บทที่ 116
ด้วยความที่เมืองเพิ่งได้รับการขยายต่อเติม จึงทำให้มีหน่วยทหารกองใหม่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นพวกทหารส่วนใหญ่จึงไม่รู้จึงพวกทหารหน้าใหม่เสียเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่าเฉิงจินพูดอย่างมั่นใจแบบนี้ พวกเขาก็พากันเชื่อว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้โกหก
เฉิงจินไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น เขาคว้าคอคนรับใช้ผู้นั้นและเดินตรงไปยังห้องนอนของหวังเหมิง
เมื่อเข้าไปถึงประตู ก็พบเข้ากับชายร่างอ้วนวัยกลางคนเดินออกมาด้วยความหงุดหงิด “พวกเจ้าเป็นบ้าอะไรกัน ? ทำไมเสียงดัง…”
คนอื่นอาจไม่รู้จักเฉิงจิน แต่หวังเหมิงจำได้เป็นอย่างดี เพราะเคยพบกันมาก่อน ทว่าก็รู้เพียงว่าเป็นคนสนิทของถังหยินและไม่ได้มีอะไรมากกว่านี้ ชายอ้วนตะลึงและถามอย่างสงสัย “เจ้า…”
เฉิงจินเข้ามาบีบคอเขาไว้ทันที “เจ้าขุนนางสารเลวชาติหมา !”
หวังเหมิงตะลึงหลังจากที่ได้ยินคำนั้น เขาถามอย่างสงสัย “เจ้าหมายความว่ายังไง ?”
“นั่นสินะ” เฉิงจินบีบคออีกฝ่าย ดันชายร่างอ้วนกลับเข้าไปในห้อง “ไหนเจ้าลองบอกมาสิว่าเงินนับล้านที่อยู่ในห้องลับนั่นคืออะไร ?”
ได้ยินแบบนี้ชายอ้วนก็งุนงงไปชั่วขณะ จากนั้นก็พลันตัวสั่นเทา อีกฝ่ายล่วงรู้ถึงห้องลับได้ยังไงกัน ? แล้วทำไมถึงรู้ไปถึงจำนวนเงินด้วย นอกจากข้ารับใช้ทั้ง 2 คนของเขาแล้ว มันไม่ควรมีใครอื่นรู้เรื่องนี้สิ !
เฉิงจินลากคอหวังเหมิงไปที่โต๊ะ หยิบพู่กันกับกระดาษมายัดในมือของเขา “เขียนลงไปให้หมดว่าเจ้าได้กระทำชั่วอะไรไปบ้าง โกงกินไปเท่าไหร่แล้ว เขียนมาให้หมด !”
ชายอ้วนที่ได้สติ พลันหัวเราะอย่างมาอย่างสั่นเครือ ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว “ท…ท่ะ…ท่านแม่ทัพท่านกำลังเข้าใจผิด เงินนั่นคือเงินที่สหายข้าฝากข้าไว้”
เฉิงจินไม่เชื่อเรื่องนี้แล้วเย้ยหยัน “อย่าโกหกไปเลยน่า เดี๋ยวจะเจ็บตัวเอานะ” พูดจบเขาก็ชกเข้าใส่ท้องชายอ้วนเต็มแรง
หวังเหมิงเป็นแค่คนธรรมดา เมื่อโดนอัดเข้าไปแบบนี้ก็ทำให้เขากรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และล้มตัวลงไปบนพื้น
เฉิงจินชักหมัดออกมา เผยให้เห็นมือของเขาที่มีหมอกสีดำเป็นเกราะห่อหุ้มอยู่
เขาขยับนิ้วทั้งห้า ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกระดูกข้อมือของหวังเหมิงที่เริ่มหักจากด้านในแล้วบิดไปมา
มันคือความเจ็บปวดลึกล้ำแสนสาหัสที่คนธรรมดาไม่อาจทนทานได้ เขาร้องออกมาอย่างเวทนา ตาเหลือกขึ้นบน
ในเวลาเดียวกัน ก็ได้มีเสียงร้องออกมาจากอีกฝั่งหนึ่งของห้อง เฉิงจินหันไปมองต้นเสียง ก่อนพบกับหญิงสาวที่แต่งงานแล้วอยู่บนเตียงในสภาพเนื้อตัวสั่นเทา
ชายหนุ่มไม่สนใจ หันกลับมามองหวังเหมิง ก่อนพบว่าชายร่างอ้วนหมดสติไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงจิ้มสะกิดร่างของชายอ้วน
เฉิงจินโยนพู่กันที่อาบไปด้วยหมึกดำแล้วไปบนพื้น ก่อนตะโกน “เขียนซะ ! ถ้าไม่เขียนละก็แกตาย !” เขาโบกมือข่มขู่ “ถัดจากข้อมือ ข้าจะหักขาเจ้า ขยี้ลูกตา ชกจมูก ก่อนปิดท้ายด้วยการหักคอ !”
