ้าทำได้ดีมาก !”
“ท่านก็พูดเกินไปแล้วขอรับ” ทุกคนโค้งคำนับให้
ถังหยินมองไปยังชิวเจิ้นและมูฉิง “การที่เมืองนี้ป้องกันศัตรูเอาไว้ได้ ต้องขอบคุณทั้งชิวเจิ้นและมูฉิงเลย !”
ถึงแม้ว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ได้รับชัยชนะ จะเป็นเพราะชายหนุ่มบุกเข้าไปในค่ายของพวกมันก็ตาม แต่ทว่าการป้องกันเมืองก็ไม่อาจดูแคลนได้ หากไม่มีชิวเจิ้นและมูฉิงคอยช่วย ตัวเมืองคงแตกไปนานแล้ว
ชายหนุ่มเป็นคนช่างสังเกต ดังนั้นเขาจึงพบเห็นสีหน้าผิดหวังของมูฉิงได้อย่างรวดเร็ว และเอ่ยถามไปว่า “มูฉิง มีอะไรหรือเปล่า ?”
“ไม่มีขอรับ ข้าน้อยมิบังอาจ !” แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานมากเพียงใด แต่การพูดในเชิงว่าชัยชนะครั้งนี้เป็นเพราะเขาต่อหน้าทุกคนมันก็ดูเกินไปหน่อย
มูฉิงก้าวล้ำเส้นชิวเจิ้นมากไป ทั้งยังสั่งให้ป้องกันตามแบบของเขาอีก เรื่องพวกนี้คือสิ่งถังหยินได้ยินมา
“มูฉิง ถ้าเจ้าเป็นแม่ทัพ และมีลูกน้องที่เก่งกาจผู้ต้องการอำนาจในการสั่งการเพื่อไปจัดการศัตรูในแบบของเขาเอง เจ้าจะให้หรือไม่ ?”
มูฉิงพูดไม่ออก
ถังหยินกล่าวต่อ “ไม่ต้องพูดถึงเจ้าหรอก แม้แต่ข้าก็ไม่อยากทำ แต่ชิวเจิ้นเลือกที่จะมอบมันให้กับเจ้า ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ เขาเลือกที่จะเชื่อใจเจ้า ทำให้พวกเราสามารถป้องกันเมืองชายแดนเอาไว้ได้ ดังนั้นเจ้าคิดว่าไงเล่า ?”
มูฉิงตัวสั่นและลุกขึ้นโค้งคำนับให้ “นายท่านพูดถูก” ก่อนจะหันมองไปยังชิวเจิ้น
ไม่ว่าคำพูดนี้จะเข้าไปถึงจิตใจของเขาหรือไม่ แต่ในเวลานี้สีหน้าของเขาก็ดูผ่อนคลายลงมาก
ถังหยินไม่อยากจะพูดมากสักเท่าไหร่ แต่แน่นอนว่าสิ่งที่เขาบอกเป็นนัย ๆ ก็คือ การไขว่คว้าหาอำนาจไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ในขณะที่พยายามทำสิ่งนั้น จงมองและคิดถึงคนรอบข้างให้ดี เพราะถ้าหากไม่สามารถซื้อใจคนรอบข้างได้แล้วละก็ สิ่งที่ทำมาทั้งหมดก็อาจสูญเปล่าได้
ชิวเจิ้นยิ้มกลับไป “มูฉิง เจ้าไม่ต้องคิดมาก” เขารีบเปลี่ยนหัวข้อและมองไปยังถังหยิน “นายท่านเองก็ควรจะส่งเรื่องนี้ไปยังราชสำนัก เพื่อที่จะรับรางวัลความดีความชอบจากพวกเขา !”
ถังหยินกลอกตาแล้วถามกลับ “พวกเขาจะให้อะไรพวกเรากลับมาได้กัน นี่เจ้าอยากจะให้ข้าออกไปจากปิงหยวนหรือไง ?”
ถ้าหากทางราชสำนักเฟิงได้ยินข่าวดีแบบนี้ละก็ คงไม่พ้นที่ถังหยินจะต้องถูกย้ายไปที่อื่นแน่
อีกอย่าง ยิ่งเขาทำงานที่นี่ในฐานะของผู้คุ้มครองมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งพึงพอใจมากขึ้นเท่านั้น และที่สำคัญที่สุดก็คือ ชายหนุ่มนั้นสามารถพาลูกน้องที่เชื่อใจ ออกไปล่าสังหารพวกคนชั่วเพื่อเก็บเกี่ยวพลังปราณได้อีกด้วย เพราะในบรรดาเขตทั้งหมดของแคว้นเฟิง คงไม่มีที่ไหนจะเหมาะสำหรับเขาเท่าที่ปิงหยวนอีกแล้ว