“ช่างเถอะ ๆ เอาเป็นว่าถ้าเธออยากได้ฉันจะแบ่งให้ก็ได้ ฉันยังมีเหลืออยู่”
หวังเจวียมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้าของหลี่หรงก่อนที่จะพูดขึ้นแน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขาใจดีถึงได้เสนอรูปพร้อมลายเซ็นของ ฟ่านซีเหยียนให้กับหลี่หรงแบบนี้…
แต่มันเป็นเพราะเขาเห็นว่าหลี่หรงมีหน้าตาที่สวยไม่แพ้เฉิงชิวอวี้ต่างหาก!
อย่างไรก็ตามก่อนที่ หลี่หรง จะทันได้ตอบอะไรกลับไป เฉิงชิวอวี้ก็พูดขึ้นกับหวังเจวียขึ้นมาก่อนว่า “ฉันไม่อยากได้ของนาย นายเอาไปให้คนอื่นเถอะ!”
ถึงแม้ว่าเธอจะชอบ ฟ่านซีเหยียน และอยากได้รูปพร้อมลายเซ็นแบบนี้เก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกมาก ๆ แต่เมื่อเธอคิดถึงคำพูดของหวังเจวีย ที่พยายามเหน็บแนมอวี้ฮ่าวหรานตลอดเวลา เธอก็ตัดสินใจว่าเธอจะไม่รับมันเด็ดขาด
ไม่ว่ายังไงเธอไม่มีทางทำให้อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกเสียหน้ากับเรื่องนี้แน่นอน…
สีหน้าของหวังเจวียเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวทันที ตามที่เขาเข้าใจเฉิงชิวอวี้ คลั่งไคล้ในตัวของฟ่านซีเหยียนมาก ๆ ตามปกติแล้วเธอจะต้องอยากได้ของพวกนี้แน่นอน แต่ไหงเธอกลับปฏิเสธไม่รับพวกมันอย่างไม่ใยดีแบบนี้?
ต้องเป็นเพราะไอ้อวี้ฮ่าวหรานแน่ๆ!
อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไรจู่ ๆ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของงานคอนเสิร์ตก็เดินฝ่าฝูงชนเข้ามาหากลุ่มของพวกเขา
“นั่นไง…เป็นเขาคนนั้น!”
“สวัสดี ฉันเป็นเลขาของคุณฟ่านซีเหยียน เจ้านายของฉันต้องการเชิญคุณไปพบตามลำพังตอนนี้ เธอมีเรื่องสำคัญที่อยากจะคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว”
หญิงสาวคนหนึ่งที่แต่งตัวใส่เสื้อยืดปักลายเขียนคำว่า ‘STAFF’ เอาไว้ที่กลางอกและใส่ผ้าปิดปากพร้อมกับแว่นดำอันใหญ่รวมไปถึงหมวกแก๊ปเดินเข้ามาเอ่ยเชิญอวี้ฮ่าวหรานอย่างสุภาพ
“ห๊ะ? ฟ่านซีเหยียนอยากเจอพี่เขยเป็นการส่วนตัว?”
ดวงตาของหลี่หรงเบิกกว้างเนื่องจากอาการตกตะลึง เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฟ่านซีเหยียนจะส่งคนมาเชิญอวี้ฮ่าวหรานต่อหน้าผู้คนมากมายแบบนี้….
“พี่เขยพวกเรารีบไปเจอฟ่านซีเหยียนกันดีกว่า ฉันอยากได้ลายเซ็น!”
“ขออภัยด้วยจริง ๆ แต่คุณฟ่านซีเหยียนเชิญคุณผู้ชายเพียงคนเดียวเท่านั้น”
คำพูดนี้ของเลขาฟ่านซีเหยียนยิ่งทำให้ทุกคนตกตะลึงมากกว่าเดิม พวกเขามีอะไรกันแน่ทำไมต้องคุยกันสองต่อสองด้วย?
ถึงแม้ว่าเฉิงชิวอวี้และหลี่หรงจะตกตะลึง แต่พวกเธอก็พอเข้าใจว่าทำไมฟ่านซีเหยียนถึงทำแบบนี้ สาเหตุมันน่าจะมาจากอวี้ฮ่าวหราน เพิ่งไปช่วยอีกฝ่ายมาก่อนหน้านี้ แต่สำหรับคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนพวกเขาตกตะลึงมากยิ่งกว่าหลายเท่า…
หนึ่งในนั้นคือหวังเจวียที่กำลังถือรูปพร้อมลายเซ็นอยู่ เขาตกตะลึงจนแทบจะทำรูปหลุดจากมือ
ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งคิดว่าตัวเองเหนือกว่าอยู่เลย แต่ตอนนี้ความจริงกลับตบหน้าเขาอย่างแรง ถ้าเทียบกับรูปและลายเซ็น สิทธิพิเศษที่อวี้ฮ่าวหรานได้รับในการเข้าไปเจอแบบตัวต่อตัวมันเทียบกันไม่ติดแม้แต่น้อย!
แถมเมื่อครู่เขาเพิ่งเหน็บแนมฝั่งตรงข้ามไปหมาด ๆ อีกต่างหากว่าเป็นคนที่ไม่มีสิทธิเพียงพอ
ตอนนี้สถานการณ์ทุกอย่างมันทำให้เขากลายเป็นตัวตลก…
ไม่ใช่แล้วเรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้หรอก!
ไม่มีทางที่ไอ้เวรนี่จะมีสิทธิพิเศษเหนือกว่าฉันคนนี้!
หลังจากครุ่นคิดด้วยความริษยา หวังเจวียก็ยิ่งไม่เชื่อว่านี่มันคือเรื่องจริง!
