บทที่ 213
เมื่อไม่มีเหตุผลที่จะต้องฝืนปะทะต่อไปแล้ว จ้านอู่ตี้ก็หันไปบอกกับทหารของตัวเองว่า “พวกเจ้า ! ช่วยข้าฆ่ามันให้หมด !”
เมื่อเขาพูดจบ ก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากด้านหลังพวกทหารหนิงอีกทีหนึ่ง ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่ากองทัพของถังหยินได้เข้าโจมตีจากด้านหลัง !
จ้านอู่ตี้เป็นแม่ทัพที่กล้าหาญก็จริง หากแต่เขาก็ยังขาดความสามารถในการเป็นผู้นำที่ดี ดังนั้นเมื่อเห็นว่าตัวเองถูกตลบหลัง เขาก็พลันออกคำสั่งอย่างไม่ลังเล “ถอย ! ถอยก่อน ! พวกมันโจมตีจากข้างหลัง !”
จริง ๆ แล้วถ้าหากเขามีสติสักนิดก็จะเห็นได้ชัดว่าศัตรูไม่ได้มีจำนวนมากมายเลย มีแค่ 2 พันนายเท่านั้น ซึ่งเมื่อรวมกับที่หยวนยู่พามาก็มีเพียงแค่ 5 พันนายเท่านั้น ผิดกับจ้านอู่ตี้ที่มีกำลังในมือทั้งหมด 8 หมื่นนาย !
ถ้าเขาสู้ต่อก็อาจจะได้เปรียบอยู่ แต่ในเมื่อสั่งถอยแล้ว มันก็ทำให้พวกทหารหนิงเริ่มขวัญเสียกันหมดและหนีตามกันไปอย่างรวดเร็ว
เปิดโอกาสให้ถังหยินและหยวนยู่มารวมทัพกัน ก่อนที่ชายเลือดร้อนจะหันมองไปยังค่ายของศัตรู “นายท่าน พวกเราจะเข้าโจมตีอีกรอบหรือไม่ ?”
ถังหยินครุ่นคิด เพราะถึงเขาจะอยากไล่ฆ่าพวกมันก็จริง หากแต่ในใจของชายหนุ่มก็รู้สึกว่าไม่ควรไปต่อ ด้วยที่อีกฝ่ายแตกพ่ายไม่ได้มาจากกำลังที่เหนือกว่าแต่เป็นเพราะความตกใจ ! และถ้าหากเขายังจะบุกต่อไปอีกละก็ มันก็มีโอกาสที่จะโดนล้อมด้วยกำลังเสริมของพวกหนิง “ถอยกันก่อน”
“เอ๋ ?” หยวนยู่ไม่พอใจ หันมองถังหยินสลับกับค่ายศัตรู ก่อนที่มุมปากของเขาจะบิดขึ้นด้วยความหงุดหงิด แล้วจึงยอมลามือไปอย่างเซ็ง ๆ
ถังหยิน หยวนยู่ และทหารของพวกเขาถอยกลับไปได้สำเร็จ ผิดกับพวกหนิงที่ยังอยู่บนกำแพง ได้แต่ปะทะพลางก้าวถอยพลาง จนจำนวนทหารลดลงเหลือ 1 หมื่นกว่านายแล้วในตอนนี้
ถึงแม้ว่าการต่อสู้จะไม่ยืดเยื้อแต่ก็มีการสูญเสียมากมาย ทั้งสองฝั่งเสียทหารมากมายหลายหมื่นและไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ
ทว่าสำหรับพวกหนิงที่มีกำลังพลมากกว่า มันก็ย่อมหมายความว่าพวกเขานั้นแทบจะไม่เสียหายอะไรเลย ผิดกับพวกเฟิงที่ย่ำแย่พอตัว ด้วยเสียแม่ทัพฝีมือดีอย่างไป๋เจี๋ยไป ! และสิ่งที่พวกเขาควรทำตอนนี้คือเสริมกำลังให้กำแพงด้านเหนือให้ได้มากที่สุด
ไม่นานนักทางด้านค่ายหนิงก็ดับไฟได้สำเร็จ ทำให้จ้านอู่ตี้เริ่มสงบสติลงได้ และเมื่อเขาคิดถึงการต่อสู้ที่ผ่านมา เขาก็ยิ่งโกรธจัดที่ทำให้พวกทหารต้องตายเปล่าอยู่บนกำแพงเมืองถึง 2 หมื่นนาย !
