เมื่อถึงเวลาสี่โมงเย็น หลังจากประชุมเสร็จและจัดการเซ็นเอกสารอื่น ๆ ที่จำเป็นเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานก็พาถวนถวนออกจากบริษัทและตรงกลับคอนโด
วันนี้เด็กน้อยเล่นสนุกกับบรรดาเพื่อนใหม่ทั้งวัน ดังนั้นเมื่อขึ้นรถไม่นานก็ผล็อยหลับไปในรถ
อย่างไรก็ตามในขณะที่อวี้ฮ่าวหรานขับรถไปเรื่อย ๆ แบบไม่ได้เร็วอะไรมากนัก จู่ ๆ เมื่อเขาขับไปถึงย่านร้างผู้คน ชายชุดดำสามคนก็ปรากฏตัวขึ้นยืนขวางรถของเขาจนเขาต้องกระทืบเบรกอย่างแรง!
ในเวลาเดียวกับที่รถหยุด อวี้ฮ่าวหรานก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าชาย 3 คนที่ยืนขวางรถของเขาอยู่กำลังปล่อยกลิ่นอายสังหารออกมาปกคลุมรถของเขา
“พ่อจ๋า ถวนถวนรู้สึกหายใจไม่ออก!”
ถวนถวนที่เมื่อครู่กำลังหลับอยู่ถูกปลุกขึ้นมาด้วยการกระทืบเบรกของอวี้ฮ่าวหราน และเมื่อเผชิญกับกลิ่นอายสังหารที่น่าอึดอัด มันก็ทำให้เด็กน้อยร้องขึ้นมาด้วยสีหน้าย่ำแย่
“ไม่ต้องกลัว ๆ พ่ออยู่นี่แล้ว”
อวี้ฮ่าวหรานลูบหลังของถวนถวนเบา ๆ พลางโคจรพลังวิญญาณของเขาเองให้ไปในร่างของถวนถวนเพื่อปกป้องเด็กน้อยจากกลิ่นอายสังหารของฝั่งตรงข้าม
เมื่อปลอบลูกของตัวเองเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วมองออกไปที่ด้านนอกรถ ซึ่งในตอนนี้คนที่ยืนขวางรถเพิ่มมาเป็นห้าคนแล้ว ซึ่งจากการประเมินด้วยสายตาคร่าว ๆ ระดับความอันตรายของคนกลุ่มนี้เหนือกว่าพวกนักเลงที่เขาเคยเจอมาเป็นร้อยเท่า!
“เฮ้ ไอ้หนู แกมีสายตาที่ไม่เลวนี่นา เมื่อครู่หากแกขับรถตรงเข้ามาหาพวกฉันป่านนี้แกคงกลายเป็นศพไปแล้ว!”
ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตำแหน่งตรงกลางมองอวี้ฮ่าวหรานซึ่งกำลังอยู่ในรถด้วยสีหน้าดูถูก
“แกไม่ต้องเสียเวลาปลอบลูกของแกหรอก เพราะไม่ว่ายังไงวันนี้แกกับลูกก็ต้องตายอยู่แล้ว เลิกทำเรื่องไร้สาระแล้วออกมาให้พวกฉันฆ่าซะดี ๆ!”
อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้ว ช่วงหลังมานี้เขาไม่ได้โดนขู่แบบนี้มาสักพักแล้ว
“พวกแกเป็นใคร?”
อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับเปิดประตูลงจากรถ
“พวกเราเป็นใครงั้นเหรอ? ฮ่าฮ่า นี่แกจำไม่ได้งั้นเหรอว่าองค์กรไหนที่แกเพิ่งล่วงเกินไปเมื่อไม่นานมานี้? แกคิดจริง ๆ งั้นเหรอว่าองค์กรอสรพิษจะปล่อยแกไปง่าย ๆ โดยที่ไม่ทำอะไรเลย!”
“ที่ผ่านมาที่แกรอดตายมาได้มันเป็นเพราะว่าแกโชคดีก็เท่านั้น แต่วันนี้แกต้องตายที่นี่แน่นอน โชคดีของแกมันจบลงแล้ว!”