“เฮ้ย! หยุดเล่นละครกันได้แล้ว!” หวังเจวีย ตะโกนดังลั่นด้วยสีหน้าเยาะเย้ย
“คนอย่างแกไม่มีปัญญาซื้อบัตรVIPหรือขอลายเซ็นได้ด้วยซ้ำ จะไปมีสิทธิถูกเชิญไปเจอฟ่านซีเหยียนแบบตัวต่อตัวได้ยังไง? เฮอะ! แกนี่มันโง่จริง ๆ แกถูกมิจฉาชีพพวกนี้หลอกแล้วโว้ย ฮ่าๆๆๆ!”
ยิ่งเขาพูดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองฉลาดรู้ทัน แน่นอนว่าเขารู้สึกโล่งใจในเวลาเดียวกันเมื่อเขาเชื่อจริง ๆ ว่าสิ่งที่เขาพูดมันคือเรื่องจริง…
คนพวกนี้ไม่มีทางเป็นคนของฟ่านซีเหยียนที่ถูกสั่งให้มาเชิญอวี้ฮ่าวหรานแน่นอน!
“เฮ้ แล้วแกน่ะที่ใส่เสื้อ ‘staff’ น่ะ การแสดงของแกนี่มันแย่สุด ๆ ไปเลย บอกว่าเป็นเลขาของฟ่านซีเหยียนใช่ไหม? เลขาบ้าอะไรเขาใส่ผ้าปิดปากกับแว่นดำแบบนี้กันบ้าง? อย่ามาหลอกกันซะให้ยากจะดีกว่า!”
หวังเจวีย ยังคงตะโกนเสียงดังแต่คราวนี้เขาหันมาตะโกนใส่หญิงสาวที่อ้างตัวว่าเป็นเลขาของฟ่านซีเหยียน
บรรดาพนักงานทุกคนต่างงุนงงกับคำพูดของหวังเจวีย พวกเขาต่างอดไม่ได้ที่จะมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า…
ผู้ชายคนนี้ทั้งหน้าตาและการแต่งตัวก็ดูใช้ได้แต่ไหงกลับทำตัวโง่เง่าได้ขนาดนี้?
อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกพนักงานจะทันได้เอ่ยปากปฏิเสธ หญิงสาวที่อ้างตัวว่าเป็นเลขาของฟ่านซีเหยียนก็ถอดหมวก ถอดผ้าปิดปากและแว่นดำออกเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอ
หลังจากถอดทุกอย่างที่ปิดบังใบหน้าของตัวเองหมดเรียบร้อย ทุกคนก็ได้เห็นว่าแท้จริงแล้วหญิงสาวคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นฟ่านซีเหยียน!
“ฟ…ฟ่านซีเหยียน!”
หลี่หรงอึ้งไปในทันที
“พระเจ้า…ตัวจริงเสียงจริง!” เฉิงชิวอวี้ก็ตกตะลึงเช่นกัน
ไม่มีใครคิดว่าขวัญใจของตัวเองจู่ ๆ จะมาปรากฏกายในระยะประชิดแบบนี้
แน่นอนว่า หวังเจวีย แทบจะเข่าอ่อนเมื่อเห็นว่าคนที่ตัวเองเพิ่งด่าไปคือ ฟ่านซีเหยียนตัวจริง!
เขาอยากตบหน้าตัวเองสักหลาย ๆ ทีเพื่อชดใช้ให้กับความโง่เขลาของเขาเอง
อย่างไรก็ตามฟ่านซีเหยียนก็ดูไม่ได้สนใจหวังเจวียที่กำลังแสดงสีหน้าโง่เง่าเลยแม้แต่น้อย เธอเอาแต่จ้องมองที่อวี้ฮ่าวหรานอย่างไม่ละสายตา
แววตาของเธอบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้เธอกำลังตื่นเต้นที่ได้เจอกับชายที่เพิ่งช่วยเธอไปก่อนหน้านี้…
ในที่สุดฉันก็หาเขาเจอจนได้!
โดยไม่สนใจสายตาของผู้คนมากมายที่กำลังจ้องมองอยู่ เธอเดินเข้าไปหาอวี้ฮ่าวหรานและกุมมือของเขาด้วยมือทั้งสองข้างของเธอและพูดว่า “ขอบคุณมากจริง ๆ สำหรับเรื่องที่หลังเวที ถ้าไม่ได้คุณช่วยป่านนี้ฉันคงจะ…”
หลังจากพูดถึงประโยคนี้น้ำตาของเธอก็เริ่มไหล เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นความกลัวของเธอก็ผุดขึ้นมาอีกรอบ
หากเธอไม่ได้ชายตรงหน้าคนนี้มาช่วยเอาไว้ป่านนี้ผลลัพธ์ที่ออกมาเธอคงไม่อาจจินตนาการได้
“จับมือ…จับมือ…”
บรรดาพนักงานของงานคอนเสิร์ตต่างมองไปที่ ฟ่านซีเหยียน ด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
คุณเป็นศิลปินระดับประเทศเชียวนะ คุณเดินเข้าไปจับมือผู้ชายก่อนแบบนี้ได้ยังไง?
อวี้ฮ่าวหรานผงะไปเหมือนกันที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาจับมือเขาแบบนี้ และเมื่อเขาเดินสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนจับจ้อง เขาก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด
อย่างไรก็ตามในขณะที่เขาคิดว่าเขาจะสลัดมือของฝั่งตรงข้ามทิ้งและเดินจากไป เขาก็นึกได้ถึงคำที่เขาเคยสัญญากับถวนถวนว่าหากเจอหน้าผู้หญิงคนนี้อีกครั้งเขาจะทำตัวดีกว่าเดิม เขาจึงจำเป็นต้องยอมอดทนให้ผู้คนจำนวนมากจ้องมองต่อไป…