หยวนยู่เป็นคนที่ชอบทะเลาะวิวาท และเขาก็นับได้ว่าเป็นแม่ทัพที่มีอำนาจสั่งการใหญ่สุดในตอนนี้ ดังนั้นถ้าเขาไม่ยอมถอย ก็ไม่มีใครจะสามารถทัดทานเขาได้
เปิงเฮาฉูเข้าพบหยวนยู่และกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพหยวน นายท่านถังได้มีคำสั่งให้ถอนกำลังแล้ว และหากกองทัพของเราไม่ถอย มันก็จะเป็นการขัดคำสั่ง ทำให้เราถูกลงโทษอย่างหนักได้”
หยวนยู่ส่งเสียงเยาะเย้ยและโบกมือกล่าวว่า “อย่าอ้างกฎกับข้า แม้ว่าข้าจะไม่รู้เรื่องนี้มากนัก แต่ข้าได้ยินมาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าต่างหากที่สำคัญมากกว่า แม้ว่ามันจะเป็นการขัดคำสั่งก็ตาม”
เปิงเฮาฉูโกรธจนแทบคลั่ง ด้วยภารกิจในการหยุดการเสริมกำลังของข้าศึกนั้นเสร็จสิ้นแล้ว และไม่มีเหตุผลใดที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปโดยไม่รายงานกลับ
เขารู้ดีว่าสาเหตุที่หยวนยู่เลือกที่จะอยู่ และคิดต่อสู้กับกองทัพของซ่งเวินเป็นเพราะเขาต้องการ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ฝ่ายของพวกเขามีคนน้อยกว่าศัตรูมากนัก ดังนั้นมันจึงเสี่ยงเป็นอย่างมาก หากแต่ก็นั่นแหละ ถึงแม้ใจจะคิดได้เช่นนั้น หากแต่ปากของเขากลับไม่กล้าที่จะพูดออกไป
หลังกลอกตาไปมา เปิงเฮาฉูก็กลั้นใจถามไปว่า “แล้วท่านแม่ทัพหยวนคิดจะรอไปถึงเมื่อไหร่ขอรับ ? กองทัพของเราไม่ได้นำเสบียงมามากนัก ดังนั้นหากนานกว่านี้ กองทัพของเราก็อาจจะไม่เหลือเสบียงอีกนะขอรับ !”
“หืม ?” เมื่อได้ยินปัญหาเรื่องเสบียง หยวนยู่ก็ครุ่นคิดสักพักก่อนที่จะพูดว่า “ถ้าข้าศึกไม่ปรากฏตัวในเช้าวันพรุ่งนี้ เราจะล่าถอยทันที !”
เปิงเฮาฉูถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ด้วยกลัวว่าหยวนยู่จะเปลี่ยนใจ เขาจึงรีบตอบว่า “รับทราบขอรับ ! จะปฎิบัติตามที่สั่ง”
หยวนยู่ถอนหายใจ เขายืนอยู่บนโขดหินที่ยื่นออกมา หันมองไปทางมณฑลจิงกวงพลางพึมพำออกมา “ซ่งเวินเคลื่อนทัพมาถึงไหนแล้วกันแน่ เหตุใดยังไม่มาอีก”
เปิงเฮาฉูหัวเราะอย่างขมขื่น ด้วยตอนนี้พวกเขามีกองกำลังเพียงแค่ 6 หมื่นนายเท่านั้น ผิดกับฝ่ายซ่งเวินที่มีกำลังมากถึง 1 แสนกว่านาย
เดิมทีเปิงเฮาฉูคิดว่าหลังจากคืนนี้ เขาจะสามารถกลับไปที่ค่ายทหารได้ในเช้าวันรุ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม เขากลับไม่ได้คาดคิดเลยว่ากองทัพที่ยิ่งใหญ่ของซ่งเวินซึ่งไม่เคยปรากฏตัวมาจนถึงตอนนี้จะมาถึงชายแดนโดยไม่คาดคิด
เกือบจะค่ำแล้ว หยวนยู่พร้อมกับเปิงเฮาฉูและทหารที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเขากำลังรับประทานอาหารอยู่ในเวลานี้ ก่อนที่หน่วยสอดแนมจากเนตรเวหาจะวิ่งเข้ามา คุกเข่าต่อหน้าทุกคนและรีบร้อนกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพหยวน ท่านแม่ทัพเปิง กองทัพของซ่งเวินอยู่ใกล้ชายแดนแล้ว พวกเขาปักหลักตั้งค่ายห่างจากที่นี่ประมาณ 10 ลี้”
“หืม ?” เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยวนยู่ก็พลันรู้สึกกระปรี้กระเปร่า เขาโยนชามและตะเกียบในมือทิ้งไปโดยไม่คิด ก่อนยืนขึ้นและถามอย่างตื่นเต้นว่า “นั่นเป็นเรื่องจริงใช่ไหม ?”
