บทที่ 96 ลูกค้าอยู่ตรงนี้
ชายวัยกลางคนชมอวี้ฮ่าวหรานด้วยความจริงใจ เขานิยมชมชอบในความสามารถของอวี้ฮ่าวหรานเป็นอย่างมาก
ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำชมของชายวัยกลางคนเลย ตอนนี้เขาอยากจะกลับบ้านเต็มแก่เพื่อไปคิดหาวิธีหาลูกค้ารายใหญ่หลังจากเดินดูของในตลาดอีกสักพัก
ถึงแม้จะเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานไม่ได้สนใจอะไรกับตัวเองสักนิด ชายวัยกลางคนกลับไม่ถือโทษโกรธอะไรเลย เขายังคงพูดต่อไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“น้องชาย ในฐานะที่นายช่วยฉันเอาไว้ไม่ให้เสียเงิน 6 ล้านไปแบบเปล่า ๆ ฉันขอเลี้ยงข้าวนายสักมื้อได้ไหม?”
ถึงแม้ว่าจะถูกชวนอย่างสุภาพเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ยังคงไม่รู้สึกสนใจฝั่งตรงข้าม เขาตอบกลับไปแบบตรง ๆ ว่า “ขอโทษทีแต่ผมไม่มีเวลาว่างมากขนาดนั้น หลังจากนี้ผมต้องกลับไปคิดหาวิธีการดึงลูกค้าเพิ่มให้บริษัทผมอีก”
อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยถึงปัญหาของบริษัทเขาออกมาแบบไม่รู้ตัว ซึ่งมันน่าจะเป็นเพราะในตอนนี้หัวสมองของเขามีแต่เรื่องนี้ซะส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตามเมื่อชายวัยกลางคนได้ยินแบบนี้ แววตาของเขาเปล่งประกายทันทีและรีบถามกลับ “น้องชาย ฉันขอละลาบละล้วงถามสักหน่อยนะ บริษัทของนายขายอะไรงั้นเหรอ?”
“บริษัทของผมขายเครื่องจักรอุตสาหกรรมและชิ้นส่วนของพวกมันผมก็ขายแยก”
ในเมื่อเขาเผลอหลุดปากบอกปัญหาในใจเกี่ยวกับบริษัทของเขาไปแล้ว อวี้ฮ่าวหรานจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่บอกรายละเอียดพื้น ๆ แก่ฝั่งตรงข้ามเพิ่ม
“ฮ่าฮ่าฮ่า นี่มันช่างเหมาะเจาะจริง ๆ! น้องชาย ลูกค้าของนายยืนอยู่ตรงนี้แล้วนี่ไง… นายจะไปหาที่อื่นอีกทำไม!”
จู่ ๆ ชายวัยกลางคนระเบิดเสียงหัวเราะขึ้น
“คุณจะซื้อ?”
อวี้ฮ่าวหรานถามกลับด้วยสีหน้างุนงง
มันมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ในโลกด้วยงั้นเหรอ?
“ให้ฉันแนะนำตัวก่อนก็แล้วกัน ฉันหลินป๋อ เป็นเจ้าของบริษัทส่งออกชิ้นส่วนเครื่องจักรอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ บริษัทของฉันชื่อบริษัทเจิ้งไห่”
“อันที่จริงบริษัทของฉันเองก็มีบริษัทผู้ผลิตคอยส่งสินค้าให้อยู่แล้ว แต่ระยะหลัง ๆ มานี้คุณภาพสินค้าที่ได้รับไม่ค่อยเป็นไปตามเกณฑ์สักเท่าไหร่ ฉันเลยกำลังมองหาบริษัทผู้ผลิตใหม่ ๆ อยู่พอดี”
ชายวัยกลางคนที่ชื่อหลินป๋อ แนะนำตัวเองด้วยรอยยิ้มกว้าง จากนั้นเขาพูดต่อ “ในเมื่อวันนี้น้องชายช่วยฉันเอาไว้ครั้งใหญ่ ถ้างั้นฉันจะให้โอกาสน้องชายพาฉันไปดูสินค้าที่น้องชายขาย ซึ่งถ้าหากฉันถูกใจในคุณภาพของสินค้า ฉันจะยอมเปลี่ยนให้บริษัทของน้องชายมาทำสัญญาเป็นบริษัทป้อนสินค้าให้กับบริษัทฉันแทนบริษัทผู้ผลิตเดิม!”
อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกว่ายิ่งเขาฟังเขาก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น ทุกอย่างมันดูเหมาะเจาะเกินไปรึเปล่า? ทำไมเหตุการณ์นี้มันเหมือนกับมีคนเขียนบทขึ้นเลย?
อย่างไรก็ตามนี่มันคือโอกาสที่เขากำลังมองหาอยู่พอดี เพราะฉะนั้นเขาจะพลาดไม่ได้!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานรีบพาฝั่งตรงข้ามไปที่บริษัทของเขาทันที!
…
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง อวี้ฮ่าวหรานก็พาหลินป๋อมาถึงแผนกการผลิตในบริษัทของเขา
หลินป๋อพยักหน้าด้วยความพึงพอใจเมื่อเห็นขั้นตอนการผลิตที่ทันสมัยและเป็นระเบียบแถมยังมีประสิทธิภาพมากอีกต่างหาก
และที่สำคัญ ที่นี่มันสะอาดอย่างน่าเหลือเชื่อซึ่งแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในทุกอย่างของบริษัทนี้
ถัดมา อวี้ฮ่าวหรานพาหลินป๋อเดินชมไปทั่วทุกแผนกของบริษัทเพื่อแสดงให้เห็นว่าบริษัทของเขาพร้อมขนาดไหนกับการทำธุรกิจ
“ฮ่าฮ่า น้องฮ่าวหราน ฉันละอายใจจริง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ฉันประเมินนายต่ำไป ไม่นึกเลยว่านายจะมีความสามารถบริหารบริษัทขนาดใหญ่ได้ยอดเยี่ยมแบบนี้ ทุกอย่างในบริษัทของนายนี่มันช่างดูเป็นมืออาชีพทุกกระเบียดนิ้ว!”
เมื่อเดินไปถึงโกดังเก็บสินค้า หลินป๋อก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยชมอวี้ฮ่าวหรานอีกรอบด้วยสีหน้าพึงพอใจ
อันที่จริงก่อนมาที่นี่เขาไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย เขาแค่ต้องการมาตอบแทนบุญคุณโดยคิดเอาไว้ในใจว่าเขาคงจะสั่งซื้อสินค้ามูลค่าสัก 1-2 ล้านหากสินค้ามันไม่แย่มากจนเกินไป เขาไม่คิดว่าบริษัทที่บริหารโดยคนหนุ่มแบบนี้จะดีเด่นอะไรมากมายนัก
แต่แล้วตอนนี้เมื่อได้เห็นบริษัทของอวี้ฮ่าวหรานจนทั่ว ความคิดในใจของเขาก็เปลี่ยนไปจนหมด ด้วยถึงแม้ว่าจะไม่นึกถึงเรื่องบุญคุณอะไรนั่น เขาก็ยินดีที่จะซื้อสินค้าของอวี้ฮ่าวหรานแน่นอน!
เขาไม่คิดเลยว่าอวี้ฮ่าวหรานจะบริหารบริษัทใหญ่ได้ดีขนาดนี้แถมคุณภาพสินค้ายังดีมาก ๆ อีกต่างหาก บริษัทนี้ควรค่าแก่การเป็นคู่ค้าด้วยแน่นอน!
