ทันทีที่กองทัพหนิงเข้าสู่พื้นที่เมืองจินฮั๋ว ก็มีทหารนายหนึ่งทำการส่งข่าวไปหาถังหยินทันที หลังจากได้ยินรายงานนั่น ชายหนุ่มก็พยักหน้า ใบหน้าดูตึงเครียดก่อนถามว่า “ขวัญกำลังใจของพวกหนิงเล่า เป็นอย่างไรบ้าง ?”
ทหารผู้นั้นส่ายหัวแล้วพูดว่า “มิอาจทราบได้ขอรับ”
ถังหยินเลิกคิ้วและถาม “เจ้าหมายความว่ายังไง ทำไมถึงไม่สามารถบอกได้ ?”
ทหารสอดแนมพูดตะกุกตะกัก “ดูเหมือนว่าทางกองทัพหนิงจะยังไม่ทราบว่าท่านยึดครองจินฮั๋วแล้ว ทำให้การเดินทัพของพวกหนิงช้ามาก ส่วนพวกทหารก็ดูจะหละหลวมมากเช่นกัน พวกเขาไม่มีแม้แต่เจตนาที่จะต่อสู้”
“ หื๊ม ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของถังหยินก็สว่างขึ้น กองทัพหนิงยังไม่รู้ว่าเขายึดเมืองจินฮั๋วงั้นหรือ ? แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อน หากแต่นี่ก็ถือเป็นโอกาสชั้นดี ! เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาจึงพูดกับทหารหน่วยสอดแนมทันทีว่า “คอยสังเกตสถานการณ์พวกศัตรูต่อไป !”
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ !” ทหารสอดแนมลุกขึ้นโค้งคำนับให้ถังหยินและจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากทหารสอดแนมจากไป ถังหยินก็กลอกตาไปมาก่อนพูดกับหยวนยู่และอีก 5 คนบริเวณนั้นว่า “พวกเจ้าจงไปถอดธงแคว้นเฟิงบนกำแพงเมืองออกเสีย แล้วแทนที่ด้วยธงของเปิง !”
หยวนยู่และแม่ทัพทั้ง 5 นายพยักหน้ารับฟัง และเมื่อถังหยินพูดจบ ทั้ง 6 คนก็พลันหัวเราะออกมา
ถังหยินยิ้มอย่างเฉยเมยให้กับท่าทีของคนตรงหน้า แล้วจึงสั่งให้พวกขุนนางที่เหลือด้านนอกเข้ามา
พวกเขาใช้ช่วง 2 วันที่ผ่านมา จัดเตรียมเสบียงและเสริมสร้างการป้องกันของเมืองอย่างไม่หยุดพัก ซึ่งผลลัพธ์ของมันก็กำลังจะได้เห็นกันแล้ว..
เจ้าหน้าที่ทุกคนพากันหมดเรี่ยวแรง แต่หลังจากที่เห็นถังหยินกำลังเดินมา พวกเขาทั้งหมดก็โค้งคำนับและแสดงความยินดี ก่อนเป็นชายหนุ่มที่มองไปยังพวกเขาและกล่าวว่า “กองทัพหนิงกำลังมาถึงเมืองจินฮั๋วในไม่ช้า ทุกคนจงเตรียมตัวออกจากเมืองเพื่อไปต้อนรับพวกเขา !”
“ห๊ะ ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็ดูจะสับสน ถังหยินไม่ได้มาที่เมืองจินฮั๋วเพื่อต่อสู้กับกองทัพหนิงอย่างนั้นเหรอ ? ทำไมชายหนุ่มถึงต้องการให้พวกเขาออกไปแสดงการต้อนรับพวกหนิงกัน ? …ทุกคนดูจะไม่เข้าใจสักนิดว่าถังหยินกำลังพยายามทำอะไร
เป็นชายหนุ่มที่พูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบรอบกาย “การต้อนรับกองทัพหนิงเข้าสู่เมืองเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น ซึ่งถ้าพวกเขาเข้ามา งั้นแล้วเราก็จะต้องทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ได้กลับออกไปอีก ! ”
“โอ้ !” ตอนนี้ทุกคนเข้าใจแล้วถังหยินต้องการล่อให้กองทัพหนิงเข้ามาใกล้ เติ้งซวนและคนอื่น ๆ พยักหน้าเห็นด้วย ทำให้ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะพูดเตือนออกไป “ไม่ต้องเกร็งเกินไป เพียงแค่ทำตามคำสั่งของข้าก็พอแล้ว”
“รับทราบขอรับ !”
