บทที่ 48 – เรสเทีย
นั่นสินะ.. ถ้าจะให้เล่าก็เป็นช่วงประมาณปีถึงสองปีก่อนที่ฉันเจอกับเด็กคนนี้ ตอนนั้นฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นตัวละครในเกม
แต่ครอบครัวเธอเหมือนจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับตระกูลขุนนางของฉัน ทำให้ครอบครัวเธอมุ่งหน้ามาที่ตระกูลฉัน
และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้เจอกัน
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ ท่านอนาสตาเซีย!”
ภายในงานเลี้ยงที่ควรจะครึกครื้นต่างเงียบลงอย่างน่าตกใจ ก็นะ เธอคนนี้เป็นคนดังมากๆ ว่ากันตามตรงเธออาจจะเก่งที่สุดในฐานะคนอายุ 13 ตอนนี้เลยก็ว่าได้
และแน่นอนว่าข่าวของเธอก็แพร่กระจายเป็นที่รู้จักเยอะ ส่วนไอน์สไตน์ที่ดูสงบอยู่ตลอดซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ฉันก็ยังคงอึ้ง
ในขณะเดียวกันเด็กที่คิดว่าน่าจะเก่งที่สุดในตอนนั้นพุ่งเข้ามากอดฉันเหมือนลูกแมวน้อย… นี่ฉันประมาทโลกนี้เกินไปสินะ
เพราะเธอน่าสงสารและหน้าตาของเธอตอนนั้นก็ไม่ได้เครียดขนาดนี้ อีกอย่างผมของเธอตอนนั้นก็เป็นสีดำ แล้วไหงตอนนี้กลายเป็นสีขาวไปแล้ว
แต่ก็นะเพราะสองปีก่อนฉันก็ยังจำได้.. แต่ตอนสองปีก่อนทำไมฉันจำไม่ได้นะว่าเธอเป็นตัวละครที่จะมีบทในเกม
ไม่สิ แต่แรกเริ่มเดิมทีบทเธอก็มีแค่ช่วงงานแข่งขันเฟสเตอร์นี้เท่านั้นนี่นะ ไม่แปลกที่ฉันจะจำไม่ได้ละมั้ง
ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ใจเย็นๆ หน่อยสิ เรสเทีย คนอื่นเขามองอยู่นะ”
“ไม่เอาหรอก ข้าคิดถึงท่านอนาสตาเซียมากนี่น่า ไหนท่านบอกว่าจะเข้าเรียนโรงเรียนโรเซ่ล่ะ ข้าอุตส่าห์คิดว่าเข้าเรียนที่เดียวกันกับท่านอนาสตาเซียได้แล้วแท้ๆ นะ!”
ฉันหัวเราะแห้งๆ จะว่าไปปีนั้นฉันโกหกเธอว่าจะเข้าเรียนโรงเรียนโรเซ่นี่น่า เพราะโรงเรียนโรเซ่เป็นโรงเรียนที่ในเกมภาคแรกนี้มีบทกับโรงเรียนลิเบอร์น้อยที่สุด
ฉันเลยคาดหวังว่าไม่อยากให้เธอมาทำเนื้อเรื่องเกมปั่นป่วน เพราะไอ้ฉันก็ดันสอนเธอไปซะเยอะ แน่นอนว่าที่ฉันสอนคือเวทมนตร์เสริมกำลังจากท่านเลทิเซียนั่นแหละ
แต่ก็อย่างว่าเธอเป็นอัจฉริยะ เหมือนว่าเธอสามารถเข้าใจโครงสร้างของร่างกายมนุษย์เกือบทั้งหมดได้ผ่านเวทมนตร์นั้น
ทำให้เธอ… แข็งแกร่งสุดๆ ถ้าจำไม่ผิดสองปีก่อนพวกเราได้ร่วมมือกันสร้างเวทมนตร์ฟื้นฟูขั้นสุดยอดกันด้วย
เอ่อ ถึงจะบอกว่าช่วยกันคิด ฉันก็แค่นั่งดูอะนะ เธออธิบายอะไรให้ฉันฟังมันก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาทันที แต่ก็ไม่รู้อิท่าไหนถึงผมเปลี่ยนสีแถมใบหน้ายังดูดีกว่าก่อนหน้านี้อีกด้วย
“มานี่ก่อน!”
