หลังจากลงมาจากรถ กัวหย่งซินมองไปที่อวี้ฮ่าวหรานด้วยสายตาโกรธเคือง
“แกกล้าดียังไงถึงแย่งของที่ฉันต้องการ? แกนี่มันรนหาที่ตายแท้ ๆ!”
เมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานตัวคนเดียว กัวหย่งซินจึงไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนมีอิทธิพลแค่ไหน ถ้าเขาฆ่าอีกฝ่ายปิดปากตรงนี้ มันก็ไม่น่าจะมีคนเห็นแน่นอน ขอแค่ทำลายหลักฐานให้แนบเนียนจากนั้นก็ชิงของไป… ใครจะตามจับเขาได้?
ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะอย่างขบขันก่อนที่จะถามกลับไป
“หึหึ แกต้องการอะไรงั้นเหรอ?”
“ฮ่าฮ่า ยังแกล้งโง่อีก แน่นอนว่าฉันต้องการเสื้อคลุมมังกรที่แกได้ไป! ส่วนตัวแก ถ้าแกยินยอมแต่โดยดี ๆ ฉันอาจไว้ชีวิตแกก็ได้!”
กัวหย่งซินหัวเราะอย่างชั่วร้าย แน่นอนว่าในใจของเขาไม่คิดจะปล่อยอีกฝ่ายไปอยู่แล้วหลังจากได้ของมา
อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะอย่างดูถูกทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้
“ฮ่า ๆ แกต้องการเสื้อคลุมมังกรของฉันงั้นเหรอ? เลิกฝันเรื่องนั้นไปได้เลย สวะอย่างแกไม่มีทางคู่ควรกับเสื้อคลุมมังกรหรอก แกมีแต่จะทำให้มันแปดเปื้อนมากกว่า!”
“บัดซบเอ๊ย ฉันก็นึกว่าจะได้เจอกับคนฉลาด แต่ที่แท้แกมันก็ไอ้โง่นี่เอง พวกแกทุกคนไปฆ่ามันซะแล้วเอาเสื้อคลุมมังกรมาให้ฉัน!”
กัวหย่งซินเดือดดาลสุดขีดเมื่อโดนดูถูก เขาออกคำสั่งให้บอดีการ์ดของตัวเองโจมตีอวี้ฮ่าวหรานทันที
อย่างไรก็ตาม หนึ่งในลูกน้องของกัวหย่งซิน จู่ ๆ ก็กระซิบข้างหูของเขาด้วยสีหน้ากังวล “ท่านประธาน เมื่อครู่ตอนอยู่ที่บ้านประมูล ไอ้หนุ่มนี่มันเดินอยู่กับหวังเหยียนแห่งแก๊งพยัคฆ์เวหา ผมเกรงว่าถ้าเราทำอะไรบุ่มบ่ามลงไปเราอาจจะมีปัญหาใหญ่กับแก๊งพยัคฆ์เวหา”
“แม่งเอ๊ย! หยุดพูดจาไร้สาระกับฉันได้แล้ว แกจะกลัวไปทำไม? ฉันเองก็มีแก๊งวาฬยักษ์หนุนหลังอยู่เหมือนกัน ไอ้แก๊งพยัคฆ์เวหาอะไรนั่นไม่ใช่ปัญหาที่เราต้องกังวล!”
กัวหย่งซินตะคอกใส่ลูกน้องของตัวเองก่อนที่จะโบกมืออีกครั้งเพื่อสั่งให้จู่โจม
เมื่อเห็นว่าเจ้านายตัวเองยังคงยืนยันคำสั่ง พวกบอดีการ์ดทั้งหลายต่างก็แสดงสีหน้าเป็นกังวล แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพุ่งเข้าหาอวี้ฮ่าวหราน
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะกลัวปัญหาที่ตามมาแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องฉลาดที่จะขัดใจกัวหย่งซิน
กัวหย่งซินคือคนที่เติบโตขึ้นมาจากโลกใต้ดินและเป็นคนที่โหดเหี้ยมมาก การขัดใจเขามีผลลัพธ์อย่างเดียวคือความตาย
กลับกันแล้วเมื่อเห็นภาพเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานกลับรู้สึกขบขันในความโง่เง่าของฝั่งตรงข้าม
“ไร้สมองกันจริง ๆ”
ขนาดผู้บ่มเพาะอย่างคงเหอยังเทียบเขาไม่ติด แล้วคนพวกธรรมดาพวกนี้จะทำอะไรเขาได้? กล้าแย่งของ ๆ เขางั้นเหรอ? น่าขำ!
