ขวัญกำลังใจของกองทัพเทียนหยวนที่เพิ่มขึ้น สวนทางกับขวัญกำลังใจของทหารนับแสนที่ถูกทำย่อยยับของอีกฝั่งโดยสิ้นเชิง
เช่นเดียวกับซ่งเวิน ที่ในหัวของเขาตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยคำถามมากมาย ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมีพลังมากขนาดนี้กัน ? แล้วทำไมถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเลยว่าถังหยินมีแม่ทัพที่กล้าหาญเช่นนี้อยู่ใต้อาณัติกัน !
อันที่จริงถังหยินไม่เคยอยู่ในสายตาของซ่งเทียนเลย และเขาก็ไม่มีความคุ้นเคยกับสถานการณ์ของมณฑลเทียนหยวนอีกด้วย ซึ่งนี่ก็ยังไม่นับรวมไปถึงเรื่องที่หยวนยู่ถูกรับมาโดยถังหยินในภายหลังอีก ที่ทำให้ชายผู้นี้ไม่มีโอกาสได้แสดงความแข็งแกร่งของตนเองให้ได้เห็น ทำให้หยวนยู่ไม่ได้มีชื่อเสียงเรียงนามที่โด่งดังมากพอจะให้ซ่งเทียนและคนอื่น ๆ รู้จัก
สีหน้าของหยวนยู่อิ่มเอมใจอย่างเห็นได้ชัดขณะที่กำลังยืนประจันหน้าต่อกองทัพขนาดใหญ่ เขาโบกใบมีดปราณในมือแล้วชี้ไปทางขบวนแถวจัตุรัสที่ซ่งเวินอยู่ ก่อนจะเค้นหัวเราะใส่ท้องฟ้าแล้วกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “เจ้าหนูซ่งเวินเอ๋ย ไม่ว่าเจ้าจะมีแผนเล่ห์เหลี่ยมมากมายยังไง เจ้าก็ไม่สามารถเอาชนะดาบสามคมและมือทั้งสองของข้าได้หรอก”
ดวงตาของเขาลุกโชติช่วง ในขณะที่ตะโกนใส่ทหารกองทัพของศัตรูไปว่า “ข้าคือหยวนยู่ ! ผู้ใดกล้าจะต่อกรกับข้าก็เข้ามาเลย !” ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบ ๆ ทำให้ทหารพวกนั้นรู้สึกได้ถึงลมเย็นที่พัดผ่านด้านหลังอันชวนให้ขาหมดเรี่ยวแรง จนเผลอก้าวถอยหลัง
เพียงแค่คนคนเดียวเท่านั้นก็สามารถทำให้ทหารแสนกว่านายหวาดกลัวราวกับหนูที่ถูกจ้องมองโดยอสรพิษ !
ซ่งเวินเองก็เกิดความหวาดกลัวเช่นกัน เขาค่อย ๆ ถอยกลับไปที่ด้านหลังของค่าย ก่อนจะออกคำสั่งในเวลาเดียวกันนั้น “ยิงธนูเลย ! ฆ่าพวกศัตรูซะ !”
เมื่อได้รับคำสั่ง พวกทหารก็พากันตื่นขึ้นจากภวังค์ ก่อนใช้มือง้างลูกธนูถูกยิงออกไป โดยมีเป้าหมายคือหยวนยู่และคนอื่น ๆ
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้ว สิ่งที่อันตรายที่สุดคือธนูนี่แหละ ด้วยรับมือได้ยากกว่าสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเนื้อมากนัก ทำให้หยวนยู่ได้แต่จ้องมองซ่งเวินที่กำลังหนีไป ก่อนที่เขาจะยกดาบขึ้นต้านลูกธนูที่ถูกยิงเข้ามา
เคร้ง !
