ถังหยินคิดในใจและถามว่า “ชิวเจิ้น แล้วเจ้าต้องการให้ทำเช่นไร ?”
ชิวเจิ้นหันหน้าไปมองเหลียงซิง อู่หยู และจี้หยางก่อนกล่าวว่า “การที่จะโค่นล้มซ่งเทียน เพียงอำนาจของผู้ปกครองมณฑลอย่างเดียวนั้นยังไม่มากพอ เรายังต้องการความช่วยเหลือจากท่านเสนาบดีทั้ง 2 ท่าน และก็แม่ทัพใหญ่จี้หยางด้วย !”
“โอ้ ? พวกข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไรหรือกัน ? ”
“ตอนนี้แม้ว่าซ่งเทียนจะเข้าควบคุมกองทหารของพวกท่านทั้ง 3 แต่ข้าเชื่อว่าทหารส่วนใหญ่ยังคงภักดีต่อพวกท่านเหมือนเดิม และถ้าท่านทั้งสามต้องการ ทหารเหล่านั้นก็คงจะยอมเข้าร่วมกับพวกเราเป็นแน่ ทำให้กำลังทหารของเราเพิ่มขึ้นอย่างมาก เช่นเดียวกับที่ทำให้ความแข็งแกร่งของซ่งเทียนลดลง ซึ่งมันก็จะกลายเป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่เราจะสามารถขับไล่กองทัพหนิง กำจัดซ่งเทียน และยึดเมืองหลวงคืน ก่อนฟื้นฟูแคว้นของเรา !” ชิวเจิ้นกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
สิ่งที่เขาต้องการจะพูดก็คือสิ่งเดียวกันกับที่ถังหยินต้องการจะพูด หากแต่ที่เด็กหนุ่มพูดนั้น มันดูเหมาะสมกว่า
หลังจากฟังคำพูดของเขา เหลียงซิง อู่หยูและจี้หยางก็พากันกลั้นหายใจ ก้มหน้าคิดและนิ่งเงียบ ก่อนที่หลังจากนั้นไม่นาน จี้หยางก็จะตอบด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น “ตอนนี้พวกเรา 3 คนไม่ได้เป็นผู้นำของพวกเขาแล้ว ดังนั้นเรื่องที่พวกเขาจะยังภักดีกับพวกข้าหรือไม่ มันก็เป็นอะไรที่ไม่สามารถยืนยันได้”
“งั้นทำไมไม่ลองดูเล่า ?” ชิวเจิ้นกล่าว “ถ้าพวกเขาเข้าร่วมกับเราก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าไม่ งั้นมันก็ไม่มีอะไรให้ต้องเสียหายเลยแม้แต่น้อย”
ชายชราทั้งสามมองหน้ากันและพยักหน้า ต่างเห็นด้วยกับคำพูดของชิวเจิ้น
ก่อนที่อู่หยูจะเป็นคนแรกที่พูด “ข้าเห็นด้วยกับท่านชิว ดังนั้นข้าจะลองเขียนข้อความถึงผู้ใต้บังคับบัญชาเก่า หากแต่การส่งไปให้ถึงเมืองหยานนั้น เกรงว่าจะค่อนข้างยากเอาการ”
ชิวเจิ้นที่ได้ยินดังนั้นก็พลันหัวเราะและพูดว่า “ท่านเสนาบดีอู่ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ พวกเรามีสายลับอยู่ที่เมืองหยาน และถึงแม้เรื่องใหญ่ ๆ อาจทำได้ไม่ดีนัก ทว่าการส่งข้อความที่ว่านั้นไม่ใช่ปัญหาอย่างแน่นอน”
“เยี่ยมเลย !” อู่หยูพยักหน้าและตอบกลับ
