บทที่ 200
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากกองทัพเทียนหยวนทานอาหารเช้าเสร็จ พวกเขาก็เริ่มเก็บของ ก่อนมุ่งหน้าไปยังกองทัพของซ่งเวิน ซึ่งตั้งค่ายกันอยู่ที่บริเวณชายแดน
กองทัพที่แข็งแกร่งจำนวน 4 แสนนายพากันเคลื่อนทัพลงใต้ จนกระทั่งมาถึงบริเวณที่ตั้งค่ายของซ่งเวินในคืนนั้นเอง ทว่าเมื่อพวกเขามาถึง พวกเขาก็หาได้คิดจะตั้งค่ายไม่ กลับเลือกที่จะเข้าล้อมค่ายของซ่งเวินไว้ถึง 3 ชั้น ก่อนส่งแม่ทัพนายหนึ่งเข้าไปยังค่ายของศัตรูเพื่อเรียกซ่งเวินให้ออกมาพบพวกเขา
กองกำลังหลักของกองทัพเทียนหยวนเข้ามาอย่างน่ากลัวเช่นนี้ มีหรือที่ฝั่งซ่งเวินจะไม่หาทางตอบโต้กลับ เขาได้ส่งขบวนรบที่มีกำลังทหารจำนวน 3 หมื่นนายออกมา
ม้าศึกตัวหนึ่งได้พุ่งทะยานออกมาจากขบวนรบนั่น และผู้ที่นั่งบนหลังม้าก็เป็นแม่ทัพผู้เลื่องชื่อในด้านเพลงหอก ที่กำลังเสือกแทงหอกแหลมในมือตอบโต้แม่ทัพจากเทียนหยวนอย่างดุเดือด
การต่อสู้ระหว่างทั้งสองนั้นยอดเยี่ยมยิ่ง ซึ่งก็ใช่ว่าพวกทหารที่อยู่ด้านหลังจะเอาแต่นิ่งเฉย พวกเขาพากันตีกลองเสียงดัง ก่อนร้องตะโกนเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ
ศึกครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นแม่ทัพฝั่งเทียนหยวนที่ต้องพ่ายเสียแล้ว เขาค่อย ๆ สร้างระยะห่าง ก่อนควบม้ากลับไปที่ด้านข้างของตน หากแต่แม่ทัพฝั่งซ่งเวินกลับไม่ยอม รีบควบม้าตามมาติด ๆ
จากนั้นก็มีคนจากค่ายเทียนหยวนตะโกนลั่น เขารีบกระโดดขึ้นหลังม้า เรียกเกราะปราณสีขาวออกมาพร้อมกับดาบสีขาวสามแฉกสองคมในมือ ก่อนที่ม้าสีขาวที่ขี่จะเคลื่อนไหวดั่งลมกระโชกแรง
การปรากฏตัวของบุคคลนี้ทำให้ทหารฝ่ายซ่งเวินตกใจ ด้วยพวกเขาจดจำคนคนนี้ได้เป็นอย่างดี ที่แท้ก็เป็นหยวนยู่นี่เองที่ควบม้าพุ่งตรงไปยังแม่ทัพถือหอกนายนั้น บีบให้อีกฝ่ายต้องถอยกลับอย่างรวดเร็ว หากแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ทว่าหยวนยู่ก็ไม่คิดจะปล่อยไป เขาเลือกที่จะไล่ตามไปติด ๆ!
แม่ทัพนายนั้นค่อนข้างเร็วทีเดียว และในขณะที่เขากำลังถอยกลับไป เขาก็ได้คว้าเอาธนูจากด้านหลัง ก่อนเปลี่ยนลูกศรในมืออีกข้างให้กลายเป็นอาวุธปราณแล้วยิงออกไป !
การลอบโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไปและระยะห่างระหว่างทั้งสองก็ใกล้กันมาก ดังนั้นหยวนยู่จึงไม่มีเวลาตอบโต้ใด ๆ เลย ทำให้หน้าผากของเขาถูกยิงโดยลูกศรปราณที่พุ่งมาอย่างแรง
เหตุการณ์ที่พลิกผันนี้ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายในสนามรบตกอยู่ในความโกลาหลโดยเฉพาะกับกองทัพเทียนหยวน ที่พวกเขาทั้งตกใจและหวาดกลัว
เสียงลูกศรปราณถูกยิงดังขึ้นอีกครา ซึ่งแรงกระแทกของมันก็ทำให้ลำตัวของหยวนยู่เอนไปด้านหลังจนเกือบตกจากหลังม้า
เมื่อเห็นลูกศรโดนเป้าหมาย คนที่ยิงก็ยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่ เขาควบม้าหันกลับมาทันที ในขณะเดียวกันก็วางคันธนูและลูกศรลง ก่อนจะหยิบหอกเงินขึ้นมาอีกครั้งและตะโกนอย่างตื่นเต้น “นี่หรือคือหยวนยู่ที่แม้แต่ทหารนับหมื่นยังต้องหลบ ! ก็ไม่เห็นจะเก่งกาจเสียเท่าไหร่เลย..”
ทว่าก่อนที่อีกฝ่ายจะได้พูดจบ หยวนยู่ก็ได้ตั้งร่างตรงอย่างมั่นคงบนหลังม้าอีกครั้ง ก่อนเขาจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เร่งรีบ “ยังเร็วเกินไปที่เจ้าจะพูดแบบนั้นไม่ใช่หรือ ?”
เมื่อเห็นว่าไม่มีแม้แต่ร้อยแตกร้าวบนเกราะปราณสีขาวนั่น แม่ทัพฝั่งซ่งเวินผู้นั้นก็ถึงกับตกตะลึงอ้าปากค้าง “บ้าน่า !”
นี่อีกฝ่ายทรงพลังขนาดไหนกัน ทำไมโดนลูกศรปราณเข้าไปจัง ๆ แล้วถึงไม่เป็นอะไรเลย ?
หยวนยู่ที่เห็นท่าทีของอีกฝ่าย เขาก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “เจ้าอยู่ที่นี่ก่อนน่าจะดีกว่า !” ว่าแล้วดาบในมือก็สับลงที่หัวของคนตรงหน้า !
เขาพยายามรีดเค้นพลังปราณจากทั่วทั้งร่าง ส่งคลื่นปราณออกไปเพื่อปัดป้องการโจมตีดังกล่าว หากแต่ด้วยระดับพลังของเขาแล้ว มีหรือที่จะต้านไหว ?
ด้วยเสียง ‘ฟึ่บ’ เพียงคราเดียว คลื่นปราณนั่นก็พลันถูกสับออกเป็นสองส่วนและสลายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้ข้างหลัง !
ในทางกลับกัน หลังจากปะทะกับคลื่นปราณนั่น หยวนยู่ก็หาได้ช้าลงแม้แต่น้อย เขายังคงพุ่งตรงเข้าไปราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น
ฉับ !
ด้วยเสียงที่คมชัด ร่างกายของทั้งคนและม้าก็ถูกแบ่งออกเป็นสองซีก ทำให้โลหิตฉีดพุ่งไปทั่วในอากาศ
สนามรบเงียบสนิท กองทัพภายใต้คำสั่งของซ่งเวินทุกนายพากันใบหน้าขาวซีด พากันตกใจราวกับเห็นผี สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่หยวนยู่ไม่วางตา ทั้งยังเผลอถอยกลับโดยไม่รู้ตัว
เมื่อหยวนยู่ควบม้าเข้าไปข้างหน้าหนึ่งครา กองทัพที่อยู่ข้างหน้าเขาก็จะถอยออกไป 3 ก้าว ทำให้เกิดเป็นภาพที่ดูน่าตลกขบขันนัก
หยวนยู่ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะกลับไป เขาควบม้ากลับไปกลับมาตรงหน้ากองทัพฝ่ายศัตรู ก่อนวาดดาบชี้ไปที่พวกมันและร้องตะโกนว่า “มีใครกล้าออกมาสู้กับข้าอีกหรือไม่ ?”
