บทที่ 14 บ้านหลักตระกูลหลี่
“กริ๊งง กริ๊งงง….”
แทบจะในทันทีที่หลี่หรงพูดชะงักไปเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น
เธอรีบรับโทรศัพท์ทันที “ฮัลโหลค่ะ?”
“นี่พี่สอง เธอรีบกลับมาที่บ้านเดี๋ยวนี้!”
น้ำเสียงที่ดูวิตกกังวลดังขึ้นจากปลายสาย
หลังจากวางโทรศัพท์ไปสีหน้าของหลี่หรงดูเป็นกังวลอย่างมาก เธอหันไปมองอวี้ฮ่าวหรานและพูดว่า “พี่…พี่เขย เดี๋ยวฉันคงต้องกลับบ้านก่อนแล้ว ดูเหมือนว่าตอนนี้ที่บ้านกำลังมีปัญหา พี่…ช่วยไปกับฉันหน่อยจะได้ไหม?”
หลังจากพูดจบหลี่หรงมองไปที่อวี้ฮ่าวหรานด้วยสายตาอ้อนวอน จากการปฏิบัติที่ตระกูลหลี่ของเธอเคยทำต่ออวี้ฮ่าวหรานในอดีตนั้น การที่เธอขอให้เขาไปที่บ้านหลักของตระกูลมันเป็นคำขอที่ออกจะมากเกินไปหน่อย แต่เธอก็อธิบายความรู้สึกนี้ไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงอยากให้อวี้ฮ่าวหรานกลับไปที่ตระกูลกับเธอในวันนี้ด้วย
เธอรู้สึกสับสนว่ามันเป็นเพราะอวี้ฮ่าวหรานแข็งแกร่งจนทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้เขา หรือว่าลึก ๆ แล้วเธอชอบความรู้สึกอบอุ่นเวลามีเขาอยู่ข้าง ๆ เหมือนเมื่อก่อนกันแน่?
ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้สนใจกับความคิดลึก ๆ ของหลี่หรงมากนัก เขาดูเวลาที่โทรศัพท์ของเขา และเมื่อเห็นว่าตอนนี้มันยังเหลือเวลาอีกเยอะก่อนที่ถวนถวนจะเลิกเรียน เขาจึงพยักหน้าตอบตกลง
“พี่ไปด้วยก็ได้”
เมื่อตกลงกันเรียบร้อยหลี่หรงก็สั่งพนักงานให้คิดเงิน และจากนั้นเธอก็พาอวี้ฮ่าวหรานขึ้นรถ Maserati คันหรูของเธอ และขับตรงไปยังบ้านหลักของตระกูลหลี่ทันที
1 ชั่วโมงต่อมา ในที่สุดหลี่หรงก็ขับรถมาถึงบ้านหลักของตระกูลหลี่ เธอลงจากรถ และพาอวี้ฮ่าวหรานเดินไปที่ประตูบ้านทันที
“เอ๊ะ คุณหนูมาแล้วงั้นเหรอ? หืม คนที่อยู่ข้าง ๆ คุณหนู…นั่นใช่เขยขยะของตระกูลหรือเปล่า?”
น้ำเสียงที่ดูไม่จริงใจดังขึ้น
ไม่ต้องหันไปมองหลี่หรงก็รู้ว่าคนพูดคือจางล่ายฝู คนสนิทของพี่รองของเธอ
คนผู้นี้มักใช้เส้นสายที่มีกับตระกูลหลี่ของเธอไปรังแกคนธรรมดาอยู่บ่อย ๆ เขาเป็นคนที่น่ารังเกียจที่พี่ชายของเธอชอบใช้ให้ไปทำเรื่องสกปรก ๆ
ต้องรู้ว่าในตอนที่พี่สาวของเธอตัดสินใจแต่งงานกับอวี้ฮ่าวหราน คนทั้งตระกูลต่างคัดค้านการแต่งงานนี้ โดยเฉพาะพี่ชายของเธอที่ไม่ชอบหน้าอวี้ฮ่าวหรานเอาซะเลย
ทุกครั้งที่พี่ชายของเธอรู้ว่าอวี้ฮ่าวหรานกับพี่สาวของเธอใช้ชีวิตกันอย่างเป็นสุข พี่ชายของเธอมักจะโมโหทุกครั้ง และมีแม้กระทั่งบางครั้งเคยส่งคนไปรบกวนความสงบสุขของอวี้ฮ่าวหราน ซึ่งจางล่ายฝูก็เคยเป็นหนึ่งในคนที่พี่ชายของเธอส่งไปก่อกวน
ทางด้านของจางล่ายฝูเมื่อเห็นอวี้ฮ่าวหรานในวันนี้เขาก็ทำเช่นเดิมเหมือนกับที่เคยทำมาก่อนในอดีต ซึ่งก็คือการถ่มถุยใส่อวี้ฮ่าวหราน เขาไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรกับลูกเขยขยะผู้นี้ซึ่งมีแต่คนรังเกียจ
เขารู้ดีแก่ใจว่ายิ่งเขาทำให้อวี้ฮ่าวหรานเจ็บช้ำใจได้มากเท่าไหร่ ลูกพี่ของเขาก็จะยิ่งโปรดปรานในตัวของเขามากขึ้นเท่านั้น