เมื่อได้ยินเขาพูดอย่างนั้น เหลียงซิงและจี้หยางก็เหมือนจะเห็นด้วย พากันยินดีที่จะส่งข้อความถึงคนของพวกเขา เพื่อกระตุ้นให้คนพวกนั้นเดินทางมายังมณฑลเทียนหยวน
เมื่อได้รับการอนุมัติ ใบหน้าของชิวเจิ้นก็เต็มไปด้วยความสุข ทั้งยังใช้สายตาลอบมองไปที่ถังหยิน ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้และไม่ขยับไปไหนแม้แต่น้อย
เห็นได้ชัดว่าถังหยินพอใจกับคำแนะนำของเขา ไม่งั้นคงจะแย้งไปแล้ว และหลังจากนั้นครู่หนึ่ง ชิวเจิ้นก็จึงพูดต่อ “ซ่งเทียนแย่งชิงบัลลังก์และคนทั่วแคว้นต่างก็เกลียดเขา เพียงแต่ว่าพวกชาวบ้านนั้นขาดผู้นำ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าพูดหรือทำอะไรออกไป”
คำพูดของเด็กหนุ่ม พวกเขาทั้งสามก็ล้วนแต่เห็นด้วย หากแต่ก็ใช่ว่าชราแล้วจะโง่เขลา เพราะพวกเขานั้นรู้ดี ว่าตอนนี้ผู้ที่รับผิดชอบดูแลมณฑลเทียนหยวนคือถังหยิน ส่วนชิวเจิ้นนั้นก็เป็นเพียงผู้ช่วยเท่านั้น ทำให้คำพูดนี้ไม่อาจแสดงถึงความตั้งใจที่แท้จริงของถังหยินได้
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาทั้งสามจึงหันศีรษะเข้าหากัน ก่อนจะมองไปที่ถังหยินซึ่งกำลังนั่งตัวตรงบนเก้าอี้และไม่พูดอะไรสักคำมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
ถ้าบอกว่าก่อนหน้านี้ถังหยินมีความสุขมาก งั้นแล้วมาตอนนี้ชายหนุ่มก็ได้เปลี่ยนจากความสุขเป็นความโกรธแล้ว เพราะต้องอย่าลืมถึงสาเหตุที่เขายอมเสี่ยงชีวิตช่วยทั้ง 3 ตระกูล ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการเพิ่มกำลังพล และลดกำลังทหารของซ่งเทียนแล้ว ชายหนุ่มก็คงไม่ทำเรื่องที่เสียเวลาเช่นนี้
อีกอย่าง เขาก็ไม่ต้องการให้ทั้ง 3 คนมาแทนที่เขา ซึ่งคำพูดของชิวเจิ้นนั้นมันก็ดูจะเป็นการเชิญชวนให้ทั้ง 3 คนมีอำนาจเพิ่มมากขึ้น แล้วแบบนี้เขาควรทำเช่นไร ? จะยอมให้ตัวเองโดนขโมยผลประโยชน์ไปงั้นหรือหลังจากที่พยายามอย่างหนัก ! ถ้าเป็นคนอื่นพูดแบบนั้น ถังหยินคงจะมองอีกฝ่ายเป็นศัตรูทันที หากแต่เนื่องจากชิวเจิ้นเป็นคนพูดแบบนั้น มันจึงเป็นเรื่องที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ด้วยความภักดีของชิวเจิ้นที่มีต่อเขา ทำให้ถังหยินเชื่ออีกฝ่ายหมดใจ และเขาเองก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าชิวเจิ้นนั้นมีความทะเยอทะยานเพียงใด ซึ่งด้วยบุคลิกของเด็กหนุ่มแล้ว อีกฝ่ายจะไม่มีวันบอกคนอื่นว่าเขาเต็มใจที่จะสละอำนาจเด็ดขาด ! ดังนั้นถ้าเขาพูดอย่างนั้น งั้นแล้วมันก็ต้องมีความลับที่เขาไม่สามารถเปิดเผยได้ !
