บทที่ 37 ได้ของที่ต้องการ
“ขอผมดูจี้หยกที่คุณซื้อมาใกล้ ๆ ได้ไหม?”
“ได้สิ”
อวี้ฮ่าวหรานรับจี้หยกมาจากมือของซูหว่านเอ๋อ และตรวจสอบมันอย่างละเอียด
เมื่อตรวจสอบไปสักพักเขาพบว่าพลังวิญญาณในจี้หยกนี้มันมีมากกว่าในไข่มุกที่หลี่ชงซานมอบให้เขามาซะอีก
เมื่อรู้เช่นนี้อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกอยากได้มันยิ่งกว่าเดิม
“คุณขายมันต่อให้ผมได้ไหม? ผมชอบมันมาก ๆ เลย”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ซูหว่านเอ๋อมองไปที่จี้หยกที่เธอเพิ่งซื้อมาด้วยสายตาลังเล
เพราะมัน เธอถึงต้องทนเดินตากแดดหลายชั่วโมงจนแสบผิวไปหมด
แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ หากไม่ได้อวี้ฮ่าวหรานช่วยพูดเอาไว้ป่านนี้เธอคงร้องไห้กลางตลาดเพราะถูกเจ้าของร้านใจร้ายคนนั้นรังแกไปแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้เธอก็รู้สึกซาบซึ้งในใจจนทำให้เธอเอ่ยว่า “ในเมื่อคุณชอบมัน ถ้างั้นฉันขายต่อให้คุณก็ได้ และเพื่อเป็นการตอบแทนที่คุณช่วยฉันไว้ ฉันขายให้คุณครึ่งราคาจากที่ฉันซื้อมาก็พอ”
ถึงแม้ว่าเธอจะอยากได้มันเหมือนกัน แต่ตั้งแต่เด็กเธอถูกสอนมาโดยตลอดว่าต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณคน ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจแบบนี้โดยไม่ลังเลเลย
ทางด้านของอวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ใช่คนที่จะเอาเปรียบคนเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงตอบกลับว่า “ไม่ได้หรอก ถ้าคุณจะขายต่อให้ผมอย่างน้อย ๆ คุณก็ต้องขายให้ผมเต็มราคาเท่ากับที่คุณซื้อมา ผมเอาเปรียบคุณแบบนี้ไม่ได้ และเพื่อชดใช้ที่ทำให้คุณไม่มีของขวัญไปมอบให้กับพ่อของคุณ เดี๋ยววันนี้ผมจะช่วยคุณเลือกของดี ๆ เอาไปฝากพ่อคุณก็แล้วกัน”
ซูหว่านเอ๋ออึ้งไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินอวี้ฮ่าวหรานพูดขึ้นมาแบบนี้
ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ใช้ได้เลยทีเดียว!
เธอพยักหน้าตกลงตามข้อเสนอของอวี้ฮ่าวหราน หลังจากนั้นทั้งคู่ก็พากันเดินดูของในตลาดกันต่อ
“ชิ้นนั้นน่าจะเหมาะ!”