หวังเหมิงกรีดร้องออกมาด้วยความเป็นปวด หากแต่ก็ไม่กล้ามองแขนตัวเอง ใบหน้าของเขาซีดเซียว “ข้าคือขุนนาง ที่ประจำการที่แห่งนี้ตามคำสั่งของราชสำนัก เจ้ามันสามหาวยิ่งนัก อย่าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปต่อให้จะต้องตายก็ตาม…”
ชายหนุ่มพยักหน้า “ในเมื่อเจ้าอยากจะเป็นแบบนั้น งั้นข้าก็จะสงเคราะห์ให้ !” ว่าแล้วเขาก็จับไปที่หัวเข่าของหวังเหมิง
ชายอ้วนรีบปฏิเสธทันที “ช้าก่อน ช้าก่อน ! ท่านแม่ทัพ ตราบเท่าที่ท่านปล่อยข้าไป ข้าจะยกเงินให้ท่านเท่าไหร่ก็ได้ !”
ราวกับเขาได้ยินมุกตลกที่ฝืดที่สุดในโลก เฉิงจินยิ้มออกมาอย่างช้า ๆ “ถ้าเป็นเรื่องเงินข้าคงไม่เข้าร่วมกองทัพหรอก ด้วยพลังของข้า เพียงไม่นานข้าก็รวยได้แล้ว แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ เจ้ามันคนเลวทรามที่จะพาทุกอย่างให้ล่มจม แล้วแบบนี้จะให้ข้าปล่อยเจ้าไปได้อย่างไร ?!” พูดจบเฉิงจินก็พลันทำการบีบหัวเข่าของหวังเหมิงเบา ๆ ก่อนจะใส่แรงเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ชั่วลมหายใจ
เขาค่อย ๆ เพิ่มแรงขยี้หัวเข่าของชายอ้วนไปเรื่อย ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายได้ลิ้มรสความเจ็บปวดได้อย่างเต็มที่
หวังเหมิงกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่จะยอมแพ้
“ข้าจะเขียน ข้าจะเขียน ! ข้ายอมแล้ว…” เขากรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด น้ำตาไหลออกมาปะปนไปหมดทั้งใบหน้า
“เยี่ยมมาก” เฉิงจินพยักหน้าให้อย่างพึงพอใจแล้วยื่นกระดาษให้เขา
ชายอ้วนเขียนข้อความทุกอย่างที่เกี่ยวกับการคดโกงของเขาอย่างสิ้นหวัง บนกระดาษแผ่นนั้น เต็มไปด้วยกลวิธีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเก็บภาษีที่สูงลิ่ว ไปจนถึงการใช้นักเลงไปเก็บค่าคุ้มครองจากเหล่าร้านค้าทั้งหลาย
หลังเขียนเสร็จ เฉิงจินก็หยิบกระดาษขึ้นมา ก่อนจะใช้มีดกรีดนิ้วของอีกฝ่ายเพื่อประทับลายนิ้วมือไว้เป็นหลักฐานบนกระดาษ
ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอก เขารู้ว่างานนี้มันเสี่ยงมาก ถ้าเกิดว่าอีกฝ่ายปฏิเสธจนตายละก็ เขาคงไม่มีหน้ากลับไปหาถังหยินแน่ เพราะยังไงเสียหวังเหมิงก็เป็นถึงเจ้าเมืองเฮิง ด้วยตำแหน่งแบบนี้อาจจะมีปัญหาในภายหลังถ้าหากเขาเป็นอะไรไป
จากนั้นก็พลันมีเสียงฝีเท้ามากมายดังขึ้น ตามมาด้วยประตูจวนที่เปิดออกจนสุด ก่อนที่จะมีทหารจำนวนมากเดินเข้ามา