“ชิ้นส่วนพวกนี้ที่บริษัทของน้องฮ่าวหรานผลิตนี่คุณภาพดีจริง ๆ มันดีกว่าบริษัทผู้ผลิตปัจจุบันที่ฉันทำสัญญาเอาไว้คนละระดับกันเลย แต่เสียอย่างเดียวราคาของน้องฮ่าวหรานแพงกว่าอยู่เล็กน้อย”
หลินป๋อเอ่ยขึ้นขณะที่สุ่มหยิบชิ้นส่วนที่เพิ่งผลิตเสร็จมาตรวจสอบดู
“แน่นอนว่าสินค้าของผมย่อมแพงกว่าตลาดเล็กน้อย แต่สิ่งที่คุณจะได้รับคือสินค้าที่มีคุณภาพดีกว่าสินค้าแบบเดียวกันที่วางขายในตลาดจากทุกบริษัทแน่นอน”
อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ก่อนหน้านี้บริษัทชงซานผลิตแต่สินค้าคุณภาพชั้นยอดอยู่แล้ว แล้วยิ่งตอนนี้หลังจากที่อวี้ฮ่าวหรานปรับโครงสร้างบริษัทใหม่ คุณภาพของสินค้ามันก็ยิ่งดีกว่าเดิมมากขึ้นไปอีก
หลินป๋อยืนครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง เพราะการที่สินค้าของอวี้ฮ่าวหรานแพงกว่าเจ้าเดิมมันหมายถึงว่าเขาต้องทำการตลาดใหม่ ไม่งั้นผลกำไรของเขาจะลดลงเนื่องจากต้นทุนที่สูงมากขึ้น
“เอาล่ะน้องฮ่าวหราน งั้นฉันจะขอสั่งสินค้ามาสักชุดหนึ่งก่อนเพื่อดูตลาดว่ามันไปได้สวยไหม และถ้าหากว่าทุกอย่างราบรื่นดี ฉันจะทำสัญญาให้บริษัทของน้องฮ่าวหรานเป็นบริษัทป้อนสินค้าให้บริษัทฉันอย่างเต็มตัว”
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ในที่สุดหลินป๋อก็ตัดสินใจได้
ต่อมาอีกไม่เกิน 1 ชั่วโมง หลินป๋อก็เซ็นสัญญาคำสั่งซื้อมูลค่า 50 ล้านหยวนกับอวี้ฮ่าวหรานเสร็จ
ด้วยสัญญามูลค่า 50 ล้านหยวนซึ่งเป็นการขายชิ้นส่วนที่ค้างอยู่ในโกดังออกไปเป็นจำนวนมาก มันก็ทำให้ปัญหาสินค้าล้นโกดังของอวี้ฮ่าวหรานถูกแก้ในทันทีเมื่อส่งสินค้าเสร็จ
“น้องฮ่าวหราน ในเมื่อตอนนี้พวกเราคุยกันเรื่องงานเสร็จแล้วตอนนี้พวกเราไปกินมื้อค่ำกันดีกว่าเดี๋ยวพี่ชายคนนี้จะเลี้ยงนายเอง!” หลังจากเซ็นสัญญาเรียบร้อย หลินป๋อไม่ล้มเลิกความพยายามเอ่ยชวนอวี้ฮ่าวหรานไปกินข้าวด้วยกันอีกรอบ
ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เมื่อถูกชวนอีกรอบโดยลูกค้ารายใหญ่ เขาเองก็ไม่ปฏิเสธอีกต่อไป และอีกอย่างวันนี้คือวันหยุดของถวนถวนอยู่แล้ว เขาเลยไม่จำเป็นต้องไปรับลูกสาวกลับบ้านดังนั้นเขาจึงว่างที่จะไปกินข้าวกับฝั่งตรงข้าม
ราว 1 ทุ่ม
ที่ด้านในห้องอาหารของโรงแรมแคมปินสกี้
“ฮ่าฮ่า มันต้องเป็นห้องอาหารของโรงแรม 5 ดาวเท่านั้นถึงจะเหมาะกับการเลี้ยงตอบแทนน้องฮ่าวหราน!”
ทั้งคู่ต่างคุยกันอย่างออกรสในระหว่างทานมื้อค่ำ พวกเขาคุยกันทั้งเรื่องธุรกิจและวัตถุโบราณต่าง ๆ
อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกว่าการมาทานมื้อค่ำกับหลินป๋อนั้นคุ้มค่าเป็นอย่างมาก เพราะฝั่งตรงข้ามแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ในการทำธุรกิจให้กับเขาอย่างมากมาย
“นี่น้องฮ่าวหราน สร้อยคอจี้หยกของนายช่างสวยจริง ๆ ขอพี่ชายคนนี้ดูหน่อยได้ไหม?”