ซูหว่านเอ๋อเดินตรงเข้าไปหยิบแก้วหยกที่วางอยู่บนชั้นวางของร้านแห่งหนึ่ง
อวี้ฮ่าวหรานมองสำรวจแก้วหยกใบที่ซูหว่านเอ๋อเลือกเช่นกัน จากสายตาของเขา เขาบอกได้เลยว่าแก้วหยกใบนี้เป็นของเก่าจริง ซึ่งมันควรค่าแก่การซื้อไปเป็นของฝากแน่นอน
ดูเหมือนว่าซูหว่านเอ๋อจะมีความรู้เกี่ยวกับพวกของเก่าพอสมควร…
อวี้ฮ่าวหรานคิดในใจ
หลังจากต่อรองไปได้สักพัก ท้ายที่สุดซูหว่านเอ๋อก็ซื้อแก้วหยกมาในราคาลด 20% จากป้าย
หลังจากออกจากร้าน ซูหว่านเอ๋อหยิบแก้วหยกออกจากกล่องมาส่องดูด้วยสีหน้าเบิกบาน
เธอชอบมันมาก ๆ และคิดว่ามันเหมาะจริง ๆ ที่จะเอาไปมอบให้พ่อของเธอเป็นของขวัญ
“ขอบคุณจริง ๆ สำหรับวันนี้”
ซูหว่านเอ๋อเอ่ยขึ้นพร้อมกับย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความขอบคุณ
เมื่อเห็นเช่นนี้อวี้ฮ่าวหรานอดไม่ได้ที่จะคิดว่าผู้หญิงคนนี้ช่างไม่เหมือนใครจริง ๆ ทั้งกิริยาท่าทางและนิสัย เธอดูไม่เหมือนคนสมัยใหม่สักเท่าไหร่เลย
ทั้งคู่เดินออกจากตลาด เมื่อพวกเขาบอกลากันเรียบร้อยพวกเขาก็เดินแยกทางกันไป
แต่แล้วยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะเดินแยกจากกันไปไกลนัก อวี้ฮ่าวหรานก็ได้ยินเสียงร้องของซูหว่านเอ๋อดังขึ้น
“พ..พวกนาย พวกนายต้องการอะไร!?”
“พวกเราต้องการอะไรงั้นเหรอ? หึหึหึ พวกเราต้องการสาวสวยอย่างน้องและก็เงินด้วยยังไงล่ะ…”
“ช่าย..แต่อันดับแรกมันคงเป็นเงินก่อน พวกเราอยากยืมเงินสักหน่อย และก็ของที่น้องซื้อมาด้วยยังไงล่ะ หึหึหึ”
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานหันกลับไปมอง เขาก็เห็นว่าตอนนี้ซูหว่านเอ๋อกำลังถูกนักเลง 3-4 คนยืมล้อมอยู่
ซูหว่านเอ๋อมองไปที่พวกนักเลงด้วยสายตาหวาดกลัว เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมวันนี้เธอถึงต้องมาซวยซ้ำซวยซ้อนแบบนี้
อันที่จริงนักเลงกลุ่มนี้เล็งเธอเอาไว้ตั้งแต่อยู่ในตลาดแล้ว เพราะเธอนั้นมาคนเดียวแถมซื้อของเก่าราคาแพงไปอีกตั้งสองชิ้น ซึ่งมันหมายความว่าเธอเป็นคนมีเงินแน่นอน ดังนั้นพวกมันจึงรอให้เธอแยกกับอวี้ฮ่าวหรานและค่อยลงมือ
“เลิกอ้อยอิ่งได้แล้ว รีบ ๆ ส่งเงินและของที่แกซื้อมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันจะใช้มีดกรีดหน้าสวย ๆ ของแกซะ!” หนึ่งในนักเลงพูดขึ้นด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม เขาไม่ได้สนใจอยากจะพาตัวซูหว่านเอ๋อไป เพราะคดีลักพาตัวเทียบกับการตบทรัพย์ง่าย ๆ แบบนี้โทษมันต่างกันมาก เขาไม่อยากติดคุกหัวโต เขาแค่อยากจะได้เงินและรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
ในเวลาเดียวกันกลับมีประโยคหนึ่งดังขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ฉันแนะนำว่าพวกแกควรไสหัวไป”
บรรดาพวกนักเลงหันกลับไปหาต้นทางของเสียงทันทีเมื่อพวกมันได้ยิน
แต่เมื่อพวกมันหันกลับไปและเห็นว่าคนพูดเป็นเพียงแค่ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูไม่มีพิษไม่มีภัย พวกมันถ่มน้ำลายลงพื้นด้วยสีหน้าดูถูกทันที
“ถุย! ก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็ไอ้ปากดีในตลาดนี่เอง!”
“แกอยากตายหรือไงถึงมาแส่เรื่องของพวกเรา?”
“วันนี้ฉันอารมณ์ดี ฉันจะปล่อยแกไปหากแกถอยไปตอนนี้!”
ในสายตาของพวกนักเลง พวกมันไม่รู้สึกว่าอวี้ฮ่าวหรานเป็นภัยคุกคามเลยสักนิด
เมื่อเห็นท่าทีของพวกนักเลงเป็นแบบนี้ อวี้ฮ่าวหรานส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมช่วงนี้เขาถึงมีเรื่องบ่อยนัก?
