บทที่ 229
ผัวะ !
หมัดทั้งสองกระแทกเข้าใบหน้าของพลทหารหนิงทั้ง 2 นายจนอีกฝ่ายกะโหลกแตกและเลือดกระจายออกมา
“หา ?” พวกหลิงเปิงตะลึงมากที่เห็นสหายถูกชกตายต่อหน้า พากันสีหน้าซีดเซียวลงด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเก่งได้ขนาดนี้ ก่อนจะเป็นแม่ทัพเฟิงที่ใช้โอกาสนี้พุ่งออกจากวงล้อม พุ่งกระโจมอย่างรวดเร็วแล้วชักดาบรูปร่างประหลาดออกมาโบกสะบัด “ข้าคือฉางกวงหยวนยู่ เจ้าพวกสารเลวคนไหนอยากตายก็เข้ามา !”
ได้ยินชื่อนี้หลิงเปิงก็แทบจะขาสั่นแล้ว เพราะชื่อนี้คือชื่อที่เขาคุ้นหูยิ่ง ! ด้วยอีกฝ่ายนั้นได้ฆ่าแม่ทัพทางฝั่งของพวกเขาไปมากมาย ดังนั้นแล้วคงไม่ต้องพูดถึงพวกทหารธรรมดา ๆ รอบนี่เลย
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น หากทว่าหลิงเปิงก็ไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนั้นได้ เขารีบมองไปรอบ ๆ แล้วตะโกนบอกพวกของตน “อย่าไปกลัวมัน ถ้าพวกเรารุมยังไงก็ต้องเอาชนะได้แน่ !”
จากนั้นเขาก็ปลดปล่อยคลื่นปราณใส่อีกฝ่าย
ตอนแรกหยวนยู่คิดว่าคนพวกนี้จะหวาดกลัวเมื่อตนประกาศนาม แต่ที่ไหนได้ พวกเขากลับบ้าคลั่งขึ้นกว่าเดิมอีก ! ซึ่งก็เป็นหลิงเปิงที่เข้ามาใกล้เป้าหมาย ก่อนที่จะต้องกรีดร้องออกมาเพราะโดนหมัดหนักของหยวนยู่บีบให้ถอยออกมา
แต่แม้ว่าเขาจะถอย ทว่าพวกทหารกลับสู้ต่อ พวกเขาพากันโถมตัวเข้าไปหาหยวนยู่ด้วยความบ้าคลั่งในขณะที่หลิงเปิงถอยกลับมาอยู่ข้าง ๆ ทางเข้าออกเต็นท์
เสียงการต่อสู้ได้ปลุกให้พวกทหารเฟิงรอบ ๆ ตื่นขึ้นมาแล้ว ดังนั้นในเวลานี้พวกเฟิงจึงได้เข้ามาล้อมเต็นท์เอาไว้ และเมื่อหลิงเปิงเห็นแบบนี้ เขาก็รับรู้ได้ในทันทีว่าตนเองโชคดีแค่ไหนที่ถอยออกมาก่อนคนอื่น จากนั้นหลิงเปิงก็ไม่ช้า รีบหันหลังวิ่งหนีตายไปยังกำแพงเมืองในทันที
แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเรียกจากใครบางคน “มันอยู่ทางนั้น !”
หลิงเปิงใจหายวาบ หยุดนิ่งทันทีที่เห็นคลื่นมนุษย์กำลังหลั่งไหลเข้ามา ซึ่งหัวหน้าของพวกมันก็คือแม่ทัพเฟิงในชุดเกราะปราณสีน้ำเงินเข้มที่ในมือถือหอกปราณสีเดียวกันไว้
เห็นแบบนี้หลิงเปิงก็สบถออกมา ด้วยต่อให้เขาจะหนียังไงก็ไม่รอดแล้ว เลยได้แต่มองไปรอบ ๆ เพื่อหาทางออกอื่น หากแต่ก็ต้องสิ้นหวัง เมื่อตอนนี้โดยรอบเต็มไปด้วยพวกเฟิง !!! และหากเขาอยากจะรอดไปจากที่นี่ก็ต้องสู้อย่างเดียวเท่านั้น ! เมื่อคิดได้แบบนั้น เขาก็กัดฟันชักดาบออกมาแล้วพุ่งออกไป
แม่ทัพเกราะน้ำเงินโบกหอกแล้วตะโกน “ยิงธนูได้ !”
