ตอนที่ 1984 อวิ๋นเซียวลงมือ (2)
สตรีผู้นี้หาเรื่องจริงๆ นางเพิ่งบังคับให้เขาโจมตีนางใช่หรือไม่
“ข้าบอกว่า ข้าจัดการเรื่องนี้ได้” อวิ๋นลั่วเฟิงถอดหายใจอย่างหมดหนทางขณะมองไป๋หลิงที่ก้าวออกมาข้างหน้า
“ลูกเป็นบุตรสาวของแม่ แม่ปล่อยให้ลูกไปคนเดียวไม่ได้” ไป๋หลิงหันไปหาโอวเหลยด้วยใบหน้าเย็นเยียบ “หลายปีมานี้ ลูกต้องทรมานกับเรื่องทุกข์ใจและอันตรายมามากแล้ว ตอนนี้หลังจากที่ผ่านความยากลำบากพวกเราก็ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งแล้วแม่จะยอมให้คนอื่นมาทำร้ายลูกอีกได้อย่างไร”
ถึงแม้ว่าไป๋หลิงจะไม่รู้ว่าอวิ๋นลั่วเฟิงใช้ชีวิตช่วงหลายปีที่ผ่านมาอย่างไร แต่นางคงต้องทรมานกับความเจ็บปวดที่คนธรรมดาไม่อาจจินตนาการถึงเพื่อที่จะแข็งแกร่งได้ตั้งแต่อายุเพียงเท่านี้…
ทันทีที่นางนึกถึงทุกอย่างที่บุตรสาวของนางประสบในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความเจ็บปวดก็ถูกตอกย้ำเข้ามาในหัวใจของนาง
“โฮก!”
เสี่ยวหู่คำรามสุดเสียงเพื่อสนับสนุนไป๋หลิงแล้วใช้กรงเล็บข่วนผู้ฝึกฌานขั้นเซียนอาวุโสตรงหน้าเขา
จีจิ่วเทียนหันหลังมามองอวิ๋นลั่วเฟิงแล้วรอยยิ้มชั่วร้ายที่น่าหลงใหลก็ปรากฏบนใบหน้าคล้ายจิ้งจอกของเขา ก่อนที่เขาจะรีบหันกลับไปจัดการกับศัตรูตรงหน้าต่อ
“ฮึ่ม!” โอวเหลยส่งเสียงขึ้นจมูก “อวิ๋นเยว่ชิง เจ้าบังคับให้ข้าทำแบบนี้เองนะ! อย่าโทษว่าข้าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน!”
พูดจบโอวเหลยก็รวบรวมพลังฌานมหาศาลไว้ที่ฝ่ามือจนแม้แต่ท้องฟ้าและพื้นดินยังเปลี่ยนสี พลังฌานไร้ที่สิ้นสุดเหมือนกระบี่ที่ถูกชักออกจากฝัก แล้วพริบตาเดียวก็มาปรากฏตรงหน้าอวิ๋นลั่วเฟิง
ครั้งนี้เขาไม่ได้คิดยั้งมือ จึงรวมพลังทั้งหมดไปรวมกันที่จุดเดียวก่อนปลดปล่อยการโจมตีออกไป
“เฟิงเอ๋อร์ ระวัง!”
ไป๋หลิงหน้าถอดสีด้วยความกลัวแล้วพุ่งไปหาอวิ๋นลั่วเฟิงอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะรับการโจมตีแทนนาง
แต่ว่าอวิ๋นลั่วเฟิงก็ผลักไป๋หลิงออกไปอย่างแรง
ไป๋หลิงหันหลังไปอย่างตะลึงแล้วฉากที่นางไม่มีทางลืมไปชั่วชีวิตก็เกิดขึ้น
พลังมหาศาลที่แข็งแกร่งกลืนกินอวิ๋นลั่วเฟิงไปทั้งตัว เมฆหนาทึบปกคลุมทั่วท้องฟ้าจนทำให้หัวใจของผู้คนอัดแน่นไปด้วยความเศร้าโศกจนหายใจไม่ออก
ชุดของสตรีที่ขาวยิ่งกว่าหิมะและไร้รอยตำหนิใดๆ ปรากฏขึ้น นางยืนอยู่กลางอากาศด้วยใบหน้างามล่มจมเมือง
โอวเหลยตะลึง การโจมตีเมื่อครู่ของเขาใช้พลังทั้งหมดแล้วแต่ก็ไร้ประโยชน์เมื่อปะทะกับสตรีผู้งั้นหรือ
ไม่สิ…
เมื่อเห็นสภาพปัจจุบันของอวิ๋นลั่วเฟิง โอวเหลยก็หรี่ตา “ดูเหมือนว่าเกราะเกล็ดมังกรของเจ้าจะเป็นสมบัติล้ำค่าจริงๆ น่าเสียดายที่เกราะไม่สามารถทนต่อพลังฌานที่แข็งแกร่งได้แม้จะดูน่าเกรงขามเพียงใด มันจึงไม่สามารถต้านทานการโจมตีของข้าได้”
สถานการณ์จริงก็เป็นอย่างนั้น อวิ๋นลั่วเฟิงใช้เกราะเกล็ดมังกรเพื่อป้องกันการโจมตีแต่เกราะไม่สามารถทนต่อพลังที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีได้ มันจึงหายไปก่อนเวลาจะหมด
แต่ว่าอวิ๋นลั่วเฟิงก็ยิ้มอย่างสุขุม ดวงตาสีนิลของนางยังสงบนิ่งเหมือนสายน้ำโดยไม่มีความหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
“เฟิงเอ๋อร์!”
