หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง อวี้ฮ่าวหรานจึงเอ่ยขึ้นแนะนำว่า “ในเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ ผมอยากจะขอแนะนำว่าให้คุณระดมเงินทุนและเข้าซื้อกิจการบริษัทไป๋เชาให้เร็วที่สุด เนื่องจากตอนนี้พวกเขากำลังอ่อนแอเป็นอย่างมาก เมื่อไหร่ที่ยึดบริษัทไป๋เชามาได้แล้ว บริษัทชิวเฮิงจะยิ่งได้รับประโยชน์มากขึ้น”
“ซื้อไป๋เชางั้นเหรอ? เรื่องนี้…”
อีกฝ่ายที่อยู่ปลายสายรู้สึกลังเลเกี่ยวกับเรื่องนี้
“บริษัทไป๋เชาเป็นบริษัทใหญ่ที่มีขนาดพอ ๆ กับเรา การซื้อบริษัทระดับนี้มันไม่ใช่เรื่องง่าย แถมหวังเจาคงไม่ขายให้แน่นอน…”
เขารู้สึกใจเต้นกับความคิดนี้เหมือนกัน แต่เฉิงกัวอันรู้สึกยังไม่ค่อยมั่นใจ
อวี้ฮ่าวหรานพูดปลอบทันที “ไม่ต้องกังวล ตอนนี้บอร์ดบริหารและผู้ถือหุ้นในบริษัทไป๋เชาหมดความเชื่อใจในตัวหวังเจาไปเรียบร้อยแล้ว แถมบริษัทไป๋เชาตอนนี้กำลังต้องการเงินเพื่อจ่ายค่าดำเนินการต่าง ๆ ในตัวบริษัท ด้วยเหตุนี้หากคุณเข้าไปคุยกับพวกบอร์ดบริหารฝ่ายตรงข้ามโดยตรง พวกเขาจะต้องขายให้คุณในราคาที่ต่ำมากแน่นอน”
ไม่ว่ายังไง ‘บริษัทร่วมทุน’ เช่นบริษัทไป๋เชานั้น การตัดสินใจต่าง ๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประธานบริษัททั้งหมดเสมอไป
หลังจากได้ยินคำแนะนำของอวี้ฮ่าวหราน ดวงตาของเฉิงกัวอันก็เปล่งประกาย
“จริงด้วย! ฮ่า ๆ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะลองดู! หากเรื่องนี้สำเร็จละก็… วงการเวชภัณฑ์ของเมืองฮ่วยอันจะต้องอยู่ในกำมือของบริษัทชิวเฮิงแต่เพียงผู้เดียวในอนาคต!”
หลังจากนั้นทั้งคู่พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันอีกนิดหน่อยก่อนที่จะวางสายกันไป
…
ที่อีกด้านหนึ่ง
หลังจากเฉิงกัวอันตัดสินใจจะซื้อบริษัทไป๋เชา เขาส่งคนไปติดต่อกับพวกคณะบอร์ดบริหารของอีกฝ่ายทันที
ด้านในออฟฟิศชั้นบนสุดของบริษัทไป๋เชา
“ไอ้เฉิงกัวอันกำลังพยายามซื้อบริษัทของฉันงั้นเหรอ!!!”
หวังเจาเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าเดือดดาลสุดขีด…
ผู้จัดการบริษัทไป๋เชาผงะออกด้วยความกลัวกับท่าทีของหวังเจา ก่อนที่จะตอบกลับด้วยน้ำเสียงกล้า ๆ กลัว ๆ
“ช… ใช่แล้วครับท่านประธาน เฉิงกัวอัน ส… ส่งคนมาคุยกับบอร์ดบริหารและพวกผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทเราแล้ว แถมมีข่าวว่าอีกไม่นาน เฉิงกัวอันจะมาเยือนบริษัทของเราด้วยตัวเอง ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายตัดสินใจแน่วแน่มาก…”
“ปัง!”