เขาจำได้ว่าก่อนที่เขาจะตกหน้าผาช่วงชีวิต 20 กว่าปีในโลกนี้เขาแทบไม่เคยเจอกับพวกนอกกฎหมายเลย แต่ทำไมตอนนี้ตั้งแต่เขากลับมาโลกนี้มันถึงมีพวกนอกกฎหมายโผล่หัวออกมาให้เขาอัดได้ทุกวี่วันแบบนี้?
พวกตำรวจไปมุดหัวอยู่ที่ไหนกันหมด?
เมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานปรากฏตัวขึ้น ซูหว่านเอ๋อก็รู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก
“เฮ้ย ไอ้เวรนี่ ฉันบอกให้แกไสหัวไปแกไม่ได้ยินหรือไง แกอยากเจ็บตัวนักใช่ไหม?”
“แม่งเอ๊ย ช่างแม่ง ในเมื่ออยากเจ็บตัวนักงั้นเดี๋ยวพ่อของแกคนนี้จัดให้!”
เมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานไม่ใส่ใจกับคำพูดพวกตัวเองเลย พวกนักเลงก็เริ่มโมโหและหนึ่งในพวกนักเลงก็วิ่งไปหาอวี้ฮ่าวหรานพร้อมท่อนเหล็กยาวในมือ
แน่นอนว่าเมื่อซูหว่านเอ๋อเห็นเช่นนี้เธออดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล เธอร้องตะโกนทันที “นายรีบหนีไป รีบหนีไปเรียกคนอื่นมาช่วยก็ได้…ว้าย!!”
ยังไม่ทันพูดจบ ซูหว่านเอ๋อก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็น เพราะท่อนเหล็กที่เกือบจะฟาดไปถึงหัวของอวี้ฮ่าวหรานอยู่แล้ว จู่ ๆ มันก็หายไปอยู่ในมือของอวี้ฮ่าวหราน ส่วนนักเลงที่เหวี่ยงท่อนเหล็กเมื่อครู่ตอนนี้แขนของเขาหักจนบิดผิดรูป ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันหักตอนไหน
“อ๊าก…อุ๊บ!!”
ก่อนที่นักเลงจะทันได้แหกปากร้องดึงดูดความสนใจ อวี้ฮ่าวหรานเตะเข้าไปที่ปากของนักเลงจนกรามหลุดและทำให้นักเลงคนนั้นหมดสติไปในทันที
“เหอะ ก็แค่มดแมลง!” อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดูถูก
บรรดาพวกนักเลงที่เหลือเมื่อเห็นภาพเช่นนี้สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกทันที เพราะเมื่อครู่พวกเขามองไม่ทันเลยว่าสหายของตัวเองโดนจัดการยังไง แต่ที่รู้ ๆ ก็คือแค่เพียงพริบตาเดียวเพื่อนของพวกเขาแขนหักหลายท่อนแถมตอนนี้สลบไปแล้วด้วย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนที่พวกเขาคิดว่าเป็นไก่อ่อนเมื่อครู่จริง ๆ แล้วเป็นพญาราชสีห์ต่างหาก!
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่บรรดานักเลงที่เหลือด้วยสายตารำคาญ จากนั้นเขาเตะร่างของนักเลงที่สลบไปแล้วให้ลอยอัดเข้าไปยังนักเลงที่เหลือ ซึ่งมันห่างกันถึง 7-8 เมตร!
บรรดาพวกนักเลงที่เหลือต่างล้มระเนระนาดจากแรงกระแทกที่ร่างของเพื่อนพวกเขาเองถูกเตะลอยมาหาพวกเขา
นี่คือฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจว่าอวี้ฮ่าวหรานไม่ใช่คนที่พวกเขาสามารถต่อกรได้ มนุษย์ที่ไหนกันที่สามารถเตะร่างคนให้ลอย 7-8 เมตรได้แบบสบาย ๆ แบบนี้!
นี่มันไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นปีศาจชัด ๆ!