หลังจากที่เห็นทุกอย่างไปได้ด้วยดี รอยยิ้มของถังหยินก็กว้างขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อพวกเขาอยู่ห่างจากตัวเมืองไม่ถึง 10 ลี้ จ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้ที่อยู่ด้านหน้ากองทัพหนิงก็หันมองไปที่เมืองจินฮั๋วที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา และแม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองมาก แต่ก็ยังสามารถมองเห็นเค้าโครงของเมืองจินฮั๋วได้อย่างคลุมเครือ
หลังจากมองภาพตรงหน้า ทั้งสองคนก็หันมามองหน้ากันแล้วยิ้ม ข่าวลือนั่นเป็นเท็จ ! กองกำลังหลักของเทียนหยวนกำลังต่อสู้กับซ่งเวิน ดังนั้นมีหรือที่พวกเขาจะปลีกตัวมายังเมืองจินฮั๋วได้ !
มาตอนนี้พวกเขาก็ได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้ว ว่าเมืองจินฮั๋วยังคงอยู่ภายใต้ร่มธงของแคว้นเปิง ดูสงบ ไม่มีวี่แววของภัยคุกคามแต่อย่างใด
สองพี่น้องผ่อนคลายหัวใจของพวกเขาลง หันไปสั่งให้กองทัพเดินหน้าต่อไป
ใช้เวลาไม่นานพวกหนิงก็มาถึงชานเมืองแล้ว
เมื่อมองจากระยะไกล พวกหนิงก็เห็นว่าได้มีขุนนางของเมืองจินฮั๋วยืนรออยู่ที่หน้าประตูเมืองก่อนแล้ว พวกเขาดูจะกระตือรือร้นที่จะต้อนรับยิ่ง อีกทั้งทหารยามที่ประตูเมืองทุกคนก็สวมชุดเกราะสีแดง ทำให้จ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้ไม่นึกระแวง ก่อนเป็นแม่ทัพจ้านอู่ฉางที่สั่งให้กองทหารไปตั้งค่ายไว้นอกเมือง
วันนี้ถือได้ว่าเดินทางมาไกลพอควร ดังนั้นเขาจึงต้องการที่จะพักที่เมืองจินฮั๋วหนึ่งคืน
หลังจากรับคำสั่ง ทหารทั้ง 4 แสนนายของพวกหนิงก็ไม่ลังเลที่จะเดินหน้าต่อไป ซึ่งมันก็ใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่กองทัพแนวหน้าจะมาถึงหน้าประตูเมือง
เมื่อแม่ทัพหนิงนายหนึ่งเห็นท่าทีของพวกขุนนางเมืองจินฮั๋วที่ออกมาต้อนรับแบบไม่ค่อยเต็มใจ เขาก็พลันนึกสาปแช่งคนพวกนี้ในใจก่อนกระตุ้นม้าให้เดินต่อไป
ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็ได้ตะโกนด้วยน้ำเสียงที่คุกคามออกมาว่า “แม่ทัพของพวกข้าอยู่ที่นี่แล้ว แล้วทางพวกเจ้าเล่า จะให้พวกเรารอถึงเมื่อไหร่ ? ”
มันดีกว่าที่เขาจะไม่ตะโกน เพราะด้วยเสียงตะโกนดังกล่าว มันก็ทำให้พวกขุนนางเมืองจินฮั๋วหันหลังวิ่งกลับไปยังเมืองราวกับว่าพวกเขาเห็นผี
เมื่อเห็นเช่นนี้ แม่ทัพหนิงนายนั้นก็ยิ่งโกรธ เขาพลันเพิ่มความเร็วของม้าอีกครั้ง และเมื่อวิ่งนำทหารคนอื่น ๆ มาจงถึงประตูเมือง เขาก็ได้ร้องถามออกมาว่า “ไอ้เวร ! จะวิ่งไปไหนวะ ?”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ ทหารยามนายหนึ่งในบริเวณนั้นก็ได้ดึงดาบวงพระจันทร์ออกมากำไว้ในมือ และโดยไม่มีการเตือนใด ๆ เขาคนนั้นก็พลันกระโจนขึ้นสูง เงื้อดาบฟันไปที่คอของแม่ทัพหนิงนั่น !
