ภายใต้การต้อนรับอย่างใหญ่โตจากทุกคนในเมือง ถังหยินก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจเป็นอย่างมาก
ชายหนุ่มที่ยังอยู่ในชุดเกราะที่กำลังเหนื่อยล้าอย่างมาก เมื่อกลับมาถึงจวนก็พลันเห็นเข้ากับฟานหมินอยู่ที่สวนหย่อม
หัวใจของเขาตื่นเต้นมากที่สามารถหาเรื่องดึงหยวนยู่เข้ามาให้ร่วมงานด้วยได้ในวันนี้มากก็จริง หากแต่คนตรงหน้านี้ก็สำคัญเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงปลีกตัวเดินออกมา
ไม่นานนักเขาก็เดินเข้ามาใกล้หญิงสาว “ฟานหมิน เจ้ารอข้าอยู่หรือเปล่า ?”
ความรู้สึกประหลาดก่อตัวขึ้นในหัวใจของหญิงสาว นางรีบส่ายหัว “ไม่หรอก ข้าแค่เห็นว่าเจ้าปลอดภัย… ข้าก็…”
ระหว่างที่พูดนางทำท่าเหมือนจะหนี หากแต่ถังหยินก็ได้จับมือของนางไว้ “ข้าต้องขอโทษเจ้าที่ทำให้เป็นห่วง”
ครั้งนี้ชายหนุ่มกุมมือของนางเอาไว้ เพื่อให้ความหมายว่าเขาจะไม่ทำให้นางต้องกังวลอีกต่อไป
ความรู้สึกมากมายพลันก่อตัวขึ้นในจิตของหญิงสาว พร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินออกมาอย่างไม่อาจควบคุม
น้ำตาของหญิงสาวเหมือนดั่งมีดที่แหลมคม ทำให้ชายที่หนักแน่นพ่ายแพ้ได้อย่างง่ายดาย แม้แต่ถังหยินเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่ด้วยเขานั้นไม่ใช่คนที่พูดเก่งมากมาย ดังนั้นในสถานการณ์แบบนี้ชายหนุ่มจึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำเช่นไร
สวนหย่อมเงียบมากพร้อมกับทุกคนที่หายหน้ากันไป
ถังหยินหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปาดน้ำตาของหญิงสาว มันคือผ้าผืนเดียวกันกับที่นางให้ไว้ก่อนที่เขาจะออกเดินทาง “เจ้ายังเก็บมันไว้อยู่หรือ ?”
“แน่นอน แต่ข้าดันทำมันสกปรกซะแล้วล่ะ” ชายหนุ่มก้มหัวตอบกลับ
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าจะเอาอันใหม่ให้เจ้าเอง” ฟานหมินหยิบมันมาจากมือของเขา
“ไม่จำเป็น” ถังหยินมองนางที่กำลังอยู่ใกล้กับหน้าอกของเขา ก่อนจะสัมผัสได้ว่าร่างของนางบางกว่าแต่ก่อนมาก จึงรู้ได้ในในทันทีว่าชีวิตของนางในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้มันยากลำบากมากเพียงใด
แต่ทว่าด้วยความเหนื่อยล้าที่สะสม ดังนั้นชายหนุ่มจึงได้เดิมกลับมาที่ห้องพร้อมกับให้ข้ารับใช้เตรียมน้ำอาบเอาไว้ และฟานหมินที่เดินตามมาติด ๆ ไม่ห่างกาย ก่อนที่เขาจะหันกลับไปพูดว่า “ข้าขออาบน้ำสักหน่อยนะ”
หญิงสาวตอบกลับ “งั้นข้าจะนั่งอยู่ข้างนอกก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มปลดเสื้อเกราะออก ซึ่งฟานหมินเอง นางก็ได้เข้ามาช่วยเขาถอดเสื้อด้วยเช่นกัน และเมื่อถอดออกจนครบแล้ว เขาก็พลันลงไปแช่น้ำในทันที
ห้องนอนของถังหยินใหญ่มากและมีฉากกั้น ซึ่งเขาก็ใช้มันเพื่อกั้นระหว่างทั้งสองคนเอาไว้
หญิงสาวนั่งจ้องมองฉากกั้นบาง ๆ นี้ไม่วางตา ก่อนเอ่ยถาม “แล้วเมืองของพวกมันเป็นยังไงบ้าง ? ใหญ่มากไหม ?”