“องค์กรอสรพิษ? อ้อพวกแกนี่เอง”
อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มอย่างเย้ยหยันและรู้สึกประหลาดใจที่องค์กรนี้เพิ่งปรากฏตัวออกมาอีกรอบ เขานึกว่าหลังจากที่เขาทำลายสาขาขององค์กรอสรพิษในเมืองฮ่วยอันไป คนเหล่านี้จะตามหาเขาเจอเร็วกว่านี้
ดูเหมือนว่าเขาประเมินฝั่งตรงข้ามสูงไปสักหน่อย!
“อันที่จริง ถ้าเมื่อกี้พวกแกไม่ได้ขู่จะเอาชีวิตลูกสาวของฉัน ฉันคงจะปล่อยให้พวกแกรอดไปสักคนสองคนเพื่อที่พวกแกจะได้เอาไปบอกกับหัวหน้าของแกว่าฉันรำคาญพวกแกเต็มทน แต่ในเมื่อพวกแกบังอาจขู่ลูกของฉันแล้วแบบนี้ งั้นฉันคงต้องลงโทษพวกแกทุกคนด้วยความตาย!”
สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเย็นชา
“ฮิฮิ ไอ้โง่นี่ช่างน่าสงสารจริง ๆ มันไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่ามันกำลังจะตาย! ต่อหน้าองค์กรอสรพิษ แกไม่มีทางขัดขืนอะไรได้หรอก!”
คนที่ดูน่าจะเป็นหัวหน้าทีมองค์กรอสรพิษรอบนี้ เมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานไม่กลัวพวกเขาเลย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเย้ย
กลับกัน อวี้ฮ่าวหรานจ้องไปกลับที่คนขององค์กรอสรพิษทั้ง 5 คนด้วยสายตาเย็นชา แต่ในขณะที่เขาคิดว่าจะลงมือจัดการกับคนพวกนี้ให้มันเสร็จ ๆ ไป ถวนถวนที่อยู่ในรถก็เอ่ยขึ้นเสียงเบา
“พ่อจ๋า คนพวกนี้เป็นพวกคนเลวใช่ไหม?”
ถึงแม้ว่าตอนนี้ร่างกายของเด็กน้อยจะถูกพลังวิญญาณของ อวี้ฮ่าวหรานปกป้องอยู่ แต่เด็กน้อยก็ยังแสดงท่าทางหวาดกลัวออกมาให้เห็น
“ถวนถวน ลูกไม่ต้องกลัวไปหรอกคนพวกนี้มีค่าไม่ต่างอะไรกับมดปลวกเลย ไหนจำได้ไหมคำพูดที่พ่อสอนให้เมื่อหนูเจอพวกมดแมลงแบบนี้ต้องพูดว่าอะไร?”
“มดแมลงอย่างพวกแกกล้าดียังไงถึงได้มาส่งเสียงดังต่อหน้าหนูกับพ่อ!”
หลังจากที่พูดจบประโยค สีหน้าของเทพธิดาตัวน้อยก็ค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“โอ้ ดูเหมือนว่าลูกของแกใจกล้าไม่เบานี่นา?” ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าทีมพูดขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจในขณะที่เขาจ้องอวี้ฮ่าวหรานอย่างไม่วางตา
ก่อนหน้านี้เป้าหมายส่วนใหญ่ของเขามักจะกลัวจนเป็นบ้าไปเลยเมื่อเผชิญกับกลิ่นอายสังหารที่เขาปลดปล่อยออกมา แต่เด็กน้อยคนนี้กลับดูเหมือนว่าไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย… มันเป็นไปได้ยังไง? หรือว่าเป็นเพราะชายหนุ่มที่ชื่ออวี้ฮ่าวหราน?
“เฮ้ ไอ้หนู ฉันบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าต่อให้แกปลอบลูกของแกไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา เพราะหลังจากที่ฉันฆ่าแกเสร็จฉันจะฆ่าลูกของแกด้วย เรื่องง่าย ๆ แค่นี้แกไม่เข้าใจรึไง?”
ในทันทีที่ชายวัยกลางคนพูดจบประโยคนี้ อวี้ฮ่าวหรานพลันหันขวับมาจ้องเขาเขม็งทันทีด้วยแววตาน่ากลัวแบบที่ไม่มีมนุษย์คนไหนควรจะมี!
“ดี ดีมาก!”
อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นพร้อมกับค่อย ๆ เดินห่างจากรถด้วยท่าทางเย็นชา!