“เฮ้! นี่แกกล้ามาเหยียบที่นี่ได้ยังไง? อ๋อ แกคงลำบากมากจนไม่มีเงินซื้อข้าวกินแล้วใช่ไหมถึงได้กล้ามาที่นี่เพื่อมาขอเศษอาหารกิน? เฮ้อ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ ยังไงซะพวกเราก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไร กับอีแค่เศษอาหารพวกเราใจดีพอที่จะแบ่งปันให้กับยาจกอย่างแกอยู่แล้ว”
หลังจากพูดจบจางล่ายฝูก็จ้องไปที่อวี้ฮ่าวหรานด้วยสายตาดูถูก
หากเป็นเมื่อก่อนถ้าเขาพูดแบบนี้ฝั่งตรงข้ามจะรีบยิ้มให้เขา และเดินเข้ามาพูดเปลี่ยนประเด็นด้วยมุกตลกจืด ๆ ตามแบบฉบับคนขี้ขลาดทันที
แต่วันนี้คนตรงหน้าของเขากลับเงียบจนน่าแปลกประหลาด
ไม่เพียงแต่ฝั่งตรงข้ามจะเงียบใส่ แต่ฝั่งตรงข้ามไม่มองเขาเลยด้วยซ้ำ ราวกับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
“เหอะ แกนี่ไม่เปลี่ยนไปเลย เป็นขยะยังไงก็เป็นขยะอยู่เหมือนเดิม แปลกขึ้นมาหน่อยก็แค่ตอนนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นใบ้เพิ่มไปอีกอย่าง!”
จางล่ายฝูไม่มีความคิดที่จะหยุดอยู่เพียงแค่นี้ ต่อให้อวี้ฮ่าวหรานจะไม่พูดอะไรก็ตาม
“จางล่ายฝู ฉันขอสั่งให้นายเงียบปากไปเลย! นี่ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ฉันโทรเรียกให้ฉันกลับมา ฉันไม่มีวันกลับมาเหยียบที่นี่หรอกนะจำเอาไว้ด้วย ตอนนี้นายไปให้พ้น ๆ ได้แล้วฉันจะเข้าไปข้างใน!”
อันที่จริงหลี่หรงอยากจะให้อวี้ฮ่าวหรานแสดงความแข็งแกร่งของเขาให้กับคนในตระกูลหลี่ได้เห็นเหมือนที่เธอเห็น แต่แล้วอวี้ฮ่าวหรานกลับยืนนิ่งเฉยแม้จะโดนจางล่ายฝูดูถูกถึงขนาดนี้ ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกงุนงงเป็นอย่างมากจนเธอทนไม่ไหวต้องก้าวออกมา
“เหอะ คิดว่าอ้างชื่อพี่จิงเทียนแล้วฉันจะกลัวงั้นเหรอ…” คำพูดของจางล่ายฝูชะงักแค่ตรงนี้ เพราะเมื่อเขานึกถึงหน้าของหลี่จิงเทียนลูกพี่ของเขา และเมื่อคิดว่าหากคำพูดนี้รู้ไปถึงหูของลูกพี่ของตัวเองแล้วล่ะก็เขาจะต้องโดนอัดแน่นอน ดังนั้นเขาจึงหุบปากของตัวเองทันที และถอยออกไปอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าขุ่นเคือง
“ไปกันเถอะ” หลี่หรงหันกลับไปเรียกอวี้ฮ่าวหรานให้เดินเข้าไปด้านในต่อ
หลังจากที่หลี่หรง และอวี้ฮ่าวหรานเดินเข้าไปถึงห้องโถงรับแขก พวกเขาทั้งคู่ก็เห็นว่าภายในห้องโถงนั้นมีคนอยู่เต็มไปหมด ซึ่งพวกเขาน่าจะเป็นคนในตระกูลกลุ่มสุดท้ายที่มาถึง
สีหน้าของทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างแตกต่างกันไป บางกลุ่มก็คุยกันด้วยสีหน้าเบิกบาน แต่บางกลุ่มก็คุยกันอย่างเบา ๆ ด้วยสีหน้าวิตกกังวล
จากนั้นเมื่อคนในห้องโถงสังเกตเห็นการมาถึงของหลี่หรงและอวี้ฮ่าวหราน ใครบางคนก็เอ่ยทักขึ้นเสียงดัง
“หืม? ใครมากัน อ้าว ที่แท้ก็หลานสาวผู้ที่แทบไม่เคยโผล่หน้ามาเลยนี่นา ฮ่าฮ่าฮ่า”
“เหอะ ๆ ที่แท้ก็ยัยตัวร้ายประจำตระกูลนี่เอง เอ๊? ไหงวันนี้ถึงได้พาเขยผู้โด่งดังประจำตระกูลมาด้วยล่ะเนี่ย?”