พอเห็นสายตาของคนที่จ้องมาเป็นตาเดียวฉันก็แบกรับความกดดันไม่ไหวรีบจับแขนของเรสเทียวิ่งออกจากงานเลี้ยงไปโดยยังไม่ตอบคำถามเธอ
ทิ้งงานเลี้ยงไว้ด้านหลัง ฉันพาเธอไปที่ระเบียงที่ไม่มีคนก่อนจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าเจอฉัน อย่าพึ่งรีบทักฉันทันที ให้ดูสถานที่ก่อนน่ะ”
“อื้อ.. แต่ว่าข้า….”
พอเห็นท่าทางที่เหมือนโกรธของฉันเธอก็หงอยลง ทำให้ฉันได้แต่เลิกทำหน้าโกรธเธอก่อนจะถามว่า
“แต่อะไร?”
“คือว่า… เมื่อหลายวันก่อนมีคนมาบอกฉันว่าถ้าเข้าร่วมงานแข่งขันเฟสเตอร์จะได้เจอท่านอนาสตาเซียอยู่ที่นี้… เพราะข้าไม่ได้เจอท่านอนาสตาเซียมาตลอดสองปี เลยตั้งตารอมาก.. และพอเห็นท่านข้าเลยลืมตัวไป ข้าขอโทษนะ”
หน้าที่ดูเหมือนผู้หญิงเย็นชาของเธอก็หงอยเป็นลูกแมวน้อย
“มีคนบอก?ใครเป็นคนบอก?”
“ข้าเองก็ไม่มั่นใจ เธอเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก… อื้มม ตัวเล็กพอๆ กับคนคนรั้นเลย”
ว่าแล้วเธอก็หันไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้างานเลี้ยง.. ฉันหันตามไปคนที่อยู่ปลายนิ้วของเธอคือท่านเลทิเซีย
ส่วนสูงพอๆ กับท่านเลทิเซียงั้นเหรอ เรสเทียยังคงพูดต่อพร้อมกับท่าทางที่ใช้ความคิดและนึกถึงเมื่อหลายวันก่อน
“เธอสวมชุด….. อืมมม…”
“ข้าจำไม่ได้แฮะ.. ที่ข้าจำได้มีแค่อย่างเดียวคือเธอมีผมสีเหลือง แถมที่เอวห้อยตุ๊กตาแปลกๆ ด้วย.. ตุ๊กตากระต่ายละมั้ง?”
ฉันที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่งงงวย ตัวละครแบบนั้นไม่น่าจะมีในเกม แล้วทำไมถึงรู้จักฉันได้ล่ะ?แถมเป็นเพราะคนคนนั้นได้กระตุ้นความอยากเจอของเรสเทีย
จนทำให้เธอผิดคำสัญญากับฉันสินะ หรือก็คือเธอเปลี่ยนเนื้อเรื่องในเกม?หรือว่าเธอจะเหมือนกับฉันคือผู้กลับชาติมาเกิด
ฉันตัดความจริงที่ว่าคนที่มาเกิดใหม่มีแค่ฉันไม่ได้หรอก.. ในขณะที่ฉันกำลังตกอยู่ในความคิดนั้นนั่นเอง จู่ๆ เรสเทียก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“จริงสิ เด็กคนนั้นฝากเอาสิ่งนี้มาให้ท่านอนาสตาเซียด้วย”
ว่าแล้วเรสเทียก็หยิบจี้อันหนึ่งออกมาจากเสื้อผ้า มันคือจี้ที่มีสีคล้ายกับจี้อเมทิสของฉัน ไม่สิ มันเป็นสีนิลกาฬ หรือสีน้ำเงินมากกว่า
ในตอนนั้นเองสกาเล็ตที่ไม่ได้โผล่หน้ามาสักพักก็โผล่หน้าออกมาจากไหนไม่รู้เธอก็กระซิบข้างหูฉันว่า
“นี่คืออัญมณีไพลิน.. เหมือนกับอเมทิสและโดเมนที่เจ้าเคยได้รับ”
“……”
ฉันหยิบขึ้นมาแล้วก็เกิดคลื่นบางอย่างในจิตใจของฉัน หรือว่าที่เกี่ยวข้องกับอัญมณีเหล่านี้จะเป็นคนที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องของเกมเหรอ
ไม่รู้สิ.. แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาทดลองว่ามันสามารถผสานเข้ากับอัญมณีอีกสองอันที่ห้อยอยู่ที่คอเธอไหม
และเวลานั้นเอง ปากของเรสเทียก็พึมพำอะไรออกมา
“บทละครถูกปรับเปลี่ยนแล้ว ผู้แก้ไขอยู่แถวนั้นและช่วยเหลือแบบเรียลไทม์ ไม่เป็นปัญหากับบทละครแต่อย่างใด แล้วเธอพร้อมกับการขึ้นเวทีหลักหรือยัง?”