ทหารของซ่งเวินทั้ง 3 หมื่นนายกับแม่ทัพนับสิบเงียบสนิท ไม่มีใครกล้าพูดแม้แต่คำเดียว
“ไม่มีใครกล้าสู้กับข้าเลยงั้นหรือ ?” หยวนยู่ถามเช่นนั้น 3 ครั้ง 3 ครา ในขณะที่กองทัพฝั่งซ่งเวินก็พากันเดินถอยออกไปอีก 3 ก้าว
“ ฮะฮ่า ?” หยวนยู่หัวเราะออกมาดัง ๆ ชี้ปลายดาบไปที่ศัตรูและพูดอย่างภาคภูมิใจ “ถ้าพวกเจ้ายอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้ งั้นข้าก็จะไว้ชีวิต แต่ถ้าพวกเจ้าคิดสู้ ! งั้นแล้วก็เตรียมรับมือกับกำลังพลทั้ง 4 แสนนายของเราได้เลย !”
ทหารพวกนั้นกลัวหยวนยู่มากจนพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะต่อสู้กลับ สิ่งที่พวกเขาทำคือการล่าถอยออกไปอย่างต่อเนื่อง ด้วยไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะพูดคุย
เมื่อเห็นว่าทิศทางของการต่อสู้เปลี่ยนไปด้วยหยวนยู่เพียงคนเดียว มูฉิง เหลียงฉีและเปิงเฮาฉูก็พากันเห็นโอกาส พวกเขาพากันเข้ามาพูดกับถังหยินในทันที ด้วยตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสำหรับทั้งกองทัพที่จะโจมตี !
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ถังหยินก็ไม่รอช้าอีกต่อไป เขาโบกมือและตะโกนว่า “บุกได้ !”
คำสั่งนั้นเหมือนจะทำให้โลกล่มสลายลงไปได้
เมื่อถังหยินออกคำสั่ง ทั้งกองทัพก็เริ่มเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน ซึ่งถ้ามองจากระยะไกลก็จะเห็นเข้ากับกระบวนทัพที่เคลื่อนตัวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และพอพวกเขาเข้าสู่ระยะหวังผล มันก็มีลูกศรนับหมื่นดอกที่ถูกยิงออกมา จนดูคล้ายกับกลุ่มเมฆดำที่ลอยอยู่บนฟ้า
แม้จะมีโล่ปกป้องพวกเขา แต่กองทัพของซ่งเวินทั้ง 3 หมื่นนายก็ไม่สามารถปิดกั้นลูกศรแหลมคมพวกนี้ได้หมด ทำให้พวกเขาตกอยู่ในความโกลาหล ขบวนทัพเสียรูป พากันวิ่งเข้าไปยังค่ายของตัวเอง ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับที่ซ่งเวินสั่งให้กองทหารของเขาล่าถอยกลับมาคุ้มกันค่าย
กองทัพที่กำลังหลบหนีด้วยความตื่นตระหนกจับโล่ของพวกเขาไว้แน่น หากแต่บางครั้งก็มีคนที่ถูกลูกธนูแทงเข้าที่ขาและกลิ้งไปบนพื้นเหมือนลูกหนัง ก่อนที่พวกเขาจะดิ้นรนเพื่อลุกขึ้นหรือหยิบโล่ขึ้นกันลูกศรขนอินทรีที่กำลังตกลงมาอย่างต่อเนื่อง
คน 3 หมื่นคนหนีกลับค่ายอย่างรวดเร็ว แต่ในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นจำนวนคนตายจากฝนลูกธนูก็เกิน 2 พันคนเข้าไปแล้ว !