และต่อมาไม่นาน ลูกศรนับหมื่นลูกที่อัดแน่นราวกับห่าฝนก็พากันพุ่งเป้าใส่หยวนยู่และกองทัพเทียนหยวนข้างหลังเขา ในเมื่อไม่มีโล่ เขาจะป้องกันตัวจากธนูที่ถูกยิงมาพร้อมกันได้อย่างไร ? ในตอนนี้ไม่มีใครสนใจศัตรูรอบข้างอีกแล้ว ถ้าจะหลีกเลี่ยงฝนธนูนี้ก็มีแต่จะต้องอดทนและพุ่งฝ่าไปข้างหน้าเท่านั้น
แต่ขาของมนุษย์จะเร็วไปกว่าลูกธนูได้อย่างไรกัน ? ในชั่วพริบตา ทหารเทียนหยวนกว่าร้อยนายก็ถูกฝนธนูถาโถมใส่จนล้มลง จนทำให้เห็นลูกศรมากมายเต็มแผ่นหลังราวกับเม่น
เขามีเพียงแค่สองมือกับหนึ่งดาบ ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งยังไงก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปัดป้องลูกธนูนั้นได้หมด ทุกย่างก้าวจึงมีเสียงปะทะโลหะจากการถูกลูกศรขนเหยี่ยวพุ่งเข้าใส่ตลอด ทว่าโชคยังดีที่เกราะปราณของเขาทนทานยิ่ง ดังนั้นการปล่อยให้ลูกธนูพุ่งชนตรง ๆ จึงไม่ส่งผลกระทบอะไรนัก
ใช้เวลาไม่นาน หยวนยู่ก็เข้ามาถึงส่วนหลักได้แล้ว เขาพยายามมองหาซ่งเวิน หากแต่ก็ไม่พบร่องรอยใด ๆ จึงโวยวายเสียงดัง “ซ่งเวิน ! ถ้าเจ้ายังมีน้ำยาอยู่ล่ะก็ เลิกหดอยู่ในกระดองแล้วมาสู้กันให้ตายไปข้างกับข้าซะ !”
ซ่งเวินหนีไปซ่อนตั้งนานแล้วจึงไม่ได้ยินเสียงตะโกนนั้น หรือต่อให้ได้ยินก็ใช่ว่าเขาจะออกมา
ก่อนที่หยวนยู่จะได้พูดอะไรต่อ เหล่าทหารง้าวที่ยืนอยู่ในขบวนแถวจัตุรัสก็ได้พุ่งปลายง้าวไปยังตัวของหยวนยู่
ทหารธรรมดาไม่อาจดึงความสนใจของเขาได้ เขาเหวี่ยงใบมีดปราณนั่นออกไป ทำให้ง้าวหลายสิบเล่มแตกหักเป็นสองส่วนจนเกิดเสียงดัง แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรต่อไป ทหารหอกที่อยู่ข้างหลังก็ได้เข้ามาสานต่อ ยกชูหอกแหลมแทงเข้าใส่ !
ถึงแม้ว่าหอกจะแหลมคมแค่ไหน แต่มันก็ไม่สามารถเจาะทะลุเกราะปราณได้ ทำได้แค่เพียงให้หยวนยู่ถอยหลังไปเล็กน้อยเพราะแรงปะทะเท่านั้น
ไม่มีอาวุธใดเข้าประชิดถึงตัวเขามานานแล้วนับตั้งแต่ที่เขาเริ่มฝึกฝนวิทยายุทธ์
แสงในดวงตาของเขาฉายแววเย็นยะเยือกออกมาก่อนที่ใบมีดสามคมในมือจะถูกห่อหุ้มไปด้วยแสงหลากสี
ฟุ่บ !
คลื่นปราณพลันเกิดความแปรปรวน สายลมกระโชกแรงขึ้น ใบมีดนับไม่ถ้วนถูกสร้างขึ้นจากพลังปราณโดยมีหยวนยู่เป็นจุดศูนย์กลาง ก่อนพุ่งไปข้างหน้าราวกับใบพัด และนี่ก็คือจุดสูงสุดแห่งความโกลาหล สุดยอดพลังของสายลม !
ทหารนับร้อยของทหารกองทัพซ่งเวินถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ ด้วยสายลมกระโชกแรงนั่น พาเอาใบมีดพวกนั้นบินออกไปทุกทิศทางจนพวกเขาไม่สามารถหาทิศทางได้ว่าจะถอยกลับไปอย่างไรดี ชีวิตนับร้อยหายไปในพริบตาเพียงแค่กระบวนท่าเดียวเท่านั้น ทหารง้าวและทหารหอกเบื้องหน้าเขาถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม ขบวนแถวจัตุรัสเบื้องหน้าแหว่งหายไปราวกับถูกขุดจนเป็นหลุมใหญ่ ๆ!
หยวนยู่ฉวยโอกาสนี้ในการพุ่งเข้าใส่ศัตรู ใบมีดปราณในมือของเขากวัดแกว่งเต้นรำราวกับเกล็ดหิมะที่ล่องลอย จนกลายเป็นคลื่นปราณพัดออกไปปะทะกับทหารศัตรูที่อยู่รอบ ๆ เป็นระลอก ๆ จนพื้นดินที่เขายืนถูกย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือดของศัตรูและกองด้วยซากศพ
กำลังกายและกำลังใจของกองทัพศัตรูนั้นเทียบกองทัพเทียนหยวนไม่ติด พวกเขานั้นมีความโหดร้ายโดยกมลสันดาน และด้วยกองทัพของเขามีประสบการณ์ผ่านสนามรบมานาน ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้สู้แล้ว พวกเขาก็จะไม่มีวันถอยแม้นั่นจะหมายถึงต้องเผชิญกับความตายตรงหน้าก็ตาม !
