บทที่ 112
“ยืนขึ้นเถอะ ไม่ต้องมากพิธี” ถังหยินบอก
“ขอรับ” จางชวนลุกขึ้นด้วยตัวที่สั่นเทา
ชายหนุ่มหยิบแผนที่ขึ้นมา “เจ้าเป็นคนแปลหรือ ?”
“ถูกต้องขอรับ”
“เจ้ารู้จักภาษาของพวกมันสินะ ?”
“ใช่แล้วขอรับ” จางชวนไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายตรง ๆ
ที่เขตปิงหยวน มีน้อยคนนักที่จะอ่านออกเขียนได้ และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าภูมิใจสักเท่าไหร่ ถ้าหากว่าสิ่งที่เขาเรียนรู้มาคือภาษาต่างชาติ
ถังหยินมองลึกลงไปในดวงตาของเขา “ทำไมถึงเรียนรู้ได้กัน ?”
“เพราะว่าข้านั้นเคยอยู่ในดินแดนของพวกมันมากว่า 10 ปี”
ถังหยินเลิกคิ้วขึ้น
“นายท่านอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้ลี้ภัยไปที่นั่น แต่ข้าถูกจับตัวไปเป็นทาส” จางชวนแลบลิ้นออกมา
ลิ้นของเขามีรอยสีดำวงหนึ่งติดอยู่ มันเป็นสัญลักษณ์ที่เกิดขึ้นจากการเอาเหล็กร้อนมาประทับ ถึงแม้มันจะนานมาแล้ว หากแต่รอยประทับก็ยังเห็นได้ชัด
นี่เป็นการเหยียดหยามและตีตราที่ไม่สามารถลบล้างออกได้ตลอดชีวิต
เขาขมวดคิ้วถาม “มีคนถูกจับไปมากแค่ไหน ?”
จางชวนกลืนน้ำลาย “เยอะมากขอรับ พวกมันไม่เห็นเราเป็นมนุษย์เลยด้วยซ้ำ พวกเราถูกจับไปและบางคนก็โดนทรมานจนตาย มีเพียงส่วนน้อยที่หนีกลับมาได้แบบข้า”
“อย่างนี้นี่เอง แล้วเจ้าถูกจับไปที่ไหน ชี้ตำแหน่งให้ข้าที” ถังหยินถอนหายใจ ความเกลียดที่มีต่อพวกมอร์ฟีสยิ่งมากขึ้นไปอีก
“ที่นี่ขอรับ มันคือเมืองราชสีห์” จางชวนชี้ลงไปบนแผนที่
ถังหยินมองตามไปและเห็นว่ามันไม่ไกลจากเฟิงมากนัก นับได้ว่าเป็นเมืองที่ใกล้กับแคว้นเฟิงมากที่สุดแล้ว
“นี่คือจุดยุทธศาสตร์สำคัญของพวกมอร์ฟีส ที่แห่งนี้มีเสบียงและยุทโธปกรณ์มากมาย เป็นฐานที่มั่นในการรุกรานพวกเราโดยเฉพาะ กองทัพของพวกมันนั้น จะเดินทางรัฐเบสซ่าและผ่านทางเมืองนี้มาจนถึงเขตของพวกเราได้”
ถังหยินตาเบิกโพลง เพราะตามคำอธิบายเมื่อครู่นี้ มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพื้นที่นี้สำคัญมากแค่ไหนกับพวกมอร์ฟีส เขาหันมองอีกฝ่าย “มีพวกมันเท่าไหร่ในเมืองนี้ ?”
“ย..ยะ…เยอะมาก… น่าจะมีมากถึง 1 แสนนาย” จางชวนตะลึงกับสายตาเย็นชาของถังหยิน ดังนั้นจึงพูดตะกุกตะกักเล็กน้อย
เมื่อเห็นแบบนี้ ชายหนุ่มก็รีบเก็บอารมณ์ตัวเองและยิ้มออกมา “เจ้าไม่ต้องกลัวหรอก ตราบเท่าที่เจ้าให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เจ้าจะปลอดภัย”
“ขอรับ ขอรับ ขอรับ !” จางชวนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “นายท่าน ข้าไม่คิดจะหลอกท่านเลย ข้านั้นได้หนีมาจากที่นั่นนานแล้ว ดังนั้นจึงจำเรื่องของพวกมันได้น้อยนัก”
“ไม่สำคัญหรอก” ถังหยินกลอกตาไปมา ก่อนพูดว่า “แท้ที่จริงแล้วมันคือเมืองใหญ่ประจำเขตนั้นสินะ ?”
“ถูกต้องขอรับ ที่นี่คือหัวเมืองใหญ่ของพวกเบสซ่าเลยก็ว่าได้”
“แล้วงั้นพวกมันมีเมืองมากแค่ไหนกัน ?”