เมื่อครู่ไป๋หลิงรู้สึกเหมือนหัวใจของนางแทบหยุดเต้น นางเดินเข้าไปตรงหน้าอวิ๋นลั่วเฟิงอย่างรวดเร็วแล้วกอดอีกฝ่ายทันที
อวิ๋นลั่วเฟิงรู้สึกได้ว่าไป๋หลิงกำลังสั่น
“ลูกไม่เป็นอะไร…ดีจริงๆ …ลูกไม่เป็นอะไร”
นางไม่กล้าคิดถึงว่าอวิ๋นลั่วเฟิงจะต้องทรมานกับความเสียหายจากการโจมตีขนาดไหนถ้านางไม่มีเกราะเกล็ดมังกรป้องกัน นางไม่สามารถจินตนาการได้เหมือนกันว่านางจะใช้ชีวิตที่เหลือต่อไปอย่างไรถ้าเกิดนางเสียบุตรสาวไปทันทีที่นางเพิ่งได้อีกฝ่ายกลับมา
ขอบคุณที่นางปลอดภัย…
ไป๋หลิงตัวสั่นเทิ้ม น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสุข—ความสุขในแบบที่ชีวิตได้เสียบางสิ่งไปแล้วแต่กลับได้มันคืนมา
ตอนที่ 1985 อวิ๋นเซียวลงมือ (3)
โอวเหลยมองไป๋หลิงที่กอดอวิ๋นลั่วเฟิงแน่นแล้วเจตนาสังหารในดวงตาเขาก็เข้มขึ้น “นางเป็นแค่บุตรนอกสมรสคนหนึ่ง นางคู่ควรให้เจ้ารักและใส่ใจแบบนี้หรือ”
ไป๋หลิงกำหมัด ความโกรธปะทุขึ้นในหน้าอกขณะที่หันไปมองโอวเหลยด้วยสายตาเย็นเยียบ “นางเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของข้าและข้าก็เป็นลูกสะใภ้ตามประเพณีของตระกูลอวิ๋น แล้วนางจะเป็นบุตรนอกสมรสได้อย่างไร”
“ศิษย์น้องที่แสนวิเศษของข้า อย่าลืมว่าอาจารย์ตายไปแล้วและข้าก็เป็นศิษย์พี่ของเจ้า ข้าไม่ยอมให้เจ้าแต่งงานกับบุรุษผู้นั้น ดังนั้นเด็กผู้หญิงคนนี้ก็เป็นแค่บุตรนอกสมรสคนหนึ่ง!”
ไป๋หลิงยิ้มเยาะ
“ข้าเป็นศิษย์ของอาจารย์แค่สิบปี แต่ข้าแต่งงานกับท่านพี่หยางมาเกือบจะสามสิบปี เจ้าคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอที่จะมาตัดสินเรื่องสำคัญในชีวิตข้างั้นหรือ”
ถ้าเรื่องเมื่อสองสามปีก่อนไม่เกิดขึ้น ไป๋หลิงก็คงจะปฏิบัติกับศิษย์พี่คนนี้ของนางเหมือนเป็นครอบครัว เมื่อก่อนตอนที่อาจารย์ยังอยู่ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์พี่หรือศิษย์หญิง พวกเขาทุกคนล้วนดูแลนางอย่างดี
แต่ว่าทันทีที่อาจารย์จากไป ความทะเยอทะยานของคนพวกนี้ก็เปิดเผยออกมา นางไม่เคยรู้เลยว่าโอวเหลยจะเป็นคนหน้าไม่อายและเลวทรามแบบนี้!