หลังจากศึกนี้ ทั้งสองฝั่งก็เสียกำลังไปมากมาย หากแต่นั่นก็ยังไม่สามารถสรุปผลได้ แล้วแบบนี้เขาจะมีหน้าไปพบพี่ใหญ่ของตัวเองได้อย่างไรกัน ? จ้านอู่ตี้กังวลนัก ก่อนที่จะใช้ฐานะของแม่ทัพทำการเรียกที่ปรึกษาให้เข้ามาหา
จ้านอู่ตี้ไม่มีความมั่นใจอีกต่อไปแล้ว เขาพูดอย่างสิ้นหวัง “พวกมันเก่งกาจมาก แถมยังโจมตีข้าไม่หยุดหย่อน ข้าควรจะทำอย่างไรดี ?”
กุนซือที่ปรึกษาโบกมือให้เขา ปากร้องบอก “ท่านแม่ทัพไม่ต้องกังวล พวกมันเก่งกาจก็จริง แต่ก็แค่คนคนเดียวเท่านั้น พวกมันไม่อาจต่อกรกับทหารนับแสนของพวกเราได้หรอก และถ้าเกิดว่าพวกเราส่งแม่ทัพที่จบจากสถาบันฝึกยุทธ์ไปล่ะก็ การรุกรานจะต้องง่ายขึ้นมากแน่ขอรับ !”
สีหน้าของจ้านอู่ตี้ดีขึ้นทันที เขาพูดขึ้นมาเบา ๆ “จริงด้วย ข้าลืมพวกเขาไปได้ยังไงกัน ? ข้าควรพาพวกเขาให้มาช่วยในการศึกครั้งนี้ด้วย !”
จ้านอู่ตี้พยักหน้ารัว ๆ แล้วหัวเราะ “สิ่งที่ท่านพูดมามันก็ถูก ข้าจะทำตามที่ท่านบอก เจ้า ! ไปบอกพวกแม่ทัพเหล่านั้นให้มาที่นี่เสีย !”
“ขอรับ !” ทหารนายหนึ่งรีบตอบแล้ววิ่งออกไปทันที
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม พวกแม่ทัพจากสถาบันฝึกยุทธ์ก็มาถึง พวกเขามีอายุประมาณ 23 หรือ 24 ปี และที่เด็กสุดก็อยู่ที่ 16 ปี มีทั้งชายและหญิงปะปนกันไป ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ก็คือลูกหลานของผู้มีอำนาจในแคว้นหนิงทั้งนั้น !
เมื่อเห็นว่าพวกแม่ทัพมาถึงแล้ว จ้านอู่ตี้ก็เชิญพวกเขาเข้ามาแล้วชี้ไปยังเมืองจินฮั๋ว “อีกไม่นานพวกเราจะต้องเข้าโจมตีที่นั่น ข้าขอยืมพลังของพวกเจ้าหน่อย แสดงให้ข้าเห็นว่าพวกเจ้าคู่ควรแก่ชื่อเสียงที่ได้ร่ำเรียนมาจากสถาบันฝึกยุทธ์ !”
“แน่นอนขอรับ!” พวกเขาตอบรับพร้อมกันแล้วประกบมือให้ “ด้วยความสามารถของข้าที่มี ข้าจะทำให้ความปรารถนาของท่านเป็นจริงเอง !”
จ้านอู่ตี้ดีใจมากที่ได้ยินแบบนี้ รีบกล่าวต่อในทันที “ถ้าหากพวกเจ้าทำสำเร็จล่ะก็ เมื่อกลับไปข้าจะขอรางวัลจากท่านอ๋องให้พวกเจ้าเอง !”