“ห้ะ..?”
ฉันหันไปหาเรสเทีย เรสเทียก็ยังเป็นเรสเทีย
“เธอฝากมาบอกแบบนี้ด้วยแหละ.. หือ มีอะไรเหรอคะ?”
“เมื่อกี้เธอเป็นคนพูดเหรอ?”
“ใช่ค่ะ ทำไมเหรอ..?”
“เปล่าหรอก”
ฉันนวดขมับเล็กน้อยก่อนจะพูดกับสกาเล็ตเบาๆ ว่า
“เอาจริงๆ นะ ฉันรู้สึกทะแม่งๆ ว่ายัยคนที่เอาจี้นี่มาให้พวกเราจะเกี่ยวกับเรื่องที่เธอเสียความทรงจำ”
“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่บทละครที่ว่านั่นมันหมายถึงอะไร”
“…..ฉันเองก็ไม่รู้”
ช่างเถอะ คิดมากไปตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดีละนะ ฉันเก็บจี้ไว้ในกระเป๋าก่อนจะพูดกับเรสเทียว่า
“อื้ม ขอบคุณนะ.. แล้วก็ขอโทษที่ฉันโกหกว่าจะไปเรียนที่โรงเรียนโรเซ่นะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ.. แต่ว่าทำไมถึงต้องโกหกล่ะ?”
“เพราะว่า….”
ฉันที่กำลังจะบอกว่าไม่อยากให้เธอมายุ่งเพราะฉันโดนคนในโรงเรียนเกลียดเยอะ หลักฐานคืออีกหน่อยฉันจะโดนพวกหุ่นเชิดของยัยเซเลน่าประจานว่า
ใช้เส้นสายในการเป็นตัวแทนโรงเรียน ทำให้ชื่อเสียงของตัวแทนโรงเรียนแปดเปื้อน.. นี่เป็นอีเว้นใหญ่ของนางร้ายอนาสตาเซียเลยก็ว่าได้
อีเว้นโดนประจานและโดนรังเกียจ.. แต่พอจะอ้างข้ออ้างนั้นก็พึ่งนึกขึ้นได้ว่า.. อ่าว เดี๋ยวก่อนนะ ยัยเซเลน่าไม่มางานเลี้ยงแล้วนี่น่า
ฉันเลยได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ พอเห็นฉันไม่รู้จะพูดอะไรนั้นเอง เรสเทียก็เอียงคอด้วยความสงสัย
“ช่างเถอะ เอาเป็นว่าเธอรอดูไปละกันเดี๋ยวเธอก็รู้เองแหละว่าทำไม!”
ฉันพูดออกไปแบบนั้นเพราะหาข้ออ้างไม่ได้ แต่เหมือนเรสเทียจะใสซื่อมากเกินไป เธอพยักหน้าเชื่อฟัง
“จะว่าไปทำไมผมของเธอกลายเป็นสีขาวล่ะ?”
“อ้อ.. เป็นเพราะว่าฉันใช้เวทมนตร์ที่ท่านอนาสตาเซียสอนมาดัดแปลงโครงสร้างของจิตวิญญาณดูน่ะ”
“….อืม แบบนี้นี่เอง”
ฉันพยักหน้าเข้าใจโดยที่ไม่เข้าใจ แล้วก็นะสิ่งที่ฉันสอนแค่เวทมนตร์เสริมพละกำลัง ไม่เคยสอนอย่างอื่นหรอกเฟ้ย
แล้วทำไมเวทมนตร์เสริมพละกำลังถึงกลายเป็นเวทมนตร์เปลี่ยนโครงสร้างวิญญาณได้ละเนี่ย?
“เพราะการปรับเปลี่ยนมันเลยทำให้กายหยาบด้านนอกเปลี่ยนแปลงจากผลกระทบนิดหน่อยน่ะค่ะ และเพราะแบบนั้นตอนนี้ข้าอาจจะเก่งพอๆ กับท่านอนาสตาเซียได้แล้วล่ะ”
ไม่อะ เธอเก่งกว่าฉันเห็นๆ นะ ถึงอยากจะพูดแบบนั้นแต่ก็พูดไม่ได้อยู่ดี…..
“หือ..?”
ฉันขยี้ตาแล้วมองอีกรอบ
“มีอะไรเหรอคะ?”
เรสเทียถาม ฉันไม่ได้ตอบแต่มองไปทางเข้างานเลี้ยง ฉันขยี้ตาเป็นรอบที่สามเพื่อมอง..
เห้ะ… นั่นมันยัยเซเลน่านิ..
แล้วทำไม.. เซเลน่าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ละเนี่ย?!