แม้ว่าจะตกใจกับการโจมตีอย่างกะทันหัน แต่ปฏิกิริยาของเขาก็รวดเร็วมาก แม่ทัพหนิงนายนั้นลดศีรษะลงอย่างรวดเร็วเพื่อหลบคมดาบ ก่อนจะยกหอกขึ้นและร้องตะโกนว่า “เจ้าคือใคร ?”
ทหารยามผู้นั้นไม่ตอบกลับ และถึงแม้ดาบของเขาจะฟันเข้าใส่อากาศ หากแต่ร่างของเขาก็ไม่ได้ตกลงบนพื้น กลับหายไปจากสายตาแทน…
และเมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง ทหารผู้นั้นก็อยู่ที่ด้านหลังของแม่ทัพหนิงแล้ว ร่างของเขาขดตัวเหมือนลูกบอลที่หมอบอยู่บนหลังม้าใบมีดในมือพุ่งออกไป แทงเข้าใส่หัวใจของแม่ทัพหนิงแคว้นอย่างแรง
แม่ทัพแคว้นหนิงคนนี้มีความรู้มากทีเดียว ดังนั้นในขณะที่ทหารยามผู้นั้นหายตัวไป เขาก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือผู้ใช้ศาสตร์มืด จึงหันมองไปรอบ ๆ ก่อนจะกลิ้งลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว
“ล่าถอย ! รีบถอย ! มีศัตรูอยู่ที่นี่ !” แม่ทัพแคว้นหนิงนายนั้นกลิ้งไปบนพื้น ก่อนที่จะยืนขึ้นและร้องตะโกนออกมาซ้ำ ๆ เพื่อเตือนกองทัพหนิงที่กำลังเร่งรีบเข้ามา
ในขณะนั้นเอง ทหารในชุดเกราะสีขาวที่ถือดาบปราณก็ได้รีบวิ่งเข้ามาใกล้ ทำการง้างแขนขึ้น !
“ฟึ่บ !”
ก่อนที่ใบดาบจะมาถึง คลื่นปราณก็มาถึงก่อนแล้ว ซึ่งทันทีที่อีกฝ่ายทำการเคลื่อนไหว แม่ทัพหนิงนายนั้นก็สัมผัสได้ถึงอันตราย และด้วยไม่กล้าประมาท เขาจึงหมุนตัวหลบไปอีกด้านหนึ่ง
เปรี้ยง !
คลื่นปราณพลาดเป้า กระแทกลงพื้นแทน
ทันใดนั้นเศษหินและฝุ่นควันก็ลอยไปทั่ว เช่นเดียวกับพื้นที่แตกออกเป็นแนวยาว ทำให้แม่ทัพหนิงนายนั้นกลัวจนหนังหัวด้านชา มีเหงื่อเย็น ๆ ไหลออกมาทั่วร่าง
เขาหลบดาบทหารเกราะสีขาวนั่นได้ก็จริง หากแต่ดาบของอีกคนหนึ่งก็ได้มาถึงอีกครั้ง คราวนี้ทหารยามผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ เขาและฟาดดาบวงพระจันทร์ลงมาอย่างรุนแรง !
ด้วยร่างกายของแม่ทัพหนิงนายนี้ยังคงอยู่ในระหว่างการกลิ้ง เขาจึงไม่สามารถหลบได้แม้ว่าจะต้องการ หากแต่ความเร็วในการตอบสนองนั้นก็รวดเร็วมาก ดังนั้นในขณะที่กลิ้งตัว เขาก็ได้ยกหอกขึ้นด้วยมือทั้งสองแล้วข้าง ทำการเปลี่ยนมันเป็นหอกปราณแล้วใช้ปกป้องร่างกายตน ก่อนที่จะตามมาด้วยเกราะปราณที่เข้าปกคลุมทั่วร่างในชั่วอึดใจต่อมา
เสียงระเบิดของการปะทะกันดังขึ้น ทำให้ผู้คนโดยรอบหูหนวกไปชั่วขณะ มีประกายไฟลอยไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
แม่ทัพของแคว้นหนิงรู้ว่าอีกฝ่ายคือผู้ใช้ศาสตร์มืดก็จริง หากแต่เขาก็ไม่คิดว่าคนผู้นี้จะทรงพลังถึงขนาดนี้ การฟาดฟันของคนตรงหน้านั้นมันรุนแรงราวกับมีภูเขามากดทับ ดูไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สามารถต้านทานได้เลย
แม่ทัพหนิงผู้นั้นรู้สึกเจ็บปวดที่ฝ่ามือ ตอนนี้แขนทั้งสองข้างชาราวกับว่ากระดูกทั้งหมดในแขนพร้อมจะหักได้ทุกเมื่อ เขาแทบจะไม่สามารถปิดกั้นการโจมตีตรงหน้าได้เลย ได้แต่แรงกดให้ร่างจมลงไปในพื้น
ก่อนที่เขาจะหยุดหายใจ ดาบของทหารเกราะสีขาวก็มาถึง ร่างกายของแม่ทัพหนิงแคว้นอ่อนแอและไม่มีที่ให้หลบได้อีก เขาจึงทำได้เพียงกัดฟันและบังคับตัวเองให้ยกหอกวิญญาณในมือขึ้นอีกครั้งเพื่อรับการโจมตีที่กำลังมาถึง
เคร้ง !