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ถังหยินก็พลันยิ้มออกมา ก่อนจะกล่าวออกไปว่า “สิ่งที่ชิวเจิ้นพูดนั้นเป็นความจริงอย่างยิ่ง และคำพูดของเขาก็เป็นสิ่งที่ข้าต้องการจะบอก”
หลังจากได้ยินคำเหล่านี้ ดวงตาของชิวเจิ้นก็วาววับ ในขณะเดียวกันเขาก็อดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจอยู่เงียบ ๆ ถังหยินเชื่อใจตัวเองมากขนาดไหนถึงกล้าจะพูดเช่นนั้นได้ ! ซึ่งบางทีก็คงมีเพียงแค่คนคนนี้เท่านั้นจากโลกทั้งใบที่เชื่อเขาอย่างหมดใจ !!!
ความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 คนค่อย ๆ ดีขึ้นตามความไว้วางใจที่เพิ่มมากขึ้นในกันและกัน
คำพูดของถังหยินทำให้เหลียงซิง อู่หยูและจี้หยางสบายใจ ก่อนที่ชายชราทั้งสามจะหัวเราะอย่างมีความสุข ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นดูดีขึ้นในขณะที่กล่าวว่า “เราจะส่งร่างข้อความให้เจ้าพรุ่งนี้ !”
ชิวเจิ้นที่ได้ยินดังนั้นก็พลันยืนขึ้น กำมือของเขาแน่นก่อนหัวเราะ “เยี่ยม !”
เหลียงซิง อู่หยูและจี้หยางดูจะพอใจเป็นอย่างมากกับข้อตกลงนี้ ด้วยก่อนหน้านี้พวกเขาร่ำรวยและมีอิทธิพลในราชสำนัก หากแต่มาตอนนี้พวกเขากลับไร้ซึ่งสิ่งใด ซึ่งหากพวกเขากลับไปที่เมืองหลวงและสังหารทรราชย์เฒ่าซ่งเทียนได้ งั้นแล้วพวกเขาก็จะกลายเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในแคว้น !
นอกจากนี้ สายเลือดของทางอ๋องเองก็ยังคงมีเหลือรอดอยู่แน่ ! หากแต่อำนาจของพวกเขาคงถูกกวาดล้างออกหมดแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่อ๋องคนใหม่จะถูกคัดเลือกโดยคนทั้งสาม ! ซึ่งหากพวกเขาต้องการเอาชนะและมีอำนาจเหนือคู่แข่งอีกสองคน งั้นแล้วพวกเขาก็จะต้องเลือกเขาหรือนางมาให้การสนับสนุน เพื่อสร้างฐานอำนาจใหม่อีกครั้ง !!!
ตอนนี้พวกเขาเพิ่งพ้นจากอันตราย หากแต่ก็ได้เริ่มวางแผนต่อสู้ชิงอำนาจกันแล้ว …นี่ก็คงจะเป็นเรื่องปกติของประเพณีชนชั้นสูงละมั้ง !
หลังจากการประชุมสิ้นสุดลง ถังหยินก็ได้สั่งให้เตรียมงานเลี้ยงต้อนรับเหลียงซิง อู่หยูและจี้หยาง โดยหลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว ก็มีเพียงถังหยินและชิวเจิ้นที่ยังคงอยู่…
ตอนนี้เหลือเพียงชาย 2 คนในเต็นท์เท่านั้น ก่อนที่ชิวเจิ้นจะหันมองไปที่ถังหยินและยิ้มกว้าง หากแต่ฝ่ายหลังนั้นไม่มีรูปลักษณ์ที่ยิ้มแย้มแจ่มใสอีกต่อไปแล้ว เขาขมวดคิ้วก่อนกล่าว “ยังกล้าหัวเราะอีก มณฑลของข้าเกือบถูกขายแล้วนะ !”
“หัวเราะ ??” ชิวเจิ้นหัวเราะออกมาดัง ๆ และกล่าวว่า “นายท่านคิดว่ากองทัพต้องพึ่งอะไร ?”