ด้วยคำสั่งนี้ พวกทหารที่อยู่รอบ ๆ ก็เล็งธนูขึ้นพร้อมปล่อยลูกศรให้พุ่งออกใส่เป้าหมายเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง ทำให้หลิงเปิงจำต้องใช้พลังของตัวเองหลบหลีกพวกมันอย่างจวนตัว
หลังจากระลอกรอบแรกผ่านไป ก็มีเพียงธนูแค่ 2 ดอกเท่านั้นที่ปักเข้าใส่หลิงเปิง ซึ่งนั่นมันก็ไม่สามารถทะลวงเกราะเข้าไปได้ ทำให้เขายังคงยืนกรานอยู่อย่างนั้นก่อนจะพุ่งเข้าไปต่อ
แม่ทัพเฟิงกลัวว่าคนของตัวเองจะเกิดภัย เขาจึงได้ยกหอกขึ้นแล้วพุ่งเข้าใส่หลิงเปิง “ข้าคือเช่าหยาง นามของเจ้าคือ ?”
หลิงเปิงไม่มีเวลามาเล่นลิ้นกับอีกฝ่าย จึงตะโกนกลับไปอย่าหงุดหงิด “ช่างหัวนามข้าสิวะ !” แล้วจึงแทงดาบออกไป
อีกฝ่ายยกหอกขึ้นปัดป้องมันอย่างง่ายดายและแทงสวนกลับไป
ทุกคนรู้ดีว่านี่คือการป้องกันและโจมตีสวนไปในเวลาเดียวกัน ซึ่งตัวของหลิงเปิงที่ผ่านการต่อสู้มานานก็รับรู้ถึงท่วงท่านี้ดี
ทั้งสองเข้าปะทะกันด้วยพลังที่ไม่ทิ้งห่างกันมาก ทั้งยังปะทะฟาดฟันอย่างดุเดือด ด้วยในเวลานี้ไม่มีใครยอมใคร จนกระทั่งเช่าหยางค่อย ๆ กดดันหลิงเปิงให้เสียเวลา เพื่อเปิดโอกาสให้พวกทหารเฟิงเข้ามาใกล้ในทุกขณะ
พวกทหารเฟิงเข้ามาล้อมเอาไว้รอบทิศทางและหนาแน่นมากเสียจนแทบจะไม่มีใครเดินฝ่าออกไปได้
พวกเขาต่อสู้กันไปอีกสักพักใหญ่ จนหยวนยู่ตะโกนออกมาจากด้านหลังพร้อมกับเต็นท์ที่พังทลายลงมา ก่อนเป็นชายเลือดร้อนที่ปรากฏตัวขึ้นด้วยความรวดเร็ว “ไอ้เวรตะไลเอ้ย เจ้าอยู่ที่ไหนกัน ?”
เมื่อเห็นเป้าหมาย หยวนยู่ก็ไม่รอช้า รีบพุ่งเข้าไปในทันที ทำให้หลิงเปิงตื่นตระหนก ด้วยเขารู้ดีว่าตนเองนั้นไม่อาจรับมือแม่ทัพถึง 2 คนในเวลาเดียวกันได้
หลิงเปิงพยายามหลบไปมาอย่างหวาดหวั่น หากแต่มันก็ช้าเกินไปจนโดนเช่าหยางเตะเข้าที่หัวเข่าอย่างจังจนเขาล้มลงไปนอนบนพื้น ทำให้เกราะที่เข่าแตกกระจายเช่นเดียวกับกระดูกข้างใน จนหลิงเปิงไม่อาจอดกลั้นความเจ็บปวด กรีดร้องออกมาอย่างน่าเวทนาในพลัน
หยวนยู่ไม่รอช้า พุ่งเข้ามาคว้าหลังคอหลิงเปิงเอาไว้แล้วยกขึ้นมาก่อนจะฟาดทำลายเกราะปราณของเขาทิ้ง
แม่ทัพหนิงไม่อาจหายใจได้ มือของเขาสะบัดไปมาและพยายามจะใช้พลังของตนดิ้นรนออกไปจากที่นี่ แต่ไม่ว่าจะทำยังไงอีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อยมือเสียทีจนตนเองเริ่มทนไม่ไหว ลำคอเริ่มส่งเสียงประหลาด ใบหน้าเริ่มซีดขาวจากการขาดอากาศ
“หึ” หยวนยู่โยนอีกฝ่ายลงไปบนพื้น “พวกเจ้าเป็นใคร ? แล้วทำไมถึงอยากจะสังหารข้าคนนี้ ?”
