บทที่ 226
ณ เมืองจินฮั๋ว
หลังจากพาตัวประกันไปส่ง หยวนยู่และทุกคนก็เข้ามาประชุมกับถังหยินในเรื่องการถอนทัพของพวกหนิง ซึ่งพวกเขายังไม่จำเป็นต้องกังวลเท่าไหร่นัก เพราะพวกเขายังมียั่วหลิงอยู่ในกำมือ
คืนนั้นพวกทหารก็เข้ามารายงานแก่ถังหยินว่าพวกหนิงได้ทำการถอนทัพออกไปแล้วจริง ๆ ทำให้ชายหนุ่มดีใจมากที่ได้ยินแบบนี้และพาหยวนยู่กับทุกคนขึ้นไปบนกำแพงเพื่อดูการถอนทัพ
ตามที่เขาได้ยินมา ค่ายพวกหนิงที่เต็มไปด้วยผู้คนจะมีคบเพลิงและเต็นท์มากมาย แต่ในเวลานี้บางส่วนก็ถูกดับไฟไปแล้ว รวมไปถึงเต็นท์บางหลังก็โดนพับเก็บไปเช่นกัน
ถึงคนอื่นจะมองเห็นไม่ชัดแต่ถังหยินก็มั่นใจในระดับหนึ่ง
เขาครุ่นคิดและมุมปากก็ยิ้มออกมา เช่นเดียวกับจี้เฉินที่ถึงแม้จะมองได้ไม่ชัดแต่เขาก็พอจะเดาได้จากท่าทีของถังหยิน “พวกหนิงคงไม่หลอกเราใช่ไหม ?”
ถังหยินหยุดเดิน ทำการหันไปหาจี้เฉิน “หมายว่ายังไงกัน ?”
จี้เฉินขมวดคิ้ว กล่าวอย่างกังวล “ข้ารู้สึกว่ามันผิดปกติเกินไป พวกมันรุกล้ำเข้ามาถึงขนาดนี้ แล้วจะให้ถอยเพื่อคนคนเดียวเช่นนี้ ข้าว่ามันผิดปกติ เพราะต่อให้ยั่วหลิงจะสำคัญแค่ไหน แต่ระดับแม่ทัพจ้านสองพี่น้องนั้นแล้ว พวกเขาคงไม่มีทางถอยกลับไปเฉย ๆ แน่ มันต้องมีแผนการอะไรบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลัง !”
ถังหยินสูดหายใจเข้าและมีท่าทีคิดหนักขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น ซึ่งมันก็ถูกอย่างที่จี้เฉินบอกมา หรือว่าพวกหนิงมันจะแกล้งทำเป็นถอยทัพแล้วหาจังหวะเพื่อโจมตีเขาหรือเปล่า ?
ชายหนุ่มพยักหน้า หันบอกกับคนอื่น ๆ “แม่ทัพเฉินพูดถูก พวกเราไม่อาจประมาทได้ สั่งการให้ทหารทุกคนเตรียมระวังภัยเอาไว้”
“น้อมรับบัญชา” พวกทหารกล่าวอย่างพร้อมเพรียง
“แล้วก็ย้ายตัวประกันออกไปจากเขตเหนือด้วย” ถังหยินพูดพร้อมกับครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้หลายทางที่จะเกิดขึ้น เช่นถ้าเกิดพวกหนิงอาศัยจังหวะในครั้งหน้าระหว่างที่โจมตีเมือง เพื่อพาตัวประกันออกไป !
จี้เฉินถาม “แล้วท่านจะให้ขังพวกเขาไว้ที่ไหนกัน ?”