“เฮ้ ถ้าฉันจำไม่ผิด ฉันจำได้ว่าเธอเคยบอกว่าจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วไม่ใช่หรือไง ทำไมวันนี้ถึงได้ย้อนกลับมาได้?”
…
การปรากฏตัวของหลี่หรงและอวี้ฮ่าวหราน ทำให้มีเสียงอื้ออึงดังไปทั้งห้องโถง
สีหน้าของหลี่หรงในตอนนี้เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดสุด ๆ จากคำพูดถากถางของผู้คนในห้อง แต่น่าเสียดายที่เธอไม่สามารถตอบโต้อะไรได้ เพราะคนส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่ล้วนแล้วแต่มีศักดิ์เป็น ป้า น้า อา ลุง ของเธอแทบทั้งนั้น เธอจึงทำได้แค่หันไปมองอวี้ฮ่าวหรานด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ
“เฮ้ย แกน่ะ ไหนว่าแกตกหน้าผาตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมแกยังรอดมาได้อีก? ปัดโธ่เอ๊ย งั้นที่ฉันเคยทำบุญให้แกก็เสียเปล่าสิเนี่ยบ้าจริง…”
คนที่พูดประโยคนี้จ้องไปที่อวี้ฮ่าวหรานด้วยสายตาดูถูก และรอให้อวี้ฮ่าวหรานเดินมาทักทายเขาอย่างเอาอกเอาใจเหมือนเช่นแต่ก่อนที่อวี้ฮ่าวหรานเคยทำ
อย่างไรก็ตามแต่วันนี้มันแปลกไปกว่าเดิม เพราะอวี้ฮ่าวหรานไม่แม้แต่จะมองพวกเขาเลย
ในเวลาเดียวกัน ชายอายุราว 50-60 ที่มีผมหงอกแซมอยู่บนหัวซะส่วนใหญ่เดินลงมาจากชั้นสองของคฤหาสน์พร้อมกับชายวัยกลางคนสวมชุดกาวน์สีขาวซึ่งน่าจะเป็นหมอ
“คุณหลี่ ผมอยากให้คุณไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลที่ปักกิ่งจริง ๆ…” ชายสวมชุดกาวน์สีขาวเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ไม่จำเป็นหรอก ผมรู้สังขารของตัวเองดี” ชายอีกคนโบกมือขึ้นด้วยรอยยิ้มขมขื่น แต่แล้วเมื่อเขามองลงมาที่ห้องโถงและเห็นหลี่หรงสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที!
“ลูกไม่รักดี! นี่แกยังมีหน้ากลับมาที่นี่อีกงั้นเหรอ!?”
เมื่อพูดจบเขารีบเดินลงบันไดมาอย่างรวดเร็ว และมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลี่หรงและอวี้ฮ่าวหราน
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้หลี่หรงก็พอจะเดาออกว่าเหตุผลที่พี่ชายของเธอเรียกให้เธอกลับมาที่บ้านหลักของตระกูล มันน่าจะเป็นเพราะพ่อของเธอน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพอย่างร้ายแรง
เมื่อเธอรู้เช่นนี้เธอก็อยากจะพูดอะไรบางอย่างออกไป แต่เหมือนว่าคำพูดทุกอย่างมันจุกอยู่ที่คอ เธออ้าปากจะพูดแต่เธอกลับพูดอะไรไม่ออก และจบลงด้วยการก้มหน้าอย่างเศร้าสลด
ในเวลาเดียวกัน หลี่ชงซานก็มองสำรวจอวี้ฮ่าวหรานตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่หลายรอบ เขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าทำไมเขาถึงรู้สึกว่าลูกเขยขยะของเขาผู้นี้เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ใช่คนเดิมเมื่อหลายปีที่แล้ว?
“แกจำไม่ได้หรือไงว่าฉันเคยบอกไปหลายรอบแล้วว่าที่นี่ไม่ต้อนรับคนอย่างแก และยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นเพราะแกที่เป็นคนทำให้ลูกสาวของฉันคนหนึ่งหายไปโดยที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังอยู่หรือว่าตาย ฉันถามแกจริง ๆ ว่าแกยังกล้ามีหน้ากลับมาที่นี่ได้ยังไง? ไอ้คนไร้ค่า!”
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้หลี่หรงรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาทันที เธอรู้ว่าในตอนนี้พี่เขยของเธอแข็งแกร่งขนาดไหน ดังนั้นหากพ่อของเธอพูดจาไม่เข้าหูพี่เขยของเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ พี่เขยของเธออาจโมโหจนทำอะไรบ้า ๆ ขึ้นมาก็ได้ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นมันไม่มีทางที่ใครในตระกูลของเธอจะหยุดพี่เขยของเธอได้เลย!
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ตอนนี้พี่เขยไม่ใช่คนไร้ความสามารถอีกแล้ว หนูไม่อนุญาตให้พ่อว่าพี่เขยแบบเดิมอีกแล้ว!”