หยวนยู่ปลดปล่อยคลื่นปราณอีกครั้งและอีกครั้ง เขาปล่อยกระบวนวิชายุทธ์ทุกแบบ ส่งผลให้มีทหารของซ่งเวินตายจำนวนมาก แต่ถึงอย่างนั้น จำนวนคนที่เข้ามาโจมตีเขาก็ยังคงเพิ่มขึ้น และไม่ว่าจะระดับพลังยุทธ์จะสูงขนาดไหน หากแต่ก็ยังคงมีข้อจำกัดของปริมาณพลังปราณที่สามารถปลดปล่อยได้อยู่
การใช้เทคนิคสังหารเป็นวงกว้างอย่างนี้อาจช่วยข่มศัตรูได้ก็จริง หากแต่มันก็หมายถึงการใช้พลังปราณไปมากมายมหาศาลด้วยเช่นกัน ซึ่งเขาก็ไม่เหมือนกับถังหยินผู้มีวิชาแห่งความมืด ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถดูดกลืนพลังวิญญาณของผู้อื่นเพื่อเติมเต็มพลังที่เสียไปในสนามรบได้
เขาอ่อนแรงและการรับมือกับกองทัพศัตรูก็ไม่ง่ายเช่นกัน !
บนสนามรบนี้ หยวนยู่ถูกมองราวกับปีศาจที่คลืบคลานมาจากนรก เขาปล่อยกระบวนท่าออกมาอย่างต่อเนื่องราวกับพลังในตัวไม่มีวันหมด ซึ่งมันสร้างความกดดันให้กับแม่ทัพและทหารของอีกฝั่งเป็นอย่างมาก
ทหารที่ตรงเบื้องหน้าของหยวนยู่ต่างล้มตายกันเป็นกอง สิ่งที่เคยมีชีวิตกลับไร้ชีวิต ทหารที่บาดเจ็บและล้มตายต่างหมดความสำคัญราวกับเบี้ยที่ใช้แล้วทิ้ง
ณ ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างกำลังแข่งกันอดทนว่าใครจะเป็นฝ่ายที่ยอมแพ้ก่อนกัน
ซ่งเวินที่หลบหนีไปไกลเหลือบมองสนามรบแต่กลับพบว่ารอบข้างว่างเปล่า …เขาถูกหยวนยู่เข้าประชิดเสียแล้ว พวกทหารองครักษ์รอบข้างไม่อาจล้มหยวนยู่ได้เลย ได้แต่พากันเข้าไปตาย ส่วนทหารที่ล้อมรอบตัวหยวนยู่เอาไว้ก็ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเห็นกับตาเลย ซ่งเวินไม่เคยได้ยินว่ามีแม่ทัพที่ทรงพลังเช่นนี้มาก่อน และต่อให้นำคนติดตามของเขาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด ก็คงไม่สามารถล้มหยวนยู่ได้อยู่ดี เขาควรจะทำอย่างไรดี ?
ในตอนแรกที่เขาเห็นกองทัพทหารฝั่งตรงข้ามที่มีเพียง 3 พันนาย เขาก็มั่นใจมากว่ากองทัพนับแสนของตนจะทำลายล้างศัตรูให้หมดสิ้นได้ง่าย ๆ แต่ตอนนี้เขาไม่หลงเหลือความมั่นใจอะไรอีกแล้ว
ซ่งเวินไม่เคยได้ลงไปรบด้วยตัวเอง และศึกครั้งแรกนี้ก็ได้ทิ้งบาดแผลอันยิ่งใหญ่ไว้ในใจของเขาเรียบร้อยแล้ว
ในขณะที่การต่อสู้กำลังมาถึงจุดสำคัญ จู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากประตูค่ายทหาร ก่อนปรากฏกองทัพเกราะดำของเทียนหยวนจำนวนนับไม่ถ้วนที่พากันวิ่งกรูเข้ามาจากด้านนอก ซึ่งหัวหน้ากลุ่มก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเปิงเฮาฉู ผู้ช่วยของหยวนยู่นั่นเอง
เปิงเฮาฉู ได้สั่งให้กองทัพทหารเทียนหยวนกว่า 5 หมื่นนายเข้าจู่โจมไม่เลือกหน้า ซึ่งสถานการณ์ไม่คาดฝันนี้ก็ทำให้กองทัพของซ่งเวินตกอยู่ในความสับสน ทั้งค่ายอยู่ในความอลหม่าน เละเทะไม่มีชิ้นดี
ก่อนจะเป็นเปิงเฮาฉูนี่แหละ ที่นำทหารของตนตรงดิ่งเข้าไปสังหารศัตรูเปิดทางจนถึงส่วนที่ลึกกว่าของค่าย
เขาเห็นการต่อสู้อันดุเดือดจากระยะไกลสายตา ใกล้กับเต็นท์หลักของกองทัพศัตรู ทว่าเขาก็ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าใครกำลังสู้อยู่กับใคร เปิงเฮาฉูจึงหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะตะโกนสุดเสียง “ท่านแม่ทัพหยวนอยู่ที่ใด ! ข้าเปิงเฮาฉู ตามมาสมทบท่านแล้ว !”