ครั้งนี้มีเสียงดังขึ้น 2 ครั้ง เมื่อดาบของนายทหารเกราะขาวฟาดลงบนหอกปราณของเขา พลังอันรุนแรงของมันก็ได้บีบให้หอกปราณหลุดกระเด็นจากมือ ก่อนที่ใบดาบจะเจาะทะลุผ่านเกราะปราณ เข้าเสียบแทงทำลายเนื้อหนัง และกระดูกหน้าอกของเขาจนแหลกละเอียด
ฟุ่บ !
ชุดเกราะปราณบนร่างของแม่ทัพหนิงหายไปแล้ว เผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่ไร้เกราะกำบังที่มีเลือดไหลออกจากจมูก ปาก และตาของเขา …คงตายแน่แล้ว
แม้ว่ามันจะฟังดูช้า แต่อันที่จริงแล้วมันเร็วมาก การต่อสู้ทั้งหมดใช้เวลาไม่นานเลย
ทหารยามที่เปิดการโจมตีก่อนไม่ใช่ใครอื่นนอกจากถังหยินที่ปลอมตัว ส่วนคนที่ออกมาหลังจากนั้นคือหยวนยู่
ตามความเป็นจริง ในฐานะแม่ทัพของแคว้นหนิง ทักษะและการฝึกฝนของเขานั้นยอดเยี่ยมไม่น้อย ทั้งยังกล้าหาญและดุดัน ถ้าเป็นคนอื่นที่ลอบโจมตี พวกเขาคงไม่แม้แต่จะสามารถกระทบถูกปลายแขนเสื้อ ทว่าเป็นเพราะความประมาท คิดว่ามือสังหารมีเพียงถังหยินคนเดียว จนถูกหยวนยู่ที่เข้าตามมาติด ๆ พลิกสถานการณ์ และกลายเป็นอย่างที่เห็น
หลังจากที่ถังหยินและหยวนยู่จัดการแม่ทัพหนิงนายนี้ได้ พวกเขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับพวกหนิงที่กำลังแห่กันเข้ามาอีก พากันถอยกลับไปในประตูเมือง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ประตูเมืองเกิดเสียงดังเอี๊ยด และปิดลงอย่างช้า ๆ
ในเวลาเดียวกันนั้น ธงของเปิงที่อยู่บนกำแพงเมืองทั้งหมดก็ได้ร่วงลงสู่พื้น ตามด้วยธงสีดำจากแคว้นเฟิงที่โบกสะบัดไปตามลม ดูสะดุดตาเป็นพิเศษ
ทหารแคว้นเปิงที่เดิมแต่งกายด้วยชุดเกราะสีแดงบนกำแพงเมืองต่างถอยกลับไป ขณะที่ทหารของกองทัพเฟิงจำนวนมากที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังพากันลุกขึ้นยืน ตั้งคันธนูขึ้น ก่อนปล่อยลูกศรออกไปยังพวกหนิงที่อยู่ด้านล่าง
พวกหนิงทั้งหมดได้เห็นแม่ทัพของพวกเขาเสียชีวิตอย่างน่าอนาถด้วยน้ำมือของมือสังหาร 2 คน และตอนที่พวกเขากำลังวิ่งไปที่ประตูเมืองเพื่อพยายามจับมือสังหาร มันก็ได้มีลูกธนูมากมายตกลงมาราวกับสายฝน !
เสียงโห่ร้อง และเสียงกรีดร้องดังขึ้น พวกหนิงพากันหนีไปทุกทิศทาง ผลักกัน เหยียบย่ำซึ่งกันและกัน ส่งผลให้จำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บไม่สามารถคำนวณได้