“พลั่ก!”
วินาทีต่อมา จู่ ๆ ร่างของอวี้ฮ่าวหรานก็โผล่ขึ้นตรงหน้าบอดีการ์ดที่วิ่งเร็วที่สุดและเตะอีกฝ่ายจนตัวลอยละลิ่ว ก่อนที่ต่อมาร่างของเขาจะไปปรากฏตรงหน้าบอดีการ์ดผู้โชคร้ายคนถัดไปและประเคนหมัดเข้าใส่
ร่างของเขาหายวับไปวับมา ไม่มีใครมองตามได้ทัน หลงเหลือเอาไว้แค่เพียงเสียงกระดูกหักและเสียงร้องโอดโอยจากเหล่าคนที่ลงไปนอนกองอยู่ที่พื้นด้วยสภาพน่าเวทนา
บอดีการ์ดคนสุดท้ายถูกถีบจนกระเด็นลอยมากระแทกกับรถที่กัวหย่งซินยืนอยู่อย่างแรง
กัวหย่งซินอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงกับภาพที่เห็น เขาไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายคือผู้บ่มเพาะที่เขาเคยได้ยินมาจากพวกคนระดับสูงในแก๊ง
“ย…อย่าเข้ามานะ!…อ๊าาาา”
กัวหย่งซินตะโกนร้องโหยหวนพร้อมกับหันหลังวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต แต่แค่เพียงชั่วอึดใจ อวี้ฮ่าวหรานก็พุ่งตัวมาปรากฏขวางหน้าเอาไว้และบีบคอเขาเอาไว้แน่นอย่างฉับพลัน!
“หึหึ ตอนนี้แกไม่อยากได้เสื้อคลุมมังกรแล้วงั้นเหรอ? มันอยู่ในรถของฉันตรงนู้นแน่ะ ถ้าแกมีปัญญาก็รีบ ๆ ไปเอาสิ!”
กัวหย่งซินตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว โดยเฉพาะเมื่อเขาเห็นแววตาที่เย็นชาของอวี้ฮ่าวหราน เขายิ่งกลัวว่าตัวเองจะถูกฆ่าตรงนี้ แถวนี้เป็นที่เปลี่ยว หากเขาโดนฆ่าที่นี่จริง ๆ คงไม่มีใครรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ น้ำอุ่น ๆ ก็เริ่มไหลออกจากหว่างขาซึมออกจากกางเกง
“เฮอะ! แกนี่มันน่าสมเพชกว่าทุกคนที่ฉันเคยเจอมาซะอีก ขืนฆ่าแกไปมือของฉันคงสกปรกเปล่า ๆ!”
เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็เตะอีกฝ่ายให้กระเด็นไกลออกไปด้วยสีหน้ารังเกียจ ก่อนที่ตัวเขาจะเดินกลับขึ้นรถและขับออกไปอย่างใจเย็น
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ กัวหย่งซินก็เพิ่งได้สติจากอาการหวาดกลัว
นี่มันผ่านมากี่ปีแล้วที่ฉันไม่ได้รู้สึกแบบนี้!
ตั้งแต่เขาเป็นเจ้าของบริษัทและห่างจากวงการใต้ดิน เขาก็ไม่เคยเจอกับสถานการณ์เป็นตายอีกเลย นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขารู้สึกว่าตัวเองเกือบจะก้าวขาไปอยู่ในยมโลก!
“แม่งเอ๊ย ไอ้พวกไม่ได้เรื่อง! ไอ้พวกสวะเอ๊ย! พวกแกเกือบทำฉันตาย!”
หลังจากได้สติ กัวหย่งซินก็ลุกขึ้นมายืนและด่าลูกน้องของตัวเอง แต่แล้วเมื่อเขารู้สึกได้ว่าที่เป้ากางเกงตัวเองรู้สึกแฉะ ๆ เขาก็ก้มลงไปดูและนั่นทำให้เขายิ่งเดือดดาลมากขึ้น
อาย! อายโว๊ย! ฉันต้องแก้แค้นไอ้เวรนั่นให้ได้!