“ยินดีด้วยแกทำให้คุณทำให้ฉันโมโหได้เรียบร้อยแล้ว!”
“ฮ่าฮ่า ฉันทำให้แกโมโหแล้วงั้นเหรอ? นี่แกสมองเพี้ยนรึไงกันที่ยังพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้? แกยังไม่เข้าใจอีกงั้นเหรอว่าสถานการณ์ที่แกเผชิญอยู่ตอนนี้มันเป็นยังไง?”
ชายวัยกลางคนไม่คิดว่าอวี้ฮ่าวหรานจะแข็งแกร่งมากไปกว่าพวกเขาที่มากันถึง 5 คน อีกฝ่ายเป็นเพียงแค่ชายหนุ่มอายุไม่ถึง 25 ด้วยซ้ำ ต่อให้ฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กเขาจะแข็งแกร่งได้สักขนาดไหนกัน?
ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้พวกเขาเตรียมการมาดี!
“อาหลิง อาหยุน! ตั้งค่ายกล!”
หลังจากพูดจาเย้ยหยันฝั่งตรงข้ามจนเป็นที่พอใจแล้ว ชายวัยกลางคนจึงไม่คิดจะเสียเวลาเพิ่มอีก เขาออกคำสั่งให้ลูกน้องทั้ง 4 คนแยกย้ายไปประจำตำแหน่งล้อมอวี้ฮ่าวหรานเอาไว้ตรงกลาง
“วันนี้ไม่ว่าแกจะแสร้งทำเป็นบ้าหรือบ้าจริง ๆ แกก็ต้องตายที่นี่! ผลลัพธ์เดียวของคนที่กล้าล่วงเกินองค์กรอสรพิษของเราก็คือตายสถานเดียว!”
ต่อมาในเวลาไม่เกินอึดใจ อวี้ฮ่าวหรานก็สัมผัสได้ว่าคนพวกนี้กำลังประสานพลังของพวกเขาเอง และบังคับพลังที่ผสานกันทั้งหมดพุ่งตรงมายับยั้งการเคลื่อนไหวของเขา
พลังของคนทั้ง 5 ที่ปลดปล่อยออกมานั้นทำให้อวี้ฮ่าวหราน รู้สึกราวกับว่ามีภูเขาลูกใหญ่ ๆ กำลังกดทับศีรษะของเขาอยู่!
พลังที่คนทั้งห้าประสานกันอยู่ขณะนี้มันรุนแรงเป็นอย่างมาก ซึ่งถ้าเป็นคนธรรมดาเผชิญกับมัน ต่อให้ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะสูงกว่าคนเหล่านี้เล็กน้อย พวกเขาก็คงหนีไม่พ้นชะตากรรมที่เส้นลมปราณถูกบดขยี้จากแรงกดดันจนกระอักเลือดจนตาย
แต่อวี้ฮ่าวหรานใช่คนธรรมดาซะเมื่อไหร่?
เขาไม่มีอาการเคลื่อนไหวลำบากขึ้นหรือรู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อยถึงแม้ว่าตอนนี้เขากำลังตกอยู่ภายใต้อำนาจของค่ายกล
“ต่อหน้าเทพอย่างข้า พวกแกมันไม่ต่างอะไรกับมดตัวหนึ่ง!”
อวี้ฮ่าวหรานตะโกนขึ้นเสียงดังลั่นราวกับเสียงฟ้าร้องบนท้องฟ้า ซึ่งส่งผลให้หัวใจและวิญญาณของทุกคนสั่นคลอนอย่างรุนแรง
และยิ่งไปกว่านั้น อำนาจของค่ายกลที่เมื่อครู่กำลังโจมตีอวี้ฮ่าวหรานอยู่ดี ๆ จู่ ๆ ก็แตกสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยภายใต้อิทธิพลของเสียงคำรามของอวี้ฮ่าวหราน!
บรรดากลุ่มคนขององค์กรอสรพิษต่างมองไปที่อวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าโง่งมและหวาดกลัว
นี่มันเป็นไปได้ยังไง!
ฝั่งตรงข้ามเป็นพระเจ้ารึไงกัน ทำไมแค่การตะโกนเพียงครั้งเดียวมันถึงได้มีอำนาจมากจนทำลายค่ายกลของพวกเขาได้อย่างย่อยยับแบบนี้?