อวิ๋นลั่วเฟิงไม่ได้หยุดการสนทนาของพวกเขา สำหรับนางแล้วยิ่งพวกเขาถ่วงเวลาโอวเหลยได้นานเท่าไหร่ก็ยิ่งดี การพูดคุยนี้ช่วยนางหาทางซื้อเวลาได้
“อวิ๋นเยว่ชิง ข้าเป็นศิษย์พี่ของเจ้า เจ้าต้องเชื่อฟังข้า!” โอวเหลยโกรธจัดแล้วยกมือขึ้นหวังจะจับไหล่ของไป๋หลิง “จะให้บุตรนอกสมรสนี้รับใช้ข้าเหมือนเจ้าหรือให้นางตาย! เจ้าเลือกมา!”
ก่อนที่มือของโอวเหลยจะสัมผัสโดนไป๋หลิง นางก็ปัดมือนั้นออกไปอย่างแรงด้วยความขยะแขยง ดวงตาของนางแสดงความรังเกียจอย่างปิดไม่มิด
“ไสหัวไป อย่าเอามือน่ารังเกียจนั้นมาแตะต้องข้า! อีกอย่าง บุตรสาวของข้าไม่มีทางตายหรือไปรับใช้เจ้าทั้งนั้น!
โอวเหลยสติหลุดเพราะความเดือดดาล เขาไม่สามารถสังหารไป๋หลิงดังนั้นเขาจึงทำได้แค่หันไปหาอวิ๋นลั่วเฟิงอีกครั้ง
“เจ้าไม่มีเกราะเกล็ดมังกรช่วยปกป้องอีกต่อไปแล้ว! มาดูกันว่าครั้งนี้เจ้าจะยังสู้กับข้าได้อีกหรือไม่! ตาย!”
ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็พุ่งไปหาอวิ๋นลั่วเฟิงด้วยความเร็วดุจสายฟ้า เจตนาสังหารในดวงตาเย็นเยียบ แล้วริมฝีปากเขาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน่าขนลุก
เมื่อเห็นการโจมตีเข้ามาใกล้ สีหน้าของอวิ๋นลั่วเฟิงก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง ครั้งนี้นางไม่กล้าใช้ไฟสู้กับไฟแล้วขยับไปด้านข้างเพื่อหลบ
แต่ว่าพริบตาต่อมา กระบี่คมของโอวเหลยก็อยู่ห่างจากดวงตานางเพียงเล็กน้อย นางไม่มีทางหนีแล้ว
หัวใจของไป๋หลิงหยุดเต้นไปอีกครั้ง และนางก็พุ่งไปหาอวิ๋นลั่วเฟิงอย่างบ้าคลั่ง
ทว่านางอยู่ไกลเกินไปเมื่อเทียบกับโอวเหลยที่อยู่ตรงหน้าอวิ๋นลั่วเฟิง นางไปถึงตัวอวิ๋นลั่วเฟิงไม่ทัน
ทันใดนั้นในอากาศก็มีบางอย่างคล้ายเชือกตวัดพันรอบคอเขาจนหายใจไม่ออก ตอนที่เขาได้สติก็มีบุรุษในชุดคลุมยาวสีดำบินลงมาตรงหน้า แล้วดึงอวิ๋นลั่วเฟิงเข้าไปในอ้อมกอด
ชายผู้นี้มีสีหน้าเย็นชา ขณะที่อีกฝ่ายยกมือขึ้นนั้นมีกลิ่นอายน่ากลัวพันอยู่รอบตัวเขาจนโอวเหลยต้องถอยหลังไปสองสามก้าว ความเคร่งเครียดเผยออกมาบนใบหน้าของเขา
“เจ้าเป็นใคร”
มุมปากของอวิ๋นเซียวยกขึ้นด้วยใบหน้าจริงจัง “เจ้าหลงผิดคิดจะแตะต้องสตรีของข้า แต่เจ้ากลับถามว่าข้าเป็นใครงั้นหรือ”
ตอนแรกไป๋หลิงกำลังสงสัยว่าบุรุษที่บินลงมาจากฟ้าผู้นี้เป็นใคร แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเขา นางก็รู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า ได้แต่ตะลึงงันไป
สตรีของเขา? หรือว่า…เฟิงเอ๋อร์มีสามีแล้วงั้นหรือ
ใบหน้าของไป๋หลิงเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม หลายปีที่ผ่านมานางพลาดอะไรไปมากแค่ไหนกัน
สีหน้าของโอวเหลยเปลี่ยนไป เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ทรงพลังรอบตัวบุรุษผู้นี้ แล้วอารมณ์ของเขาก็หนักอึ้ง