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาโทรออกไปทันที
“ฮัลโหล ลูกพี่!”
“โทรมารอบนี้แกมีอะไรอีก?”
ปลายสายคือคนที่หนุนหลังเขามาตลอด… หัวหน้าแก๊งวาฬยักษ์
“ฉันเพิ่งมีเรื่องกับผู้บ่มเพาะคนหนึ่งเมื่อกี้! ฉันเกือบจะถูกมันฆ่าตายแล้ว ฉันอยากจะล้างแค้น!”
“งั้นเหรอ เล่ารายละเอียดมาสิ”
จากนั้นกัวหย่งซินก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดให้กับอีกฝ่ายฟังทั้งหมด
เขามุ่งมั่นที่จะแก้แค้นอวี้ฮ่าวหรานเป็นอย่างมาก!
อีกด้านหนึ่ง…
หลังจากขับรถจากมาแล้ว อวี้ฮ่าวหรานมุ่งหน้ากลับคอนโดทันที เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เขาต้องการที่จะดูดซับพลังวิญญาณจากเสื้อคลุมมังกรสุดแพงนี้ให้เร็วที่สุด
ด้วยความหนาแน่นของพลังวิญญาณที่สถิตอยู่ในเสื้อคลุมมังกรนี้ ชายหนุ่มมั่นใจว่าระดับการบ่มเพาะของเขาจะก้าวขึ้นไปอีกระดับแน่นอน!
หลังจากถึงห้องและนั่งบ่มเพาะไปราว 2 เกือบ 3 ชั่วโมง คลื่นพลังวิญญาณก็ปะทุออกจากร่างของอวี้ฮ่าวหราน!
ในขณะนี้เขาทะลวงระดับขึ้นไปอยู่ขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงแล้ว!
เมื่อชายหนุ่มลืมตา ในดวงตาของเขามีประกายระยิบระยับราวกับว่ามีดวงดาวอยู่ในนั้นเป็นล้าน ๆ ดวง แต่ในไม่ช้าดวงตาของเขาก็กลับเป็นปกติ
“ในที่สุดตอนนี้ก็ทะลวงถึงขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงแล้ว เม่ยเอ๋อร์ เราใกล้จะได้เจอกันมากกว่าเดิมอีกก้าวหนึ่งแล้ว!”
อวี้ฮ่าวหรานพูดขึ้นก่อนที่จะถอนหายใจ ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะแข็งแกร่งแต่เขาก็ยังคิดว่ามันไม่น่าจะเพียงพอที่จะไปเผชิญกับพวกผู้บ่มเพาะที่ซ่อนตัวอยู่ในโลกนี้ เขาต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้และเร็วกว่านี้!
ในขณะที่เขาเดินออกจากห้อง เขาก็พบว่าตอนนี้มันมืดแล้ว
โชคดีที่หลี่หรงไปรับถวนถวนกลับมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องห่วงเรื่องของลูกสาว แถมตอนนี้อาหารค่ำก็ทำเสร็จเรียบร้อย
“เย้! พ่อจ๋าออกจากห้องแล้ว!”
ถวนถวนที่กำลังเล่นกับเจ้าลูกกวาดเมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานออกมาจากห้อง เด็กน้อยก็ตะโกนร้องด้วยรอยยิ้มที่เบิกบาน
“เฮ้อ…พี่เขย ในที่สุดพี่ก็ออกมาจากห้องสักที เอาล่ะอาหารเสร็จแล้วรีบไปล้างมือและมากินข้าวด้วยกันเร็ว”
เธอไม่อยากจะถามอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องที่อวี้ฮ่าวหรานหมกตัวอยู่ในห้อง เพราะเมื่อในอดีต แม่ชีที่พาหลี่เม่ยจากไปเคยแสดงกลเม็ดบางอย่างให้เธอเห็นจนพอจะเดาได้ว่า พี่เขยของเธอก็น่าจะเป็นคนแบบเดียวกับแม่ชีคนนั้น
ไม่งั้นพี่เขยของเธอคงไม่แข็งแกร่งเหนือมนุษย์แบบนี้จริงไหม?