หลิงเปิงนอนอยู่บนพื้นนานมากกว่าเขาจะได้สติ ก่อนที่เขาจะลูบคอตัวเองแล้วยิ้มออกมา ด้วยตนเองนั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะลอบสังหารอีกฝ่ายจริง ๆ หากแต่มาทำอย่างอื่น ซึ่งถ้าหากพวกเขารู้เข้าละก็ ผลลัพธ์มันจะเป็นเช่นไรกันนะ ? คิดดังนั้นเขาก็กลืนน้ำลายลงคอแล้วมองเหล่าทหารเฟิงมากมายโดยไม่ได้พูดอะไร
หยวนยู่โกรธมากจนพยักหน้าถี่รัว “ถ้าเจ้าดื้อด้านแบบนี้ล่ะก็ เอาหมัดของข้าสักหน่อยเป็นไง ?” เขาจับคอเสื้อหลิงเปิงขึ้นมาแล้วง้างหมัดจะชกเข้าที่ใบหน้าอีกฝ่าย
เมื่อหลิงเปิงเห็นกำปั้นของหยวนยู่ที่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อและสมองของพวกพ้องตัวเอง เขาก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ รีบร้องตะโกนออกไปในทันทีว่า “ปล่อยข้าไปเถิดท่านแม่ทัพหยวนยู่ พวกเราเข้ามาเพื่อชิงตัวประกัน หากแต่บังเอิญไปเจอกับท่านก็เท่านั้นเอง !”
ชายเลือดร้อนขมวดคิ้ว เขาปล่อยตัวอีกฝ่ายไปแล้วยกดาบประจำตัวเขาขึ้นมา “ช่วยคนเหรอ ? งั้นแล้วใครกันละที่จะมาช่วยเจ้าในตอนนี้ !” ว่าแล้วเขาก็ยกดาบขึ้นสูง เตรียมที่จะฟันลงมา
หลิงเปิงคุกเข่าลงบนพื้นทันที “ไว้ชีวิตข้าเถอะ ไว้ชีวิตข้าเถอะ ไว้ชีวิตข้าเถอะ ข้ามีข่าวสารมาบอกท่านด้วย !” เขาสามารถทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองรอดได้ ไม่เว้นแม้แต่ขายพ่อแม่ตัวเอง
ได้ยินแบบนั้นหยวนยู่ก็วางดาบลง “ข่าวอะไร ? ว่ามา !”
หลิงเปิงเรียบเรียงคำพูดในใจ ก่อนพูด “ที่ทุ่งหญ้านอกเมืองมีทหารหนิงคอยดักซุ้มรอพวกข้าอยู่ ถ้าหากท่านออกไปจัดการมันตอนนี้ล่ะก็จะต้องทำได้แน่”
ดวงตาของหยวนยู่ลุกติดไฟขึ้นมาทันทีและเดินเข้ามาใกล้เขา “เป็นความจริงหรือ ?”
“ข้าไม่คิดจะโกหกท่านหรอก ปล่อยข้าไปเถอะ !”
หยวนยู่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะพูดจริงหรือเปล่า เขากลัวว่านี่จะเป็นกับดัก ดังนั้นจึงหันไปพูดกับพวกทหารรอบ ๆ ว่า “เอายาสลายปราณให้เขากินแล้วพาตัวไปหานายท่านซะ”