ถังหยินเอนกายอยู่ในถังน้ำอย่างเปรมสุขก่อนจะตอบ “มันใหญ่มาก เกือบเท่าเมืองหยานเลยทีเดียว ทั้งยังมีร้านค้ามากมายเต็มไปหมด ทำให้พวกเราปล้นของมาได้ไม่น้อย ไว้ข้าจัดเรียงเสร็จแล้วจะมาเรียกเจ้าไปดูนะ”
“ถ้างั้นแล้วราชาของพวกมันล่ะ ?” ฟานหมินถามอย่างสงสัย
“ราชาของพวกมันก็คนธรรมดาเหมือนกับพวกเรานี่แหละ ถ้าไม่ติดว่าความปลอดภัยของเมืองต้องมาก่อน ข้าคงตัดหัวกลับมาฝากเจ้าแล้ว”
ฟานหมินเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง
“แล้วพวกเรา… จะต้องไปรบกับพวกมันอีกไหม ?”
ชายหนุ่มไม่อาจตอบคำถามนี้ได้ตรง ๆ ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นเบา ๆ “ก็ไม่รู้สินะ”
“ถ้าพวกเราสงบศึกได้ ข้าก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเจ้าอีก ข้าเชื่อว่าพวกเราสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ และถ้าเกิดยิ่งได้ค้าขายร่วมกันด้วยล่ะก็ ข้ามั่นใจเลยว่าปิงหยวนจะต้องยิ่งใหญ่ได้กว่านี้อย่างแน่นอน !”
ถังหยินไม่พูดอะไรต่อ เขายักไหล่แล้วพูดขึ้นลอยๆ “ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนไปได้โดยง่ายหรอกนะ”
แคว้นเฟิงและสมาพันธรัฐมอร์ฟีสเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานานหลายปี คงไม่มีทางที่จะทำให้สงครามนี้จบลงได้ในวันเดียวหรอก
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นจากถังน้ำแล้วใส่กางเกงเดินออกมา
ร่างกายของเขาล่ำพอสมควรและไม่มีส่วนเกินเลย มีกล้ามเป็นมัด ๆด้วยได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดีที่กลายเป็นซิกแพคเรียงตัวกันอย่างสวยงาม บ่งบอกได้ถึงพละกำลังมากมายที่เขามีอยู่ในร่างได้เป็นอย่างดี
เมื่อเห็นร่างอันเปลือยเปล่าท่อนบน ฟานหมินก็หน้าแดงจนต้องรีบพูด “ทะ…ทำ…ทำไมเจ้าถึงไม่ใส่เสื้อก่อนเล่า ?”
นางเป็นลูกหลานตระกูลผู้ดี ดังนั้นจึงไม่เคยเห็นชายคนไหนในร่างเปลือยเปล่าแบบนี้มาก่อน ทำให้นางเริ่มมีความรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมา
ถังหยินประหลาดใจ เขาคิดว่าหญิงสาวของแคว้นเฟิงนั้นเป็นคนที่หัวก้าวหน้ากว่าโลกปัจจุบันของเขาเสียอีก แต่ดูท่าแล้วคงจะไม่ใช่ทุกนางเสียแล้วกระมั้ง ? ดังนั้นเขาจึงคิดแกล้งหญิงสาวตรงหน้าเสียหน่อย “เจ้าไม่อยากเห็นข้าอาบน้ำหรือ ?”
“ใครมันจะอยากดูกัน ?!” นางตอบกลับอย่างเขินอาย ใบหน้าแดงก่ำ หากแต่ดวงตาก็ยังคงจ้องมองไปยังร่างของชายหนุ่มอยู่ตลอดเวลา
ถังหยินไม่อาจทนไหวได้อีกต่อไป สายตาของเขาจดจ้องแล้วเดินเข้าไปกระซิบข้างหูของฟานหมิน “ถ้าเจ้ามองข้าแบบนี้ มันก็แสดงว่าเจ้าสนใจข้าสินะ ?”