“คืนนี้ให้พวกเขาอยู่ในเต็นท์ของข้าก็แล้วกัน ถ้าอยู่ใกล้ข้าก็ไม่น่าจะมีปัญหาใด”
หลังจากจัดแจงทุกอย่างเสร็จ ถังหยินก็ยืนมองพวกหนิงต่อไปจนกระทั่งจี้เฉินพาตัวประกันทั้งสี่มายังที่พักของเขา
ทั้ง 4 คนนั้นแบ่งเป็น 2 ชายและ 2 หญิง นอกจากยั่วหลิงอีกสามคนคือ เฟิงยู่ จินเหล่ย และเฉินชุยหลิง เฟิงยู่คือลูกชายของตี้ฉี ส่วนจินเหล่ยคือลูกชายของแม่ทัพจินเอ้อ และเฉินชุยหลิงคือลูกสาวของแม่ทัพเฉินฟาง
เมื่อเห็นถังหยินแต่งตัวตามปกติในเต็นท์ พวกเขาก็พากันตกตะลึงด้วยไม่รู้ว่าทำไมชายหนุ่มถึงพาพวกเขามาที่นี่
ถังหยินมองพวกเขา กล่าวอย่างเรียบเฉย “คืนนี้พวกเจ้านอนในที่พักของข้าก็แล้วกัน”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร ?” ยั่วหลิงถาม
“เพื่อความปลอดภัยของพวกเจ้าทั้งสี่ไงเล่า ข้าเชื่อว่าคืนนี้น่าจะไม่เงียบสงบแน่”
คนอื่น ๆ ไม่เข้าใจในความหมายนี้ ก่อนจะเป็นยั่วหลิงที่เปลี่ยนหัวข้อทันที “แล้วท่านพาจางชูกับคนที่เหลือไปไว้ที่ไหนกัน ?”
“แน่นอนว่าส่งพวกเขากลับบ้านเก่าไปแล้ว”
“ท่านฆ่าพวกเขาหรือ ?” ยั่วหลิงและคนอื่น ๆ ถามพร้อมกัน
“ข้าบอกว่าส่งกลับบ้านเก่า ซึ่งในที่นี้ก็คือส่งกลับไปค่ายหนิงของพวกเจ้าไง คิดอะไรกันอยู่ อ้อใช่ ถ้าเกิดพวกหนิงยอมถอนทัพกลับไปจริง ๆ ข้าก็จะส่งพวกเจ้าอีก 4 คนกลับไปด้วยเช่นกัน” ถังหยินกล่าว
ยั่วหลิงแอบดีใจชั่วครู่ “เจ้าใช้พวกเราข่มขู่แม่ทัพอู่ฉางงั้นหรือ ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ถังหยินยิ้มให้
ยั่วหลิงกัดฟันกรอด “ถังหยิน เจ้ามันสารเลว !”
“ไม่ว่าวิธีการจะเป็นยังไง ขอแค่ให้ได้มาซึ่งชัยชนะก็พอแล้ว นี่แหละคือสงคราม” ถังหยินพูดอย่างไม่สนใจ “และถ้าหากแม่ทัพขาดความสามารถในการบัญชาการ มันก็จะฉิบหายแบบนี้ไง”
หญิงสาวโกรธจัดจนพูดไม่ออก ไม่คิดจะสื่อสารกับถังหยินต่ออีกให้มากความ
ชายหนุ่มเองก็ไม่คิดจะพูดกับพวกเขาต่อ จึงได้หันเดินกลับไปหลังม่าน “ข้าจะนอนในนี้ ส่วนพวกเจ้านอนข้างนอกไป แล้วก็อย่าคิดจะหนีล่ะ พวกทหารได้วางกำลังกันไว้แน่นหนาชนิดที่ว่าต่อให้พวกเจ้าเป็นแมลงวันก็หนีไม่รอดหรอก อ้อใช่ ถ้าเกิดคิดจะสังหารข้าก็ลองดูได้นะ แต่ข้าไม่รับประกันว่าพวกเจ้าจะหัวขาดหรือไม่”
พูดจบเขาก็นอนลงบนเตียงทั้งอย่างนั้น
ตัวประกันทั้งสี่มองหน้ากันแล้วถอนหายใจ พวกเขาโชคที่ถังหยินไม่ได้คิดจะฆ่าทิ้งในตอนนี้ เฟิงยู่ถามขึ้น “ถังหยินส่งพวกจางชูกลับไปแล้วหรือ ? ถ้าเป็นแบบนี้เดี๋ยวพวกเราก็ได้กลับบ้านแล้วล่ะสิ ?”