เมื่อทหารส่วนหนึ่งถอยกลับเข้าไป ประตูค่ายทหารของซ่งเวินก็ปิดลงทันที ทิ้งให้ทหารของพวกเขาอีกนับพันนายปีนป่ายไปตามกำแพงค่ายเพื่อหาทางเข้าไป
หอสังเกตการณ์ที่เห็นเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้อีก พากันยิงลูกศรกลับมาที่พวกเขา ซึ่งมันก็เป็นการเผชิญหน้าระหว่างคนฝั่งเดียวกันที่ดูขมขื่นมากทีเดียว
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา พวกเขาไม่ได้นิ่งเฉยแต่อย่างใด ซ่งเวินได้ใช้ช่วงเวลาที่ว่านั่นทำการเสริมกำลังให้กับค่ายแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ตอนนี้การป้องกันของค่ายก็ไม่ต่างจากป้อมปราการแม้แต่น้อย
ภายใต้คำสั่งของซ่งเวิน พวกทหารของเขาก็พากันมารวมตัวกันที่ด้านล่างกำแพงค่าย และในขณะเดียวกันพวกเขาก็ทำการส่ง ลูกศร หินกลิ้งและท่อนไม้ใหญ่ไปยังสหายที่ต่อสู้อยู่ด้านบน
อีกด้านหนึ่ง ก็มีพวกนายทหารถือง้าวยาว ที่กำลังใช้สายตาจ้องมองรูเล็ก ๆ ที่เจาะไว้บนกำแพงเพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูปีนขึ้นไป เช่นเดียวกับทหารด้านบน ที่ยิงธนู ขว้างปาท่อนไม้ และโยนหินลงไปเบื้องล่างไม่หยุด !
การโจมตีที่ทรงพลังของกองทัพเทียนหยวนจำนวน 4 แสนนายอาจกล่าวได้ว่าเฉียบคมยิ่ง แต่ภายใต้การปกป้องอย่างต่อเนื่องของกองทัพซ่งเวิน พวกเขาก็ไม่สามารถเจาะผ่านไปได้เลย !
มันเป็นอย่างที่เขาเคยคิดไว้ ซ่งเวินไม่ใช่คนธรรมดาและการป้องกันของทั้งค่ายก็แข็งแกร่งเกินไป หากพวกเขาโจมตีต่อไปก็รังแต่จะเพิ่มจำนวนผู้เสียชีวิตให้มากเท่านั้น ดูเหมือนว่าพวกเขายังต้องทำตามแผนเดิมและรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น !
หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว ชายหนุ่มก็พลันร้องสั่งให้กองทัพทั้งหมดถอยกลับ ไม่โจมตีอีกต่อไป
เมื่อได้รับคำสั่งของถังหยิน ทั้งกองทัพเทียนหยวนก็ถอยกลับไป โดยทิ้งศพไว้ทั้งแบบนั้น
การต่อสู้ครั้งนี้ใช้เวลาไม่นาน แต่กองทัพเทียนหยวนของพวกเขาก็สูญเสียไปไม่น้อยเลย มีทหารนับพันทีเดียวที่เสียชีวิตในสนามรบ
หลังการสู้รบ กองทัพเทียนหยวนก็ไม่ได้โจมตีค่ายศัตรูอย่างรุนแรงอีกต่อไป ส่วนกองทัพซ่งเวินที่ได้รับบทเรียน พวกเขาเองก็ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูอีกครั้งเช่นกัน ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงตกอยู่ในสภาวะเตรียมพร้อมเท่านั้น ไม่มีเรื่องใดอื่นเกิดขึ้นอีก
ทว่าถึงจะเห็นเช่นนั้น ซ่งเวินก็ไม่ประหม่าแม้แต่น้อย เพราะถ้าเขายื้อคนพวกนี้ไว้ได้นานมากพอ งั้นแล้วชัยชนะก็จะตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน !
ต้องอย่าลืมว่ามีกำลังทหารจำนวน 4 แสนนายของพวกหนิงกำลังเดินทัพมาทิศทางนี้ ดังนั้นยิ่งยื้อได้นายเท่าไหร่พวกเขาก็จะยิ่งได้เปรียบมากขึ้นเท่านั้น !
และเมื่อกองทัพหนิงมาถึง เขาก็จะสามารถเปิดฉากโจมตี เข้าถล่มพวกของไอ้ถังหยินให้สิ้นไปในคราเดียว !
การคำนวณของเขาดีมากทีเดียว หากแต่ซ่งเวินก็ไม่ได้เป็นยอดมนุษย์ และสิ่งที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนก็คือแม่ทัพใหญ่อย่างถังหยิน กับบุคคลที่เขากลัวที่สุดอย่างหยวนยู่ จะเลือกนำกองกำลังจำนวน 5 หมื่นนายไปยังเมืองจินฮั๋วอย่างเงียบ ๆ!