ทหารหน่วยสอดแนมผู้นั้นดูจะตกตะลึงเล็กน้อยกับท่าทางของอีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวอย่างกังวลใจ “เรื่องแบบนี้ข้าโกหกไม่ได้หรอกขอรับ !”
หยวนยู่พยักหน้าแล้วหันไปยิ้มให้เปิงเฮาฉู “สวรรค์เข้าข้างข้าซะจริง ๆ! สหายเปิง คืนนี้ตอนเที่ยงคืนพวกเราจะไปปล้นค่ายซ่งเวินกัน เจ้าคิดว่าอย่างไร ?”
เปิงเฮาฉูส่ายหัวพัลวัล รีบปฏิเสธทันที “ไม่ ! ท่านแม่ทัพหยวน ถ้าเราจู่โจมอย่างกะทันหันในขณะซุ่มโจมตีเราอาจจับศัตรูไว้ได้ แต่ถ้าเราต้องต่อสู้กันตรง ๆ จำนวนทหารของเราจะด้อยเกินไปทำให้ยากที่เราจะชนะได้”
หยวนยู่กลอกตาไปที่เปิงเฮาฉูและคิดในใจ ‘นี่มันอันใดกัน ข้าไม่เห็นจำต้องใช้แผนการขี้ขลาดเช่นนั้นเลย !’ เมื่อคิดเช่นนั้น เขาก็จึงตะคอกออกไปว่า “ถ้ากลัวมากนักล่ะก็ จะหลบอยู่แต่ในค่ายก็ได้นะ ข้าไม่ได้ว่าอันใด”
แท้ที่จริงแล้วเปิงเฮาฉูหาได้ขี้ขลาดตาขาวไม่ เขาเพียงกลัวว่าการศึกครั้งนี้จะทำให้หยวนยู่ออกไปตายเปล่าก็เท่านั้น
ดูท่าหยวนยู่จะรู้สึกรำคาญกับท่าทีของเปิงเฮาฉู เขาจึงจ้องมองอีกฝ่าย และพูดเสียงแข็งออกมา “คืนนี้ข้าจะพาพี่น้อง 3 พันคนไปกับข้าเท่านั้น ส่วนคนที่เหลือข้ายกให้เป็นหน้าที่ท่านพากลับไปก็แล้วกัน อย่าได้ขัดอะไรข้าอีก นี่เป็นคำสั่ง !”