ลมหายใจของเขาผ่านใบหูของฟานหมิน ทำให้นางเริ่มอ่อนระทวย
นางไม่เข้าใจความหมายนี้ หากแต่ก็โดนถังหยินจับเข้ามาจูบอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันได้เอ่ยคำใด
อารมณ์รุนแรงและความป่าเถื่อนราวกับปีศาจแห่งราคะเข้าครอบงำเขา…
ดวงตาของหญิงสาวเบิกโพลงเฉกเช่นเดียวกับหัวที่ขาวโพลนโล่งไปหมด แต่แล้วนางก็หลับตา ก่อนปล่อยให้ร่างกายของนางเคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณ ภายใต้การนำของชายหนุ่มที่โอบกอดนางอยู่ตลอดคืนนี้
วันต่อมา ที่ห้องโถงหลัก
ถังหยินมาที่นี่และพบว่าเหล่าขุนนางได้กลับออกไปหมดแล้ว เหลือแค่เพียงแม่ทัพกับทหารทั้งหลาย
เขานั่งลงบนเก้าอี้และถาม “พวกเจ้าทำได้ดีมาก ข้าขอรายงานความเสียหายด้วย” ระหว่างที่พูดเขาก็เห็นว่ามีใครคนหนึ่งหายไป
เขาที่ยังไม่รู้ถึงการตายของจางโจวจึงได้มองกวาดสายตาไปยังชิวเจิ้นกับมูฉิง ซึ่งทั้งสองก็ทำแค่เพียงก้มหน้าก้มตา
ในที่สุดมูฉิงก็รวบรวมความกล้าพูดขึ้นมาเบาๆ “นายท่าน… แม่ทัพจาง… ตายตอนที่เขาลอบโจมตีค่ายของพวกศัตรู”
“ว่าไงนะ ?” แม้ว่าถังหยินจะไม่ชอบหน้าจางโจวนัก แต่ก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายตายเหมือนกัน ดังนั้นหลังจากที่ได้ยินข่าวนี้เขาก็ถึงกับตะลึงไปสักพัก
มูฉิงเองก็รู้ตัวดี เขาพยายามรวบรวมสติเพื่ออธิบายทุกอย่างให้ชัดเจนกระจ่างแจ้ง “แม่ทัพจางได้รับคำสั่งจากข้า ให้ไปเผาทำลายคลังเสบียงของพวกเบสซ่า แต่ตัวเขาและทหารกลับถูกล้อมจากศัตรูอย่างหนักจนไม่สามารถหนีกลับออกมาได้ ซ้ำร้ายยังถูกทหารม้าไล่ขยี้อีก จนสุดท้ายเขาก็จำต้องยอมสู้ขาดใจเพื่อเปิดทางให้กับแม่ทัพไป่หนีออกมาได้”
คำพูดของมูฉิงยกย่องแม่ทัพคนนี้อย่างที่สุด และในใจของเขาเองก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดอย่างถึงที่สุดด้วยเช่นกัน แม้ว่าความจริงแล้วความผิดทั้งหมดจะไม่ได้เกิดขึ้นเพราะคำสั่งของเขา หากแต่เป็นเพราะพวกศัตรูที่บังเอิญเข้ามาก็ตาม
ถังหยินจ้องมองมูฉิงอยู่นานก่อนจะถาม “แล้วร่างของแม่ทัพจางได้รับการฝังแล้วหรือยัง ?”
มูฉิงก้มหน้าก้มตาอย่างรู้สึกผิด ก่อนจะเป็นทีของชิวเจิ้นที่พูดขึ้นมา “พวกเราหาร่างของแม่ทัพจางไม่เจอขอรับ มีเพียงแค่หมวกของเขา…”
ตึง !
ถังหยินทุบโต๊ะด้วยความโมโห “เจ้าหาร่างของเขาไม่เจองั้นหรือ ?!”