ถังหยินไม่เข้าใจคำถาม “พึ่งอะไร ?”
“เงินค่ายุทโธปกรณ์ เสบียง และเบี้ยเลี้ยงทหาร !”
ชิวเจิ้นหุบยิ้มของเขาและกล่าวอย่างเข้มงวด “เหลียงซิง อู่หยู และจี้หยางจะเขียนข้อความถึงผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขา ทำการเรียกให้คนเหล่านั้นมาที่นี่เพื่อแสดงความจงรักภักดี ซึ่งหากพวกเขายอมมาจริง งั้นแล้วคนเหล่านั้นก็จะตกอยู่ใต้อำนาจของคนทั้งสาม”
“ซึ่งนายท่านก็ต้องอย่าลืมนะว่าพวกเราเป็นคนเกณฑ์ทหารให้พวกเขา และอีกอย่าง พวกเขาเหล่านั้นก็ถือได้ว่าทำงานให้กับพวกเรา ทำให้ง่ายยิ่งนักต่อฝ่ายเราที่จะดูดซับพวกเขาเข้าสู่กองทัพเทียนหยวน นอกจากนี้ ภาพลักษณ์ของการเป็นผู้กอบกู้ก็จะมาตกอยู่ที่กองทัพของเรา เท่ากับเราสามารถซื้อใจผู้คนในแคว้นได้อย่างง่ายดาย”
“ในท้ายที่สุดแล้ว คนที่ถือกำลังทหารไว้ในมือและซื้อใจผู้คนได้ก็คือผู้มีอำนาจต่อรองอย่างแท้จริง ไม่ใช่เหลียงซิง อู่หยู และจี้หยางแต่อย่างใด ในโลกที่สับสนวุ่นวายนี้ มีเพียงผู้เป็นเจ้าของกองทัพเท่านั้นที่จะทำให้มันเกิดขึ้นจริงได้ สำหรับผู้ที่ไม่มีอาวุธ ทุกอย่างมันก็เป็นเพียงการพูดคุยที่ว่างเปล่าเท่านั้น”
“และหากเหลียงซิงกับคนอื่น ๆ ต้องการเรียกร้องให้ผู้บัญชาการของพวกเขาขึ้นมามีบทบาท งั้นแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับนายท่านว่าจะทำเช่นไร เพราะพวกเขาไม่ได้มีอำนาจอย่างแท้จริง ซึ่งเมื่อถึงเวลาอันสุกงอม เราก็สามารถไล่พวกเขาให้พ้นทางไปได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าพวกเขาทั้งสามจะขุ่นเคืองในใจ หากแต่พวกเขาก็จะไม่กล้าบ่นแม้แต่น้อย ด้วยยังไงเสียพวกเขาและครอบครัวทั้งหมดก็ล้วนแต่อยู่ในกำมือของนายท่าน กลายเป็นตัวประกันที่จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด ! ”
ถังหยินตั้งใจฟังมาก และเมื่อได้ฟังชิวเจิ้นวิเคราะห์สถานการณ์เสร็จแล้วชายหนุ่มก็ยิ้มออกมา ด้วยพึงพอใจกับสิ่งที่เด็กหนุ่มเล่าให้ฟัง !
ชิวเจิ้นเจ้าเล่ห์เพียงใดกัน ? แผนการและความเฉลียวฉลาดของเขาอาจลึกกว่าซ่งเทียนที่ชิงบัลลังก์ท่านอ๋องมาเสียอีก ซึ่งมันก็ทำให้ถังหยินรู้สึกดีใจยิ่งนักที่เขามีผู้ช่วยที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้
ถ้าถังหยินเป็นหมาป่าแล้ว งั้นชิวเจิ้นก็เป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่มาเป็นมิตรกับหมาป่า !