ยั่วหลิงพยักหน้าให้อย่างช้า ๆ
ถึงนางจะไม่ได้มองโลกในแง่ดีเท่าเฟิงยู่ แต่ด้วยสิ่งที่ถังหยินพูดมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการถอยทัพของพวกหนิง หรือเรื่องอื่น ๆ มันก็ทำให้พวกเขาแน่ใจในระดับหนึ่งแล้วว่าจะได้รับการปล่อยตัวไปในไม่ช้านี้
ในเวลานี้ชุยหลิงก็ได้คร่ำครวญออกมาอีกครั้ง “ถ้าข้าเชื่อคำพูดของพ่อข้าว่าอย่าไปยุ่งเรื่องกองทัพ ป่านนี้ข้าก็น่าจะยังคงเที่ยวอยู่ที่บ้านของเหลียงโจวอยู่แน่”
ชุยหลิงนับว่าเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาทั้งหมด ดังนั้นตั้งแต่ที่ถูกจับตัวมา นางก็เอาแต่ร้องไห้แทบตลอดทั้งวันจนยั่วหลิงและคนอื่น ๆ รำคาญและเลิกใส่ใจไปแล้ว
ทั้งเต็นท์เงียบลง มีแต่เสียงร้องของชุยหลิงที่ดังขึ้นเป็นระยะ ๆ
เมื่อยั่วหลิงมองไปรอบ ๆ นางก็พบว่าภายในเต็นท์นี้มีม่านอยู่รอบทิศทางและมีแค่โต๊ะตรงกลางเท่านั้น ไม่มีอาวุธหรืออะไรอื่นนอกจากเหยือกเหล้า
หญิงสาวไม่รู้ว่าเหยือกที่ทำจากสำริดล้วนจะแข็งแค่ไหน แต่มันก็คุ้มค่าแก่การลองไม่น้อย
ว่าแล้วยั่วหลิงก็กัดฟันแน่น ก่อนจะดึงแขนเสื้อของเฟิงยู่ก่อนเขียนคำว่า ‘ฆ่าเขา’ บนอากาศ
เฟิงยู่เองก็ไม่ใช่คนโง่ เขาเข้าใจความหมายทันทีว่าให้จัดการถังหยินด้วยเหยือก
ทว่าร่างของเขากลับสั่นเทาและส่ายหัวไปมาให้นาง เพื่อแสดงออกว่าไม่เห็นด้วย
ยั่วหลิงบีบแขนของเขาเพื่อบอกให้เงียบปากลง พร้อมกับลุกขึ้นเดินไปยังโต๊ะ
นางเดินอย่างระมัดระวังยิ่ง และเมื่อถึงโต๊ะก็หยิบเหยือกขึ้นมา ซึ่งมันก็หนักมากชนิดที่ว่าถ้านำไปฟาดหัวใครสักคน กะโหลกของคนผู้นั้นจะต้องยุบแน่
นางแอบฟังเสียงที่เกิดขึ้นอยู่หลังม่านอีกคราให้แน่ใจ แล้วจึงถอยกลับมายังที่เดิม
ตอนนี้ชุยหลิงเลิกร้องไห้แล้ว ส่วนจินเหล่ยก็กำลังมองยั่วหลิงด้วยความหวาดกลัว
ยั่วหลิงคลานต่ำลงมาและก้มมองเหยือกในมือ ก่อนจะยื่นให้กับเฟิงยู่พร้อมส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายออกไปฆ่าเขา
เฟิงยู่มือสั่น เขาคิดอยู่ว่าการใช้เหยือกฆ่าถังหยินมันง่ายมากก็จริง แต่ถ้าเขาทำไม่สำเร็จล่ะ ? ถ้าเกิดถูกจับได้ล่ะ ? และด้วยความคิดมากมายในหัวของเขานี่เอง ที่ทำให้เฟิงยู่เผลอยื่นเหยือกคืนให้ยั่วหลิง
นางกัดฟันสบถด่าสหายตัวเองในใจ ก่อนยื่นมันให้กับจินเหล่ยพร้อมส่งสัญญาณแบบเดิม
ซึ่งตัวของจินเหล่ยเองก็ไม่ได้ต่างจากเฟิงยู่มากนัก ทันทีที่เหยือกถูกส่งมาเขาก็ถอยห่างทันที
ยั่วหลิงสบถออกมาเบา ๆ มองหน้าของทั้งสองด้วยความหงุดหงิด จากนั้นก็ฟังเสียงของถังหยินที่นอนหลับอยู่อีกครั้ง ก่อนจะกัดฟันเดินเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อหวังที่จะลอบสังหารชายผู้นี้ด้วยตัวเอง