เมื่อเห็นว่าหยวนยู่โกรธ เปิงเฮาฉูก็กลืนน้ำลายและไม่พูดอีกต่อไป แต่ทว่าอีกฝ่ายคิดจะใช้กำลังคนเพียง 3,000 นายเท่านั้นหรือ แล้วแบบนี้จะให้เขานิ่งเฉยได้ไง ? ตัวเขานั้นไม่สนใจหรอกว่าอีกฝ่ายจะอยู่หรือตาย แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับหยวนยู่จริง งั้นแล้วเขาก็คงจะต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาด้วย
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้วางแผนที่จะไปกับหยวนยู่ หากแต่เลือกที่จะเข้าช่วยเหลืออย่างเงียบ ๆ ในภายหลังแทน เนื่องจากหยวนยู่ทั้งก้าวร้าวและหยิ่งผยอง จึงเป็นการดีที่เขาจะได้เรียนรู้ก่อน
เมื่อถึงเวลากลางคืน หยวนยู่ก็ไม่รอช้า รวบรวมทหารชั้นยอดจำนวน 3 พันนาย พร้อมกับร้องสั่งให้หน่วยสอดแนมที่มารายงานผู้นั้นเป็นผู้นำทาง ก่อนจะออกจากจุดซุ่มโจมตี และรีบตรงไปยังค่ายที่ซ่งเวินประจำอยู่
ซ่งเวินนั้นเป็นบุตรชายคนรองของซ่งเทียน และเนื่องจากเขาไม่ได้เต็มใจเป็นแม่ทัพในศึกครานี้เสียเท่าไหร่ ซ่งเวินจึงได้ทำการแยกกองทัพของเขาออกเป็น 2 กอง โดยให้กองหน้าจำนวน 2 แสนนายเป็นหัวหอก ส่วนกองกำลังที่เหลือก็ตามหลังไปในระยะปลอดภัย
ส่งผลให้ในสายตาของถังหยินและแม่ทัพภายใต้การบังคับบัญชาของเขา ซ่งเวินก็เป็นเพียงนายน้อยไร้ความสามารถ ที่อาศัยอำนาจของบิดาตนเองเพื่อขึ้นเป็นผู้บัญชาการในกองทัพก็เท่านั้น
หยวนยู่ก็มีความคิดเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่เห็นซ่งเวินและกองทัพใต้การบังคับบัญชาของอีกฝ่ายอยู่ในสายตาเลย
หยวนยู่ให้คนของเขาเข้าใกล้ค่ายของซ่งเวินอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมาหยุดซ่อนตัวอยู่ในป่าใกล้ ๆ จากนั้นเขาก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้สูงใหญ่เพื่อมองสำรวจรอบ ๆ
ไม่ไกลออกไปเท่าไหร่ มีรั้วไม้ตั้งอยู่ล้อมรอบ กับป้อมยามสูงที่สร้างขึ้นภายในรั้วนั่น คอยทำหน้าที่แจ้งเตือนภัยที่อาจเข้ามา
เพียงแค่ดูขนาดของมัน ก็ยากที่จะจินตนาการได้ว่าค่ายขนาดใหญ่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นภายในระยะเวลาสั้น ๆ ได้อย่างไรแล้ว
หยวนยู่ไม่รู้วิธีตั้งค่าย และไม่รู้ว่าค่ายของซ่งเวินดีหรือไม่ดี ด้วยเขาไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย
หลังจากสำรวจจนทั่ว หยวนยู่ก็พบว่าในค่ายใหญ่แห่งนี้ กลับไม่มีทหารลาดตระเวนอยู่รอบ ๆ เลยแม้แต่น้อย แม้แต่ป้อมยามก็ไม่มีใครอยู่ จะมีก็เพียงทหารรักษาการณ์เพียงไม่กี่นายที่ยืนเฝ้าอยู่ในพื้นที่สำคัญของค่ายเท่านั้น
หลังจากวิเคราะห์จบ หยวนยู่ก็หัวเราะกับตัวเอง พร้อมกับคาดเดาว่าที่เป็นแบบนี้คงเพราะซ่งเวินไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมีคนลอบโจมตีค่ายของตนเป็นแน่ และการตัดสินใจในครั้งนี้ก็นับว่าถูกต้อง ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่ามันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งหากเปิงเฮาฉูมาด้วย แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายขี้ขลาดเกินไป แต่ถึงอย่างงั้นก็คงจะไปตำหนิอะไรอีกฝ่ายไม่ได้
ว่าแล้วเขาก็กระโดดลงมาจากต้นไม้ กวาดสายตาไปที่ทหารทั้ง 3 พันนายและพูดด้วยเสียงต่ำ “ค่ายของศัตรูหละหลวมมาก ดังนั้นเราจะบุกโจมตีอย่างรวดเร็ว จงตามข้ามาให้ติด สังหารทุกคนที่เจ้าพบไม่ต้องละเว้น รับทราบ ?!”