จางชวนยิ้มออกมา เขาเองก็ไม่รู้จำนวนเมืองที่แท้จริงของพวกต่างแดนนี่เหมือนกัน “ข้าไม่รู้ว่ามันมีมากเท่าไหร่ แต่ข้ารู้ว่าเมืองราชสีห์คือเมืองที่แข็งแกร่งและสำคัญที่สุดสำหรับพวกมัน”
“ถ้าข้าคิดจะบุกโจมตีพวกมัน งั้นแล้วเมืองราชสีห์ก็คงเป็นเป้าหมายสำคัญที่ข้าต้องให้ความสนใจสินะ ?” ถังหยินถาม
“ไม่มากก็น้อยขอรับ” จางชวนตอบอย่างตั้งใจ
ถังหยินกล่าวต่อ “จางชวน เจ้ามีที่พักอาศัยไหม ?”
“ข้าอาศัยอยู่ทางตะวันตกของเมืองขอรับ”
ชายหนุ่มพยักหน้า “ถ้างั้นเจ้าก็ไม่ต้องกลับไปแล้วล่ะ จงอยู่ที่นี่ในจวนของข้าเสีย”
“หา ?” จางชวนไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำเช่นนี้ หรือว่าอีกฝ่ายคิดจะฆ่าเขาปิดปากกัน ?
แม้แต่หลีเทียนกับอัยเจียเองก็ขมวดคิ้วด้วยความกังวล
“ได้โปรดเมตตาข้าเถิดนายท่าน ข้าพูดความจริงทุกอย่างแล้ว !” จางชวนหวาดกลัวจนต้องคุกเข่า
ถังหยินเดาะลิ้นแล้วพูดด้วยความไม่พอใจ “ข้าไม่ได้จะฆ่าเจ้าสักหน่อย พูดอะไรกัน ? ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ! ข้าก็แค่จะให้เจ้าสอนภาษาของพวกมันให้ข้าเท่านั้น ส่วนเรื่องรางวัล เอาไป 10 เหรียญเงินต่อเดือน เจ้าพอใจไหม ?”
“อ…อะ….อ่า เอ่อ งั้นแล้ว เอาแบบนั้นก็ได้ขอรับ”
จางชวนเข้าใจในสิ่งที่ถังหยินจะสื่อแล้ว เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก “เอาตามนั้นเลยขอรับ ตราบเท่าที่ท่านให้ข้าทำอะไร ข้าก็จะยอมทำทุกอย่าง”
“ดีมาก” ถังหยินหัวเราะออกมา
แต่จู่ ๆ อัยเจียก็ได้ถามออกมา “นายท่านอยากจะเรียนภาษาพวกมันไปทำไมกัน ?”
“ไม่ใช่แค่ข้า แต่ทุกคนต้องเรียนมัน ในอนาคต ถ้าหากว่าพวกเราไม่เข้าใจมัน แล้วเราจะเข้าใจกลยุทธ์ของพวกมันได้อย่างไร ? รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง !”
“อย่างนี้นี่เอง” หลีเทียนและอัยเจียมองหน้ากัน “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”
ถังหยินกล่าวต่อ “สำหรับพวกเจ้าทั้งสอง ก็ควรจะศึกษาเอาไว้ และจงทำความเข้าใจพวกมันโดยเร็วที่สุด เพราะพวกเจ้านั้นต้องออกไปสอดแนมพวกมัน”
“ท่านพูดถูกต้องทุกอย่างขอรับ” หลีเทียนกับอัยเจียยอมรับคำ เพราะว่าถ้าหากพวกเขาไม่รู้เรื่องภาษาต่างชาติแล้วละก็ การถอดข้อความพวกทหารม้าจะทำได้ยากยิ่ง
ถังหยินโบกมือให้กับพ่อบ้านถังซ่งและแนะนำจางชวน “พาเขาออกไป และจัดห้องให้เขาซะ”
ถังซ่งเป็นทหารเก่า ดังนั้นจึงมองคนได้ทะลุปรุโปร่ง เขารู้ว่าถังหยินมีอะไรที่ต้องการจะพูดมากกว่านี้ จึงรีบพาจางชวนออกมา
ฉลาดดีนี่นา มุมปากของถังหยินเผยอยิ้มออกมา ไม่ลืมกำชับไปว่า “ถังซ่ง จับตามองหมอนี่เอาไว้ อย่าให้ออกจากบ้านนี้โดยเด็ดขาด”
“รับทราบ” พ่อบ้านตอบรับและเดินจากไป
เมื่อถังซ่งพาจางชวนออกไปแล้ว ถังหยินก็หันไปตรวจสอบแผนที่อย่างตั้งใจ จากนั้นก็ชี้ไปยังเมืองราชสีห์ “พวกเราต้องทำลายเมืองนี้ให้ได้ หลีเทียน อัยเจีย ข้าให้ภารกิจพวกเจ้าไปสอดแนมเมืองนี้ จงจดบันทึกทุกสิ่งอย่างออกมาให้หมด รวมไปถึงทำเลที่ตั้งด้วย ยิ่งเยอะยิ่งดีเข้าใจไหม ?”