หลังจากจ้องสร้อยคอของอวี้ฮ่าวหรานอยู่ได้สักพักแล้ว หลินป๋อก็อดไม่ไหวที่จะขอดูมันแบบใกล้ ๆ
อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเล็กน้อยกับสายตาที่เป็นประกายของฝั่งตรงข้ามที่กำลังจ้องมองสร้อยคอจี้หยกของเขาซึ่งเขาได้มาจากหลี่ชงซาน จากนั้นเขาถอดมันออกและส่งไปให้กับหลินป๋อ
“คุณภาพของจี้หยกที่แขวนอยู่กับสร้อยคอนี้นับได้ว่ามีคุณภาพอยู่ในระดับไร้ที่ติแบบที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลยด้วยซ้ำ! ส่วนลวดลายที่ถูกแกะสลักลงไปมันก็ช่างเป็นผลงานที่น่าอัศจรรย์! ไม่น่าเชื่อเลยว่าบนโลกนี้จะมีผลงานที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้อยู่อีก!”
ยิ่งดูมากเท่าไหร่ หลินป๋อก็ยิ่งรู้สึกตื่นตา เขาไม่เคยเห็นจี้หยกที่งดงามแบบนี้มาก่อนในชีวิต
“น้องฮ่าวหราน พี่ชายคนนี้ขอเสียมารยาทถามสักคำถาม น้องพอจะขายสร้อยคอจี้หยกนี้ให้กับพี่ไหม? ไม่ว่าน้องจะเรียกราคาเท่าไหร่พี่สู้หมด!”
เมื่อทนความต้องการในใจของตัวเองไม่ไหว หลินป๋อจึงเอ่ยขอซื้อจากอวี้ฮ่าวหรานตรง ๆ
แน่นอนว่าอวี้ฮ่าวหรานรู้สึกลำบากใจทันทีเมื่อได้ยินคำถามนี้ แต่เขาก็ยังตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“สร้อยคอจี้หยกนี้เป็นของขวัญที่ใครบางคนมอบให้ผมด้วยใจ ฉะนั้นผมคงขายมันให้ใครไม่ได้หรอก”
“เป็นของขวัญที่ได้รับมางั้นเหรอ?”
หลินป๋ออึ้งไปชั่วขณะเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาสงสัยว่าใครกันที่มีใจกว้างดุจมหาสมุทรยอมมอบจี้หยกที่ล้ำค่าขนาดนี้ให้กับคนอื่นเป็นของขวัญแบบฟรี ๆ
“น้องฮ่าวหราน พี่พูดจริง ๆ นะว่าต่อให้น้องเรียกราคาสูงเสียดฟ้าพี่ก็ยอมจ่ายด้วยความเต็มใจ” หลินป๋อเอ่ยขึ้นโน้มน้าวอีกรอบ เขายังคงไม่เข้าใจว่าของชิ้นนี้แท้จริงแล้วมีความสำคัญยังไงกับอวี้ฮ่าวหราน
อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นเขาส่ายหัวด้วยสีหน้าจริงจังและพูดว่า “สร้อยคอจี้หยกนี้สำหรับผมมันมีความหมายมากจนไม่อาจประเมินค่าได้ ดังนั้นผมไม่มีทางขายมันแน่นอน ผมต้องขอโทษด้วยจริง ๆ”
เมื่อเห็นสีหน้าอันจริงจังของอวี้ฮ่าวหราน หลินป๋อก็เข้าใจแล้วว่าฝั่งตรงข้ามคงผูกพันกับสร้อยจี้หยกนี้มากจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะไม่ทำให้อีกฝ่ายลำบากใจอีกต่อไป
“ฮ่าฮ่า ก็ได้ ๆ ถ้างั้นก็ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าฉันขอโทษด้วยจริง ๆ นะน้องฮ่าวหรานที่เสียมารยาทไป บังเอิญว่าฉันมันเป็นพวกบ้าหยกน่ะ บางทีฉันก็ควบคุมตัวเองไม่ได้เหมือนกัน อย่าถือโทษโกรธกันเลยนะ!”
แน่นอนว่าอวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ถือโทษฝั่งตรงข้าม เขาไม่ได้เป็นคนใจแคบอะไรขนาดนั้น
ท้ายที่สุดมื้อค่ำนี้ก็จบลงอย่างอบอุ่น