ทหารพวกนี้เคยได้ยินเกี่ยวกับแม่ทัพตรงหน้ามาบ้าง ดังนั้นจึงเต็มไปด้วยมั่นใจ พยักหน้าแล้วรับคำอย่างพร้อมเพรียงกัน “รับทราบขอรับ !”
เมื่อช่วงเวลาที่ 4 ของคืนนี้ผ่านไป หยวนยู่ก็ขอให้คนอื่น ๆ ผูกม้าไว้แถวนี้ ก่อนจะนำทหารทั้ง 3 พันนายลอบเข้าไปที่ประตูค่ายทหารของซ่งเวินอย่างเงียบ ๆ
การป้องกันค่ายหละหลวมมาก ด้วยไม่มีแม้แต่ทหารรักษาการณ์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเลยสักคน ดังนั้นหยวนยู่จึงเดินหน้าได้อย่างราบรื่นผิดปกติ ก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปใกล้ประตูค่ายทหารอย่างรวดเร็ว
ทหารเวรยาม 2-3 คนถือหอก นั่งพิงเสาประตูค่ายทหาร หัวก้มลงต่ำของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าทั้งหมดกำลังหลับสนิท
หยวนยู่ยิ้มเผยให้เห็นฟัน และหลังจากยืนยันว่าไม่มีทหารยามอยู่รอบ ๆ อีก เขาก็ลุกขึ้นจากผืนหญ้าและเดินไปที่ประตูค่ายทหารอย่างไม่เกรงกลัว
เมื่อเห็นเช่นนี้ ทหารที่อยู่เบื้องหลังก็พลันลุกขึ้น เดินติดตามหยวนยู่ออกจากบริเวณที่ซุ่มอยู่
ไม่ว่าพวกเขาจะระมัดระวังแค่ไหน หากแต่ด้วยจำนวนทหารที่มากถึง 3 พันนาย มันก็ย่อมยากที่จะไม่ให้มีเสียงดังเกิดขึ้นระหว่างเดิน ทำให้ทหารยามที่อยู่นอกประตูค่ายทหารได้ยินเสียงนั่น จนพากันตื่นจากความฝันทันที อย่างไรก็ตาม ในขณะที่พวกเขาเงยหน้าขึ้น หยวนยู่ที่อยู่ตรงหน้าก็ได้โบกดาบในมืออย่างดุเดือด ส่งคลื่นปราณพุ่งออกมาแล้ว
ทหารยามเหล่านั้นไม่ทันแม้แต่จะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน และก่อนที่พวกเขาจะได้ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจออกมา พวกเขาทั้งหมดก็ถูกตัดครึ่งด้วยคลื่นปราณของหยวนยู่ไปเสียก่อน
ระดับพลังยุทธ์ของเขาสูงมาก จึงทำให้เกิดคลื่นปราณที่คมกริบ ส่งผลให้ใช้เวลาเพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น ก็มีทหาร 2-3 นายกลายเป็นศพกองที่พื้น แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น หากแต่คลื่นปราณก็หาได้อ่อนลงแต่อย่างใด มันยังคงพุ่งตัวต่อไป เข้ากวาดไปที่เสาของค่ายทหาร ทำให้ประตูค่ายหักโค่น จนเกิดเสียงดัง
ตู้มมมม !