“เป็นพระคุณอย่างยิ่งขอรับ !”
พวกแม่ทัพเหล่านี้มีความมั่นใจที่เต็มเปี่ยม ทว่ากุนซือที่ปรึกษาก็ยังแอบหวั่น ๆ อยู่ในใจ เพราะว่าแม่ทัพเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนมาก็จริงแต่พวกเขานั้นยังไม่เคยออกรบจริงสักครั้ง ดังนั้นจึงอาจมีความผิดพลาดเกิดขึ้นไป ! …หากแต่ถึงจะคิดแบบนั้น ทว่าเขาก็ไม่ได้พูดเตือนออกไปแต่อย่างใด
จ้านอู่ตี้ที่ยังคงอยู่ในอาการดีใจอยู่ก็ได้ออกคำสั่งให้พวกเขาเริ่มการโจมตีได้
กองทัพหนิงจำนวน 9 หมื่นนายพุ่งเข้าโจมตีกำแพงส่วนเหนืออีกครั้งทันที
ในเวลานี้ถังหยิน หยวนยู่ เช่าหยาง และจี้เฉินก็อยู่ด้วยกันครบทุกคนแถมทหารที่ด้านเหนือก็ได้รับการเสริมกำลังจนมี 2 หมื่นนายได้ ดังนั้นเมื่อเห็นศัตรูที่กำลังใกล้เข้ามา หยวนยู่ก็กล่าวกับชายหนุ่มว่า “นายท่าน ให้ข้าลงไปรับมือกับพวกมันเถิด”
ถังหยินปฏิเสธ ครั้งนี้จำนวนพวกมันเยอะเกินไป ย่อมไม่คุ้มที่จะเสี่ยง “อยู่ในกำแพงเมืองปลอดภัยกว่า”
ก่อนเป็นจี้เฉินที่ช่วยพูดเสริม “นายท่านพูดถูก ไป๋เจี๋ยตายเพราะพวกเรารีบร้อนเกินไป และมันก็ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวเท่านั้น หากแต่ยังรวมไปถึงทหารอีกหลายพันนายของเขาด้วย ซึ่งมันก็นับเป็นบทเรียนอันเลวร้าบที่เราไม่ควรลืม”
หยวนยู่ที่ถูกห้ามไว้ก็ไม่อาจเก็บความรู้สึกเอาไว้ได้ เข้าไปยืนริมกำแพงแล้วมองไปยังขบวนทัพของศัตรู
เมื่อพวกหนิงเข้ามาใกล้มากขึ้นพร้อมกับพลธนูที่ยิงเข้ามา ถังหยินก็สั่งให้พวกทหารเฟิงยกโล่ขึ้นป้องกัน
ไม่นานนักก็มีห่าฝนธนูพุ่งเข้ามาใส่กองทัพเฟิงมากมายจนเกิดเสียงกระทบกับหิน อิฐ หรือแม้แต่เหล็กดังระงมไปทั่ว
และเมื่อมาถึงจุดหนึ่ง พวกหนิงก็ได้เข้ามาใกล้กำแพงเมืองแล้ว พวกเขาพากันเอาบันไดมาวางอีกครั้ง ทำให้การต่อสู้ดุเดือดขึ้นมาทันที
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น พวกเฟิงก็ไม่อาจป้องกันแต่อย่างเดียวได้อีกต่อไปแล้ว พวกเขาต้องเลือกระหว่างจะยกโล่ขึ้นป้องกันหรือจะเอาท่อนไม้มาทุ่มใส่พวกที่กำลังปีนบันไดขึ้นมา
หลังการต่อสู้เริ่มไปไม่นาน แม่ทัพหนิงมากมายก็เริ่มแทรกตัวเข้ามาในกองทัพตัวเองแล้วปล่อยเกราะปราณออกมา ซึ่งการปรากฎตัวของพวกเขาก็สร้างความปั่นป่วนมากทีเดียว