ในขณะที่ทั้งสองคุยกัน ลูกสุนัขตัวเมียสีขาวตัวเล็กๆ ดูเหมือนจะได้กลิ่นของเจ้าลูกกวาด มันจึงวิ่งออกมาอย่างมีความสุข
“เฮ้ นี่เจ้าตัวน้อยของเราดูร่าเริงมากเลย น่าเสียดายที่ครั้งที่แล้วฉันไม่ได้รางวัลอะไร แต่คราวนี้มันอาจจะทำให้เจ้าลูกกวาดของคุณร่าเริงขึ้นมาเหมือนเดิมก็ได้”
แม่ของตงตงมองไปที่ลูกสุนัข
จากนั้นลูกสุนัขทั้งสองก็ค่อยๆ เข้าหากันและดมกลิ่นกัน
นี่เป็นการเริ่มต้นที่ดี อวี้ฮ่าวหรานตั้งตารอ
น่าเสียดายที่หลังจากที่ลูกกวาดดมอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง ท่าทางของมันก็กลับคืนสู่สภาพที่เซื่องซึมอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่สุนัขตัวที่มันชอบ
หลังจากดมแล้ว มันก็หมดความสนใจและล้มตัวลงนอนกับพื้น
“บ๊อก! บ๊อก!”
ไม่ว่าสุนัขขาวตัวน้อยจะเห่าดึงดูดความสนใจมากขนาดไหน หรือต่อให้วิ่งวนเจ้าลูกกวาดสักกี่รอบ มันก็ไม่สามารถทำให้ลูกกวาดสนใจได้
“เฮ้อ… ดูเหมือนว่าสุนัขของฉันจะไม่ใช่ตัวที่สุนัขของคุณชอบ น่าเสียดายจริงๆ”
เมื่อเห็นท่าทางของลูกกวาด แม่ของตงตงเองก็ผิดหวังเล็กน้อย
“ไม่เป็นครับ แต่ว่าเจ้าลูกกวาดไม่ยอมกินอะไรเท่าไหร่มาสองวันแล้ว ผมว่าเดี๋ยวผมขอตัวออกไปลองหาคนอื่นดูต่อดีกว่า”
“ไม่ใช่ว่ามีไม่กี่คนที่มีลูกสุนัขตัวเมียไม่ใช่เหรอคะ ทำไมไม่ให้ถวนถวนอยู่ต่ออีกสักหน่อย ตอนนี้เธอยังสนุกกับตงตงอยู่เลย”
แม่ของตงตงถามด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแสดงท่าทีว่าต้องการจากไปในทันทีแบบนี้
“ขอบคุณที่ช่วยเรา แต่วันนี้ผมคงขอรบกวนแค่นี้ก่อน เจ้าลูกกวาดไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว ผมอยากจะให้มันหายจากอาการซึมเร็วๆ ไม่งั้นถ้ามันเป็นอะไรขึ้นมาลูกสาวของผมคงจะเสียใจมาก” อวี้ฮ่าวหรานกลัวว่าถ้าวันนี้ลูกกวาดไม่หายเซื่องซึม มันจะพาลทำให้ถวนถวนหมดความอยากอาหารมื้อเย็นไปด้วย ดังนั้นเขาจึงอยากแก้ไขเรื่องนี้ให้มันจบไวๆ
“ถวนถวน พวกเราไปกันได้แล้ว”
“พ่อจ๋า หนูขอเล่นกับตงตงอีกหน่อยได้ไหม”
ถวนถวนเพิ่งสนุกกับเพื่อนตามประสาเด็กน้อย เธอจึงถามกลับเสียงอ่อย
“ถวนถวน ลูกอย่าลืมสิว่าเรายังต้องรักษาเจ้าลูกกวาดนะ”
“อืม… ถวนถวนต้องพาลูกกวาดไปรักษา ตงตง.. พรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียนนะ”
หลังจากอ้อยอิ่งอยู่พักหนึ่ง ถวนถวนก็อุ้มลูกกวาดขึ้นมาและออกจากบ้านของตงตงพร้อมกับอวี้ฮ่าวหราน
สำหรับเธอ ลูกกวาดเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในขณะนี้
ในรถ อวี้ฮ่าวหรานอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่เขาดูที่อยู่ในโทรศัพท์
เนื่องจากไม่ใช่สุนัขของตงตง จึงเหลืออีกตัวเลือกเดียวเท่านั้น
“หลิวเทียนอี้…”
แค่เขานึกถึงหน้าตาที่ยียวนวอนโดนเท้าของฝั่งตรงข้าม เขาก็รู้สึกคลื่นไส้ไม่อยากไปเจอหน้าแล้ว
“พ่อ เราจะไปบ้านของหลิวลู่ใช่ไหม”
ถวนถวนถามอย่างหวั่นๆ ในขณะที่กอดลูกกวาด เธอคิดว่าการไปหาหลิวลู่ย่อมไม่สนุกเหมือนกับเจอตงตงแน่ๆ
แค่คิดถึงเรื่องนี้ใบหน้าของเด็กน้อยก็เปลี่ยนเป็นดูไม่มีความสุขเอาเสียเลย
“ไม่ต้องกังวลลูกพ่อ พ่อไม่ยอมให้ใครรังแกถวนถวนแน่นอน พ่ออยู่ตรงนี้ทั้งคน!”
