เย่เฉินผ่อนลมหายใจยาวเมื่อเห็นสมุดที่มีคำว่า ‘หนังสือสำคัญการหย่า’ ก็รู้สึกว่าความคับแค้นตลอดสามปีที่ผ่านมาหายไปราวควัน
“ในที่สุดฉันก็ไม่ใช่เขยที่แต่งเข้าอีกต่อไป”
เย่เฉินเดินออกจากสำนักกิจการพลเรือนแล้วก็อดทอดถอนใจไม่ได้
ด่านเคราะห์ต่อไปที่ต้องเผชิญก็คือเคราะห์ทางธุรกิจ เขาต้องการทุ่มเททุกอย่างไปกับการทำงาน!
ในเวลานี้เองหวังเจียเหยากลับพูดถากถางเขา “ใช่ นายไม่ใช่เขยที่แต่งเข้าอีกแล้วนายคือเขยที่โดนทิ้ง! น่าขายหน้ากว่าเขยที่แต่งเข้าเยอะ!”
เขยที่โดนทิ้ง?
คือเขยแต่งเข้าแล้วหย่าน่ะเหรอ?
แล้วแต่จะพูดเถอะ!
เย่เฉินไม่อยากจะเสวนากับผู้หญิงบ้าเงินคนนี้ต่อแม้แต่ประโยคเดียว จึงเรียกรถส่งๆ แล้วออกเดินทาง
ส่วนหวังเจียเหยายังไม่ยอมเลิกรา ทั้งที่รู้ว่าตนเองเป็นฝ่ายผิดแต่กลับรู้สึกว่ายังด่าสามีขยะผู้นี้ไม่พอ
หวังเจียเหยาขึ้นรถของฟางเชาแล้วกล่าว “ขับรถตามเขาไป ดูว่าเขาจะออกไปจากเมืองอวิ๋นโจวไหม”
ฟางเชาเหยียบคันเร่งตามรถแท็กซี่ที่เย่เฉินนั่งไปแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“จะต้องนั่งรถไฟออกจากอวิ๋นโจวแน่นอน ก็เขาหมดหนทางจะทำมาหากินในอวิ๋นโจวแล้ว เงินฝากก็ไม่มีถ้าไม่ไปจะให้อดอยากตายอยู่ที่อวิ๋นโจวเหรอ?”
หวังเจียเหยาเองก็รู้สึกว่าเย่เฉินน่าจะเลือกออกจากอวิ๋นโจว แต่จากแววตาของอีกฝ่ายทำให้หล่อนรู้สึกว่าเรื่องไม่น่าง่ายอย่างนั้น
ฟางเชาขับรถไปพลางมองใบหย่าในมือของหวังเจียเหยาแล้วกล่าว
“ทำไมใบหย่าถึงเป็นสีม่วงล่ะ เมื่อก่อนไม่ใช่สีม่วงหรอกมั้ง?”
หวังเจียเหยาผงกศีรษะ “เปลี่ยนแล้วล่ะ สีม่วงดีออกจะตาย ฉันหย่ากับเขาถือเป็นเรื่องดีกับพวกเราไม่ใช่เหรอ? ”
ฟางเชาหัวเราะหึหึ “ก็จริง แต่น่าจะใช้ให้สีเขียว[1]หมอนั่นนะ เหมาะกับเขาดี”
หวังเจียเหยายิ้มแล้วทุบฟางเชาเบาๆ “นายมันตัวร้าย”
ผ่านไปสักพักจู่ๆ ฟางเชาก็เริ่มหงุดหงิด “มันไม่ใช่ทางไปสถานีรถไฟนี่?”
หวังเจียเหยาก็มึนตึงขึ้นมา “ใช่ทางไปสนามบินไหม?”
ฟางเชาส่ายหน้า “ไม่ใช่ นี่เป็นทางไปเขตซีหู”
หวังเจียเหยาเสยผม “หรือว่าเขาไม่คิดจะออกไปจากอวิ๋นโจวนะ?”
ฟางเชาแค่นเสียง “หมอนี่คงจะไปเปิดโรงแรมนอนแต่สบายใจได้ ด้วยเส้นสายในวงการโรงแรมของครอบครัวฉัน ฉันรับรองได้เลยว่าเขาเข้าพักในโรงแรมสี่ดาวลงไปไม่ได้สักแห่งแน่!”