“บัดซบที่สุด! มันจะเหยียบย่ำกันเกินไปแล้ว! ฉันยอมไม่ได้! ฉันไม่มีทางขายบริษัทให้กับมันแน่!”
หวังเจาตบโต๊ะพร้อมกับตะโกนเสียงดังด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
บริษัทไป๋เชา เป็นบริษัทที่เขาใช้เวลาทั้งชีวิตในการสร้างมันขึ้นมา ดังนั้นเขาจะยอมให้คนอื่นฮุบมันไปได้ยังไง?
เขายอมไม่ได้!
“ต…แต่ว่า…”
เมื่อเทียบกับหวังเจาที่กำลังขาดสติ ผู้จัดการบริษัทนั้นเข้าใจสถานการณ์ดีกว่ามาก
“แต่ท่านประธาน ตอนนี้บริษัทของเรากำลังมีปัญหาอย่างรุนแรง พวกพนักงานทั้งหมดตอนนี้ต่างรวมตัวกันประท้วง…”
หวังเจาจ้องเขม็งไปที่ผู้จัดการบริษัทของเขาทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้
ผู้จัดการสะดุ้งโหยงกับสายตาของหวังเจา แต่ท้ายที่สุดเขาก็สูดหายใจลึกเพื่อรวบรวมความกล้าและพูดต่อ
“ท่านประธาน โปรดคิดถึงบริษัทด้วยเถอะ! สิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้คือเราต้องยอมถูกควบรวมโดยบริษัทชิวเฮิง เพราะไม่งั้นเราไม่สามารถไปต่อได้แน่นอน!”
“โครม!”
เมื่อฟังประโยคนี้จบ หวังเจาก็คว่ำโต๊ะทำงานทันทีด้วยความโมโหพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ประตูและตะคอกอย่างเดือดดาลสุดขีด
“ไปเลย! แกไสหัวออกไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้!”
ผู้จัดการบริษัทถอนหายใจอย่างจนใจก่อนที่จะรีบออกไปด้วยความหดหู่ ตั้งแต่เขาทำงานที่นี่มา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นประธานบริษัทผู้ปราดเปรื่องโวยวายทำตัวราวกับคนบ้า
ท้ายที่สุดก็เหลือหวังเจาเพียงคนเดียวอยู่ในออฟฟิศ
“อวี้ฮ่าวหราน! เฉิงกัวอัน!”
หวังเจาเอ่ยชื่อศัตรูของเขาด้วยสีหน้าเคียดแค้น
หลังจากครุ่นคิดไปได้สักพัก เขาจึงโทรศัพท์หาคนผู้หนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เฮ้ จำเรื่องที่ฉันเคยคุยด้วยเมื่อล่าสุดได้ไหม?”
“คุณหวัง หมายความว่า…”
“ใช่! เอาเลย! ฉันต้องการให้ไอ้เฉิงกัวอันและอวี้ฮ่าวหรานมันตาย! เงินทั้งหมดจะถูกโอนไปในทันทีที่เสร็จงาน!”
“เข้าใจแล้ว”
หลังจากยืนยันกันเรียบร้อย หวังเจาก็วางสายไปด้วยแววตาโหดเหี้ยม
อีกด้านหนึ่ง…
ขณะนี้เฉิงกัวอันกำลังอยู่กับคนสนิทของเขาและกำลังมุ่งหน้าไปที่บริษัทไป๋เชาเพื่อเจรจาซื้อบริษัท
“ฮ่า ๆ! เหมือนอย่างที่ฮ่าวหรานบอกเอาไว้เป๊ะ พวกบริษัทไป๋เชายอมง่ายจริง ๆ!”