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง
“คงเป็นที่นี่”
เขาลงจากรถและมองไปยังอาคาร 2 ชั้นที่อยู่ข้างหน้าเขาด้วยคิ้วที่ขมวดเป็นปม
เมื่อนึกถึงเรื่องในอดีต โอกาสที่หลิวเทียนอี้จะให้ความร่วมมือนั้นน้อยจนน่าสมเพช
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาได้ตัดสินใจอยู่ในใจแล้ว หากอีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือ เขาคงต้องใช้ความรุนแรงสักหน่อย
ไม่จำเป็นต้องสุภาพอะไรกับคนที่น่ารังเกียจแบบนั้น
หลังจากที่กดกริ่งไม่นานประตูบ้านก็ถูกเปิดออก
ร่างของหลิวเทียนอี้ปรากฏขึ้นที่ประตู
“เอ๊ะ? แกคืออวี้ฮ่าวหรานนี่! แกมาทำบ้าอะไรที่นี่กัน?”
ทันทีที่เห็นว่าเป็นใครมาเยือนบ้านเขา หลิวเทียนอี้ตวาดลั่นด้วยสีหน้ารังเกียจทันที
“เดี๋ยวก่อน! แล้วรถคันหรูที่แกซื้อครั้งล่าสุดล่ะ ทำไมวันนี้แกถึงขับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์มาแบบนี้? อ้อ ฉันรู้แล้ว รอบที่แล้วแกโดนเจ้านายใช้ให้มาซื้อรถนั่นใช่ไหม? เหอะ ฉันก็ว่าอยู่แล้วว่าน้ำหน้าอย่างแกจะมีปัญญาซื้อรถหรูขนาดนั้นได้ยังไง ฮ่าฮ่าฮ่า!”
หลิวเทียนอี้เริ่มเยาะเย้ยเมื่อเห็นรถยนต์ที่จอดอยู่หน้าบ้านเขา
วันนี้อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ขับรถที่ได้มาจากเฉินซิว เพราะหลี่หรง ยืมมันไปใช้เนื่องจากรถของเธอเสีย ดังนั้นเขาจึงต้องขับรถเบนซ์คันเก่าของภรรยามาแทน ซึ่งถึงแม้ว่ามันจะราคาไม่ได้ถูกอะไร แต่มันก็เป็นรถระดับไฮเอนด์ที่ตกรุ่นไปแล้ว มันไม่สามารถเทียบได้กับรถหรูตามโชว์รูมในขณะนี้
“พูดไร้สาระพอยัง?”
เมื่อเห็นว่าอีกฝั่งเริ่มพูดจาวอนโดนเท้าอีกแล้ว อวี้ฮ่าวหรานจึงจ้องเขม็งไปที่ฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาเย็นชา
“วันนี้ฉันมีธุระถึงมาที่นี่!”
เมื่อพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานไม่ถามความยินยอมจากอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เขาผลักฝั่งตรงข้ามออกไปให้พ้นทางและเดินเข้าไปในด้านในบ้านทันที
คนสันดานแบบนี้ต้องใช้กำลังเข้าข่ม!
“เฮ้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!?”
หลิวเทียนอี้ทั้งตกตะลึงทั้งโมโหเมื่อเห็นว่าจู่ๆ ฝั่งตรงข้ามบุกเข้าไปในบ้านของเขา
นี่มันบ้านของเขานะโว๊ย จู่ๆ คนที่เคยอัดเขากลับบุกเข้าบ้านของเขาแบบนี้เขาจะยอมได้ยังไง!?