เสาไม้หนาล้มลงกับพื้น ทำให้เกิดเสียงอันดังสนั่น ปิดโอกาสลอบโจมตีไปสิ้น ดังนั้นเขาจึงชี้ดาบในมือไปข้างหน้าและตะโกนว่า “บุกได้ ! ฆ่าให้หมด !”
หยวนยู่และทหารทั้ง 3 พันนายที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเขาพุ่งเข้าไปในค่ายซ่งเวินเหมือนฝูงผึ้ง
และเมื่อเข้ามา ทุกคนก็พากันโรมรันตามหยวนยู่ พร้อมกับพุ่งไปยังเต็นท์ที่ตั้งอยู่ใจกลางค่ายด้วยความเร็วเต็มที่ ซึ่งความเร็วนั้นก็เร็วเสียจนไม่มีใครสามารถหยุดได้
หากแต่ที่เป็นแบบนั้น มันก็เพราะว่าไม่มีใครออกมาหยุดพวกเขาเลยต่างหาก ด้วยค่ายใหญ่แห่งนี้ว่างเปล่าไม่มีแม้แต่เงาของทหารข้าศึก ทำให้ทั้งค่ายเต็มไปด้วยบรรยากาศแปลก ๆ
หยวนยู่บอกให้คนของเขารีบรุดหน้าเข้าไปอีก หากแต่ก็ยังไม่เห็นศัตรู และก็เป็นในตอนนี้เองที่เขาเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ด้วยเสียงที่เกิดขึ้น ทำไมคนพวกนี้ถึงไม่รู้ตัวอีก ?
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แปลกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น นี่อีกฝ่ายรู้แล้วอย่างงั้นหรือว่าเขาจะเข้ามาบุกค่าย ?
เขาส่ายหัวอีกครั้ง ซ่งเวินไม่ได้ปราดเปรื่องขนาดนั้น แล้วอีกฝ่ายคาดเดาได้อย่างไรว่าเขาจะมาที่ค่าย ? ก่อนที่ความคิดทั้งหมดจะถูกปัดตกทิ้งไป ด้วยคำพูดที่ว่า “ใครจะสนล่ะ ถึงแม้ว่าจะมีการซุ่มโจมตีก็ตาม” ว่าแล้วหยวนยู่ก็พลันเร่งฝีเท้า มุ่งตรงไปยังเต็นท์ที่ตั้งอยู่กลางค่ายนั่น !
ในไม่ช้าก็เห็นเต็นท์ที่ว่าเต็ม ๆ ตาแล้ว หากแต่ในจังหวะนั้น มันก็ได้มีเสียงกลองดังมาจากรอบ ๆ ตัวพวกเขา ก่อนตามด้วยเสียงของผู้คนที่ร้องตะโกน และเสียงม้า
หลังจากนั้นทหารจำนวนนับไม่ถ้วนในชุดเกราะสีแดงก็พุ่งออกมา จากด้านหลังของเต็นท์ พวกเขาตั้งขบวนเป็นรูปสี่เหลี่ยมโดยมีพลทหารง้าวอยู่ข้างหน้า พลทหารหอกอยู่ด้านหลัง และเมื่อมองกลับไปอีกครั้ง ก็จะเห็นพลธนูอยู่ในตำแหน่งเดียวกันนั่น ซึ่งนี่ก็ยังไม่นับความจริงที่ว่าทั้งสองข้างของหยวนยู่และข้างหลังเขามีทหารข้าศึกกว่า 3 หมื่นนายปรากฏขึ้นพร้อมกับโคมไฟและคบเพลิงที่ส่องสว่างไปทั่วทั้งค่าย ทำให้สว่างไสวเหมือนกลางวัน
“บ้าเอ้ย !” ในเวลานี้ใบหน้าของนักรบกองทัพเทียนหยวนทั้งหมดซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนเป็นรองแม่ทัพ 2 คนที่อยู่ใกล้หยวนยู่ตะโกนออกมาพร้อมกัน “ไม่ดีแล้ว ! แม่ทัพหยวน เราตกหลุมพรางแล้ว !”