“ใช่เลยครับท่านประธาน นี่ขนาดหวังเจายังไม่ทันได้ตัดสินใจอะไร แต่พวกบอร์ดบริหารและพวกผู้ถือหุ้นกลับตอบตกลงจะเจรจากับเราก่อนแล้ว”
ขณะนี้ต่อให้หวังเจาจะไม่ยินยอมขนาดไหน แต่ขั้นตอนทุกอย่างมันก็ได้ดำเนินมาถึงการเจรจากันแล้ว
ไม่นานต่อมาที่ในห้องประชุม บรรดาบอร์ดบริหารและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทไป๋เชาต่างก็มารวมตัวกันเพื่อเจรจากับเฉิงกัวอัน
ด้วยการรวมตัวกันขนาดนี้ต่อให้หวังเจาจะมา เขาก็ไม่สามารถหยุดการเจรจาขายบริษัทได้
หรือให้พูดอีกแบบคือ เขาไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้วกับบริษัทไป๋เชา
หลังจากเห็นว่าทุกคนมาถึงแล้ว เฉิงกัวอันจึงถือโอกาสพูดขึ้นก่อนเพื่ออธิบายทุกอย่างให้ชัดเจน
“ผมคิดว่าพวกคุณทั้งหมดในห้องนี้รู้กันอยู่เต็มอกว่าบริษัทไป๋เชาไม่อาจก้าวต่อไปได้ด้วยตัวเองอีกแล้ว พวกคุณเหลือทางเลือกกันแค่สองทาง ทางแรกคือปล่อยให้บริษัทไป๋เชาล้มละลายไปโดยไม่ทำอะไร หรือทางเลือกที่สองคือตกลงเข้าร่วมมาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทผมและเดินต่อไปด้วยกันภายใต้ชื่อบริษัทชิวเฮิง!”
หลังจากเฉิงกัวอันพูดจบ ทางฝั่งของบริษัทไป๋เชาต่างครุ่นคิดกันอย่างเงียบ ๆ
ทว่าไม่นานต่อมาผู้จัดการบริษัทไป๋เชายกมือขึ้นก่อนที่จะลุกขึ้นยืนและถามขึ้นว่า
“ก่อนหน้านี้พวกเราเป็นคู่แข่งกันมาโดยตลอด ดังนั้นพวกเราจะสามารถ…”
เมื่อพูดถึงจุดนี้เขาก็ลังเลว่าควรจะพูดต่อไปอีกดีหรือไม่?
“ไม่ต้องกังวล! คุณน่าจะเคยได้ยินชื่อเสียงของผมมาบ้างจริงไหม? คุณน่าจะพอเข้าใจว่าผมเป็นคนยังไงจริงหรือเปล่า? ผมให้สัญญาว่าจะไม่มีความอยุติธรรมใด ๆ เกิดขึ้นกับพวกคุณแน่นอน และยิ่งไปกว่านั้นผมจะไม่เปลี่ยนแปลงตำแหน่งหรือผลตอบแทนที่พวกคุณเคยได้รับอีกด้วย!”
เฉิงกัวอันเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายต้องการถามอะไรดังนั้นเขาจึงตอบแทรกขึ้นมาก่อนเพื่อคลายความกังวลใจของอีกฝ่าย
“ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้บริษัทชิวเฮิงกำลังอยู่ในระหว่างการเติบโตขึ้นไปอีกระดับ ดังนั้นพวกคุณทุกคนจะยิ่งได้ประโยชน์มากขึ้นหากเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับผม”
หลังจากคร่ำหวอดในวงการธุรกิจมาหลายปีดังนั้น เฉิงกัวอันจึงเชี่ยวชาญในด้านการพูดจูงใจผู้คน
คำมั่นสัญญาหลายอย่างที่ดึงดูดใจเริ่มถูกเอ่ยออกไป ทำให้บรรดาคนของบริษัทไป๋เชาเริ่มคล้อยตาม
ไม่ว่าจะมองอย่างไร การเดินตามเฉิงกัวอันย่อมดีกว่าการแห้งตายไปกับไป๋เชา!