หยวนยู่ยกใบมีดปราณในมือขึ้น ปล่อยหนามล่าวิญญาณออกมา ส่งคลื่นปราณออกไปทุกทิศทางราวกับลูกธนูนับแสนดอกโดยมีเขาอยู่เป็นจุดศูนย์กลางของพลังนั้น ทำให้ทหารจำนวนหนึ่งของซ่งเวินถูกการโจมตีนี้เข้าไปก็ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงทันที ด้วยคลื่นปราณที่เสียบแทงก่อให้เกิดรูบนร่างกาย ก่อนที่เลือดจะไหลทะลักออกมาจนเจ้าของร่างต้องร่วงหล่นลงกับพื้น
หยวนยู่ใช้โอกาสที่ร่างของศัตรูกำลังทยอยล้มตายตะโกนตอบกลับไป “ข้าอยู่ที่นี่ !”
เปิงเฮาฉูหันไปตามต้นเสียง แต่เขากลับไม่พบหยวนยู่ เห็นเพียงทหารใต้บัญชาของซ่งเวินที่รายล้อมเกาะกลุ่มกันอยู่ จึงแสยะยิ้มเล็กน้อย และชี้ดาบของตนไปข้างหน้าอย่างไม่รีรอ “ทหาร ! เป้าหมายอยู่ที่นั่น !”
ครืนนนน.. เปิงเฮาฉูกลายผู้นำกำลังทหารกว่า 5 หมื่นนายพุ่งตรงเข้ามาจากด้านหลังกองทัพของซ่งเวิน ที่แค่หยวนยู่ผู้เดียวก็แทบจะต้านไม่ไหว แล้วยังจะต้องมาเจอกับศัตรูพวกนี้อีก ดังนั้นมีหรือที่พวกเขาจะต้านได้ ! ในที่สุดกองทัพซ่งเวินก็ที่ถูกปิดล้อมก็เริ่มถอยหนี เปิดทางให้กองทัพเทียนหยวนเข้ามาได้อย่างง่าย ๆ
ทันทีที่เห็นแบบนั้น ซ่งเวินก็ตัดสินใจร้องสั่งแม่ทัพของตนให้ยกเลิกการโจมตีหยวนยู่ทันที เขาสั่งจัดขบวนทัพใหม่ให้ทหารระดับสูงส่งต่อคำสั่งนี้ต่อ จากแม่ทัพส่งต่อถึงหัวหน้ากองพัน หัวหน้ากองพันส่งต่อถึงหัวหน้ากองพล และหัวหน้ากองพันส่งต่อถึงทหารเลว ไม่นานนักทหารกว่าแสนนายก็ได้มารวมตัวกัน ทหารง้าวและทหารหอกเป็นผู้เตรียมการปะทะอยู่ข้างหน้าในขณะที่พลธนูยิงลูกศรจากข้างหลังกองเพื่อเผชิญกับการโจมตีที่เข้ามา
ทหารจากกองทัพของซ่งเวินมีมากเกินไป ผิดกับกำลังทหารของเปิงเฮาฉูที่มีเพียงแค่ 5 หมื่นกว่านายเท่านั้น จึงยังมีความแตกต่างในด้านความแข็งแกร่งของทั้งสองฝั่ง ทำให้ไม่นานนักกองทัพของซ่งเวินก็สามารถจัดขบวนได้อย่างมั่นคงยิ่งขึ้น จนสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง
เปิงเฮาฉูก้มหน้าเล็กน้อย กองทัพของซ่งเวินนั้นทรงพลังอย่างคาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นพวกแม่ทัพหรือแม้กระทั่งทหารธรรมดา พวกเขาล้วนมีฝีมือและโดดเด่นทำให้ต่อกรได้ยาก
และหลังจากหาอยู่นาน ในที่สุดเปิงเฮาฉูก็พบหยวนยู่ยืนอยู่ท่ามกลางศพมากมาย เขาแทบจะจำอีกฝ่ายไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะตัวของหยวนยู่นั้นถูกย้อมไปด้วยเลือดตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า มีเลือดเก่าติดตามตัว ส่วนเลือดใหม่ก็หยดไหลไม่หยุด ทำให้เวลาที่เขาขยับร่างกายก็จะมีเลือดกระเด็นเป็นหย่อม ๆ จนแทบจะกลายเป็นก้อนเลือดเดินได้อยู่แล้ว