“อืม” หวังเจียเหยาอยากจะให้สามีเก่ารีบหายไปจากอวิ๋นโจวเร็วๆ เท่านั้น
ผ่านไปสักพักในที่สุดรถแท็กซี่ที่เย่เฉินนั่งก็หยุดลง
ทว่ารถกลับไปหยุดอยู่ที่โรงแรมห้าดาวที่หรูหราที่สุดของอวิ๋นโจว ‘โรงแรมโฟร์ซีซั่นสาขาซีจื่อหู’
จากนั้นฟางเชาและหวังเจียเหยาเห็นกับตาตัวเองว่าเย่เฉินลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในโรงแรม
“แหม! เจ้าเด็กเย่เฉินนี่มาสมัครเป็นพนักงานโรงแรมแล้ว! ”
ฟางเขาโกรธจนตบพวงมาลัยรถตนเอง
หวังเจียเหยาเองก็โกรธมาก “เมื่อครู่ที่งานเลี้ยงพวกเราตระกูลหวังได้ห้ามไม่ให้เขาเป็นพนักงานโรงแรม คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาสมัครงาน เขาไม่เห็นตระกูลหวังเราอยู่ในสายตาชัดๆ”
ฟางเขาเองก็หัวเสีย “หมอนี่ไม่เชื่อในความสามารถฉันเหรอ! เดี๋ยวคอยดูนะ ฉันขอโทรศัพท์สักหน่อย”
ฟางเชาหยิบโทรศัพท์ออกมา ค้นบันทึกรายชื่อสักพักก็กดโทรออก
“ฮัลโหล เสี่ยวเฉียง ยังเป็นผู้จัดการอยู่ที่โฟร์ซีซั่นที่ซีจื่อหูไหม? ฉันมีเรื่องให้นายจัดการหน่อย มีคนไปสมัครงานที่โรงแรมนายชื่อเย่เฉิน อย่ารับล่ะ โอเคแค่นี้นะ”
วางสายแล้วฟางเชาก็ยืดอกรับรอง “จัดการเรียบร้อยแล้ว อีกประเดี๋ยวขยะอย่างเย่เฉินจะต้องโดนเตะออกมาแน่นอน”
หวังเจียเหยาชมเชยอีกฝ่ายอย่างดีใจ “นายนี่รู้จักคนเยอะจริงๆ รู้จักไปหมด”
ฟางเชากล่าวอย่างดีใจ “ก็น้องๆ เด็กๆ ทั้งนั้น ฮ่าๆ ที่ฉันสั่งให้พวกเขาจัดการนี่นั่นให้ พวกเขายังรู้สึกขอบคุณฉันเลยด้วยซ้ำไป”
ผ่านไปห้านาที ฟางเชาเห็นเย่เฉินยังไม่ออกมาจากโรงแรมก็ทนไม่ไหว จึงโทรหาผู้จัดการโรงแรมคนนั้น
“ฮัลโหล เสี่ยวเฉียง เรื่องที่สั่งให้นายไปจัดการเป็นไงบ้าง? ทำไมยังไม่ไล่ตะเพิดหมอนั่นออกมา? เขาโวยวายไม่ยอมใช่ไหม? เรียกรปภ.สิ! อ้อ รปภ.คงไม่ได้เรียกตำรวจแล้วกัน!”
เสี่ยวเฉียงกลับตอบกลับมาในสาย “พี่เชา ไม่มีคนมาสมัครงานที่โรงแรมนะครับ ผมถามเพื่อนที่ทำงานหลายคน แต่พวกเขาก็บอกว่าไม่มี”
“อะไรนะ?” ฟางเชางุนงงไปทันที
ถ้าหากว่าเย่เฉินไม่ได้ไปสมัครงานแล้วเขาเข้าไปทำอะไรข้างใน?
“ไม่ใช่ว่าเย่เฉิน…ไปเปิดห้องใช่ไหม!” หน้าฟางเชาเปลี่ยนสีทันที
หวังเจียเหยาเองก็ตกใจเช่นกัน “เป็นไปไม่ได้! โรงแรมที่นี่ราคาเริ่มต้นคืนละหกพันหยวน เมื่อครู่ตอนที่หย่ากัน ฉันเก็บบัตรธนาคารของเขาเอาไว้ เขามีเงินสดแค่ไม่กี่ร้อยแล้วก็มียอดในแอพอยู่แค่สองพันหยวนเอง”
ฟางเชากล่าว “พวกเราเข้าไปดูกัน”
ทั้งสองคนลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในล็อบบี้โรงแรมซีจื่อหู
“สวัสดีค่ะ คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง จะจองห้องเหรอคะ?” พนักงานต้อนรับถามด้วยรอยยิ้ม
ฟางเชาถาม “เมื่อครู่มีคนชื่อเย่เฉินมาเปิดห้องที่นี่เหรอ?”
พนักงานต้อนรับกล่าว “ขอโทษด้วยค่ะ พวกเราไม่สามารถเผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าได้”
“แม่งเอ๊ย” ฟางเชาโกรธจนตะโกนกลางล็อบบี้ “เสี่ยวเฉียง! เสี่ยวเฉียง! มานี่หน่อย!”
ไม่นานนักคนที่ถูกเรียกว่าเสี่ยวเฉียง อันที่จริงแล้วเขาเป็นผู้จัดการของโรงแรมซึ่งอยู่ในวัยกลางคนก็เดินมา
“พี่เชา” เสี่ยวเฉียงกล่าวอย่างนอบน้อม
ฟางเชากล่าวอย่างหัวเสีย “รีบค้นข้อมูลให้หน่อย ว่าคนชื่อเย่เฉินอยู่ที่นี่หรือเปล่า!”
เสี่ยวเฉียงส่งสายตาบอกพนักงาน แล้วพนักงานคนดังกล่าวถึงได้ยอมเปิดปาก “ใช่ค่ะ”
[1] 戴绿帽 ถ้าแปลตรงๆ ตามตัวอักษรก็คือ สวมหมวกเขียว แต่ความหมายของประโยคนี้จริงๆ คือ ถูกสวมเขาเนื่องจากภรรยามีชู้