อัยเจียรีบตอบทันที “ไม่มีปัญหา ข้าน้อยจะทำให้เอง”
แม้ว่าการฝึกฝนจะยังไม่เต็มที่นัก จึงทำให้ไม่ควรที่จะรับงานสำคัญเช่นนี้ แต่ทว่าอัยเจียกลับเสนอหน้าไปเสียแล้ว
ถังหยินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “หลังจากทุกอย่างจบลงแล้ว พวกเจ้าจะได้รับรางวัลอย่างงาม”
“ข้าน้อยขอตัวลา” หลีเทียนและอัยเจียคำนับให้แล้วเดินกลับไป
เมื่อทั้งสองออกไปแล้ว ถังหยินก็ตกอยู่ในความคิด
มันอันตรายเกินไป คงมีแต่ต้องได้ม้าของพวกโมมาเร็ว ๆ เพื่อเสริมประสิทธิภาพให้กับกองทัพ ?
แล้วไหนจะเรื่องพวกทหารอีก ?
ถังหยินกังวลเรื่องนี้มาก แต่ไม่นานนักหยวนจี้ก็ได้เข้ามาหาพร้อมกับบอกข่าวว่า มีพ่อค้าจากแคว้นโมเข้ามาในเมืองของเขาพร้อมกับนำม้าศึกมาด้วย
ชายหนุ่มที่ได้ยินข่าวที่ว่า เขาก็ดีใจเป็นอันมาก รีบวิ่งออกมาจากจวนพร้อมกับหยวนจี้ในทันที
ด้านนอกนั่นมีม้าศึกกว่าร้อยตัว รูปร่างสูงใหญ่ หลากหลายสี หากแต่ไร้ขน
ระหว่างที่เขากำลังตรวจสอบมันอยู่ ชายวัยกลางคนก็ยิ้มแล้วเดินเข้ามาเขาพร้อมโค้งคำนับให้ “ท่านคือ ท่านถังหยินแน่ ! ข้าคือเจาจูพ่อค้าจากแคว้นโม ขอแสดงความเคารพแด่ท่าน”
ถังหยินมองเขาอย่างสงสัย
หยวนจี้กระซิบบอกเขา “นี่คือเพื่อนของข้าที่ได้บอกไป เขาติดต่อกับข้ามาหลายปี นับว่าน่าเชื่อถือพอตัวทีเดียว”
ถังหยินยิ้มให้เขา “สหายเจา ท่านน่าจะเหนื่อยนะ เข้ามาพักก่อนสิ”
เจาจูตามถังหยินเข้ามาในบ้าน และให้พวกคนรับใช้พาม้าไปเก็บ
ทุกคนลงนั่งบนเก้าอี้ในห้องโถงหลัก
เมื่อคนรับใช้นำชามาให้ ถังหยินก็ได้ถามขึ้นว่า “สหายเจา เจ้าเดินทางมา เป็นยังไงบ้าง ?”
เจาจูหัวเราะเบา ๆ “สหายหยวนจี้ได้จัดแจงทุกอย่างให้ข้าเรียบร้อยแล้ว รวมไปถึงหนังสือผ่านทางเฟิงด้วย ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาใด ๆ เลยขอรับ”
ถังหยินหันมองหยวนจี้ด้วยความชื่นชมที่จัดการทุกอย่างให้อย่างเรียบร้อย ก่อนจะพูดต่อ “เจ้านำพวกม้ามาเท่าไหร่ ?”
“1 ร้อยตัวถ้วน”
“ราคาล่ะ…”
“เรื่องราคานั้นข้าได้ตกลงกับหยวนจี้แล้ว ข้าคิดว่าเป็นจำนวน 120 เหรียญเงินน่าจะกำลังดีนะขอรับ ท่านคิดว่าไง ?”
ถังหยินไม่รู้ราคาของม้าในแคว้นโมหรอก แต่เขารู้ว่ากำไรของพวกพ่อค้าม้าศึกนั้นค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงพยายามต่อราคาให้ได้มากที่สุด เพราะชายหนุ่มนั้นต้องเหลือเงินส่วนหนึ่งเอาไว้สำหรับการขยายกองทัพ
เขายิ้มแห้ง ๆ แล้วจิบชา “แม่ทัพอิงปูกับข้าเป็นสหายกันมาหลายปี และเท่าที่ข้ารู้มา ม้าของเจ้าไม่ควรจะแพงแบบนี้”