หลังจากได้ยินคำอธิบายของชิวเจิ้น ถังหยินก็โล่งใจในที่สุด เช่นเดียวกับทัศนคติของเขาที่มีต่อเหลียงซิง อู่หยูและจี้หยางที่ดูจะเปลี่ยนไปในฉับพลัน
หลังจากออกจากเต็นท์ ถังหยินก็ได้ถามทหารของเขาว่าอู่เหมยพักอยู่ที่ไหน ก่อนที่จะเดินออกไปโดยไม่ได้พาผู้ติดตามไปด้วย
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาไม่มีเวลาอยู่คนเดียวกับอู่เหมยมากนัก ด้วยเพราะเขากำลังยุ่งอยู่กับเดินทาง และก็เพราะมีคนจำนวนมากเกินไปในตระกูลอู่จนทำให้ชายหนุ่มไม่สะดวกใจ
ตอนแรกชายหนุ่มคิดว่าในห้องของอู่เหมยจะไม่มีใครอยู่อีกแล้ว หากแต่สุดท้ายแล้วเขาก็คิดผิด เพราะไม่เพียงจะมีใครบางคนอยู่ในนั้น หากทว่านั่นยังเป็นคนที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะได้พบกัน ฟานหมิน
เมื่อถังหยินเห็นฟานหมินอยู่ในห้องของอู่เหมย เขาก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ด้วยชายหนุ่มไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเหตุใดฟานหมินจึงมาที่นี่
ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นท่าทางประหลาดใจ หากแต่ฟานหมินยังคงสงบราวกับว่านางรู้แล้วว่าเขากำลังจะมา หญิงสาวเพียงยิ้มให้เขาและพูดอย่างสบาย ๆ “พี่ใหญ่ถัง กลับมาแล้วเหรอ !”
ถังหยินยืนอยู่ที่ทางเข้าประตูโดยไม่ขยับไปไหน ทำให้อู่เหมยเพ่งมองไปที่พวกเขาสองคนอย่างสงสัย และด้วยสัญชาตญาณความเป็นหญิง มันก็ทำให้นางรู้สึกได้ในทันทีว่าความสัมพันธ์ของถังหยินกับฟานหมินนั้นไม่ธรรมดาเลย
อู่เหมยเกิดในตระกูลสูงศักดิ์ ในขณะที่ฟานหมินเกิดในครอบครัวค้าขายที่ร่ำรวยที่สุดในแคว้น ทำให้ทั้ง 2 ครอบครัวเคยมีปฏิสัมพันธ์กันบ่อยครั้ง ดังนั้นอู่เหมยและฟานหมินจึงรู้จักกันมานานแล้ว
คราวนี้ฟานหมินมาที่นี่ในฐานะแขก เพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ของถังหยินกับอู่เหมย และดูว่าเขาจะมาไหม ซึ่งถ้าเขามา นางก็จะทักทายเขา
แน่นอนว่าฟานหมินเดาถูก ถังหยินมาตามที่นางคิดจริง ๆ
เมื่อเห็นใบหน้าของถังหยินที่ดูจะอึดอัดใจ ฟานหมินก็พลันลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปจับแขนชายหนุ่ม ทำการดึงเขาเข้าไปในห้องและพูดด้วยรอยยิ้ม “อู่เหมยเป็นเพื่อนสนิทของข้า และพี่ใหญ่ถังก็เป็นคู่หมั้นของข้า มันช่างบังเอิญเหลือเกินที่เจ้าทั้ง 2 คนรู้จักกัน ”
แม้ว่าจะเตรียมใจมาแล้ว แต่เมื่อได้ยินฟานหมินพูดว่าถังหยินเป็นคู่หมั้นของนาง ร่างกายของอู่เหมยก็พลันสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม
หากเป็นคนอื่น ด้วยความภาคภูมิใจที่มี นางก็คงจะเลือกที่จะถอนตัวโดยไม่ลังเลแน่นอน หากแต่นี่คือถังหยิน และอีกคนก็คือฟานหมินที่นางดูถูกมากที่สุด ดังนั้นมีหรือที่อู่เหมยจะยอมถอย !!!