พวกทหารยามภายในจวนที่เห็นดังนั้นต่างก็กลัวจนหนีกระจายไปคนละทาง
กองทหารจำนวนมากเหล่านั้น มาพร้อมกับถังหยินที่เดินปรากฏตัวออกมาท่ามกลางฝูงชน และที่ด้านข้างตัวเขานั้น ก็มีโอชิงและหยวนจี้เดินติดตามมาไม่ห่าง
ด้วยการนำทางของโอชิง ทั้ง 2 หนุ่มก็ได้พบเข้ากับคลังลับของหวังเหมิงที่เก็บเงินเอาไว้จำนวนมาก
ถ้าไม่นับเรื่องเงินละก็ สิ่งของที่อยู่ในห้องนี้เองก็มีมูลค่าที่มากมายมหาศาลพอ ๆ กัน
ถังหยินไม่เคยเห็นเงินมากมายขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
ในเวลาเดียวกัน หยวนจี้ที่ตามมาเองก็ตะลึงจนใบหน้าแดงก่ำ เขาเป็นคนที่จัดการเรื่องภายในทุกอย่าง ดังนั้นจึงไม่อาจหนีพ้นความผิดที่ไม่อาจจัดการเรื่องนี้ได้เลย !
จริง ๆ แล้วหยวนจี้นั้นต้องเป็นคนดูแลคัดเลือกพวกขุนนาง แต่ด้วยความที่งานยุ่งมาก จึงไม่ได้ลงไปตรวจสอบคนพวกนี้อย่างจริงจังนัก ทำให้เขาไม่อาจตรวจพบการโกงกินเหล่านี้ได้
หยวนจี้อับอายเป็นอย่างมาก ดังนั้นหลังจากที่พวกถังหยินออกจากห้องลับไปแล้ว เขาจึงหันกลับมาก้มหัว และโค้งคำนับลงต่ำ “นายท่าน นี่เป็นความผิดของข้าน้อยเองที่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้”
ถังหยินเป็นคนใจกว้าง เขาไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองแต่อย่างใด “นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอกหยวนจี้ คนผิดคือหวังเหมิงต่างหาก”
หยวนจี้ที่ได้ยินเช่นนั้น ไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นแต่อย่างใด หากแต่กลับยิ่งรู้สึกอับอายมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก !
เขายิ้มแห้ง ๆ ออกมาแล้วส่ายหัว พร้อมกับตั้งมั่นกับตนเองเอาไว้ ว่าต่อแต่นี้ไปจะใส่ใจมากกว่านี้ !!!
ถังหยินถามเจียฉี “แล้วเฉิงจินล่ะ ?”
“นายท่าน หัวหน้าเขาอยากพบท่านในห้องของหวังเหมิง !”
ได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มก็พลันเรียกตัวนายทหารให้พาไปยังห้องนอนของหวังเหมิงในทันที
เมื่อไปถึง เขาก็เห็นเฉิงจินกำลังทรมานหวังเหมิงอยู่ และทันทีที่อีกฝ่ายเห็นถังหยิน เขาก็พลันเข้ามาต้อนรับทันที “นายท่าน” จากนั้นก็ยื่นใบสารภาพของชายอ้วนให้
ถังหยินเงยหน้าขึ้น บอกให้อีกฝ่ายไม่ต้องมากพิธี ก่อนรับใบนั้นมาแล้วอ่านอย่างจริงจัง “เพื่อให้เขตปิงหยวนกลับสู่ความสงบสุขและเจริญรุ่งเรือง ข้าจึงขอประกาศให้มีการลดหย่อนภาษี แต่เจ้าก็ยังขัดต่อคำสั่งของข้างั้นหรือ ?”