เมื่อโมโหจนเลือดขึ้นหน้า หลิวเทียนอี้จึงตั้งใจว่าจะวิ่งเข้าไปคว้าตัวอวี้ฮ่าวหราน แต่น่าเสียดายที่ก่อนเขาจะได้ทำอะไรเสียงของเด็กผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากในบ้าน
“พ่อ ทำไมข้างนอกเสียงดังจัง?”
จากนั้นเด็กผู้ชายตัวอ้วนๆ ก็เดินออกมาจากด้านในห้องนั่งเล่น ซึ่งถวนถวนก็แสดงสีหน้าบูดบึ้งทันทีเมื่อเห็นฝั่งตรงข้าม เพราะคิดถึงเรื่องที่เคยทะเลาะกับหลิวลู่
อย่างไรก็ตามที่ด้านหลังของหลิวลู่ ก็มีชเนาเซอร์สีขาวที่น่ารักตัวหนึ่งวิ่งตามมาด้วย และภาพนี้ทำให้เจ้าลูกกวาดที่อยู่ในอ้อมแขนของถวนถวนตาลุกวาวทันที ก่อนที่จู่ๆ มันจะกระโดดออกจากอ้อมแขนของถวนถวนอย่างรวดเร็ว
“บ๊อก! บ๊อก!”
ลูกกวาดวิ่งไปที่ชเนาเซอร์สีขาวอย่างรวดเร็ว และเห่าด้วยท่าทางตื่นเต้น มันไม่มีอาการเซื่องซึมอีกต่อไปแล้ว!
ชเนาเซอร์สีขาวในตอนแรกดูกล้าๆ กลัวๆ เล็กน้อย แต่หลังจากยกจมูกและดมกลิ่นของกันและกันอยู่ครู่หนึ่ง มันก็ดูเหมือนว่าพวกมันได้พบเพื่อนและเริ่มเล่นกันเอง!
“พ่อ ดูมันสิ ลูกกวาดมันร่าเริงแล้ว! มันหายซึมแล้ว!”
เมื่อถวนถวนเห็นว่าลูกสุนัขของเธอร่าเริงและดูมีความสุข เธอจึงหายเศร้าในทันที
ถวนถวนวิ่งไปหาชเนาเซอร์ทั้งสองอย่างรวดเร็ว นั่งยองๆ แล้วดูเจ้าลูกกวาดมเล่นกับชเนาเซอร์สีขาวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เธอกังวลตั้งแต่เมื่อคืนว่าลูกสุนัขของเธอป่วยรึเปล่าจนแม้กระทั่งวันนี้ตอนที่อยู่ในโรงเรียนเธอก็ยังคิดถึงแต่เรื่องของลูกกวาดจนไม่อยากเข้าร่วมกิจกรรมอะไรเลย
แต่ตอนนี้เธอโล่งใจแล้ว!
ชเนาเซอร์สีขาววนเวียนไปรอบๆ ลูกกวาดอย่างมีความสุข ลูกสุนัขทั้งสองตัวเห่าทักทายอย่างร่าเริงราวกับว่าพวกมันเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่เจอกันมานาน
“เจ้าหมา เจ้าหมา แกน่ารักจังเลย ฉันชอบแกจัง!”
ถวนถวนเอื้อมมือไปสัมผัสชเนาเซอร์สีขาวอย่างอ่อนโยน ส่วนทางด้านของเจ้าชเนาเซอร์สีขาวก็ยอมให้ลูบอย่างไม่ขัดขืน บางทีอาจเป็นเพราะกลิ่นของลูกกวาดมันก็เลยดูคุ้นเคยกับถวนถวนด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นฉากนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกว่าในที่สุดก็พบ ‘สาเหตุ’ แล้ว!
อย่างไรก็ตามปัญหาที่ตามมาตอนนี้ก็คือเจ้าของชเนาเซอร์สีขาวตัวนี้กลับเป็นคนที่เขาเห็นแล้วสะอิดสะเอียน เขาไม่อยากจะมาที่นี่บ่อยๆ หรอกนะ!
“สุนัขตัวนี้ขายไหม? แกบอกราคามาได้เลย ฉันจะซื้อมัน!”
เขาตัดสินใจซื้อสุนัขตัวนี้ในทันทีเพื่อตัดปัญหา …เพราะจะได้ไม่ต้องมาที่นี่อีก!
ตราบใดที่ถวนถวนมีความสุข เงินย่อมไม่ใช่ปัญหา!