ไม่กี่วันหลังจากนั้น ในตอนที่ช่วงการฝึกซ้อมช่วงบ่ายของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
เจี่ยงไป๋เหมียนเดินกลับเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าที่ดูสับสนเล็กน้อย
เธอเดินมาถึงด้านหน้าของหลงเยว่หง แล้วนิ่งเงียบไปชั่วขณะ
“การขอย้ายงานของนายไม่ได้รับการอนุมัติ”
ร่างของหลงเยว่หงโคลงเคลงเล็กน้อย ไม่อาจเก็บซ่อนความผิดหวังบนใบหน้าได้
เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจเบาๆ
“เบื้องบนให้คำตอบมาว่าไม่ควรทอดทิ้งหรือยอมตัดใจจากสมาชิกที่ความสามารถอ่อนด้อย ไม่อาจใช้การออกไปฝึกซ้อมเพียงแค่ครั้งเดียวแล้วตัดสินใจประหารชีวิตเนื่องจากการแสดงออกถึงความไม่ลงรอยในทางจิตวิทยา
“นอกจากนั้นแล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครยื่นใบสมัครเข้าร่วม ‘ทีมสำรวจเก่า’ ตอนนี้ทุกที่ทุกแผนกต่างก็ขาดแคลนกำลังคนกันทั้งนั้น ถ้าหากว่าต้องการให้มีคนเข้ามาแทนที่ ก็ต้องรอการจัดสรรงานในครั้งถัดไปเท่านั้น”
“…ครับ ผมเข้าใจแล้วครับ” หลงเยว่หงก้มหน้าพูดพึมพำกับตัวเอง
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” คำหนึ่ง แล้วยิ้มปลอบใจเขา
“ครั้งนี้ฉันไม่บอกให้นายพูดให้ดังขึ้นแล้วล่ะ”
หลงเยว่หงเงียบไปชั่วขณะก่อนจะพูดออกมา
“อันที่จริงผมก็ไม่ได้ถึงกับผิดหวังหรอก และก็ไม่ได้เจ็บปวดสักเท่าไหร่
“อย่างน้อยตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่างานที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ กำลังทำอยู่นั้นมีความหมายมาก”
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม
“ถ้ามันไร้ความหมาย ฉันก็คงไม่ขอจัดตั้ง ‘ทีมสำรวจเก่า’ ขึ้นมาหรอกน่า”
พูดจบเธอก็ตบบ่าหลงเยว่หง
“ฝึกฝนให้ดี ปรับปรุงตัวเองให้ก้าวหน้า ต้องมุ่งมั่นจะมีชีวิตรอดไปจนถึงเดือนเจ็ดปีหน้าให้ได้ เมื่อถึงตอนนั้นฉันจะสามารถรับสมัครสมาชิกใหม่เพื่อเอามาแทนนายได้”
หลงเยว่หงยิ้มด้วยสีหน้าที่น่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก
“หัวหน้า ปากคุณนี่ไม่เป็นมงคลเลยนะ”
ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็เข้ามาใกล้แล้วยิ้มให้
“หัวหน้า ที่จริงคุณควรจะพูดแบบนี้มากกว่านะ…
“เดี๋ยวฉันจะอัดนายให้ยับ เพื่อจะได้เพิ่มความสามารถในการเอาชีวิตรอดให้นาย!”
หลงเยว่หงหน้าซีดทันที เขารู้สึกว่านี่มันน่ากลัวเสียยิ่งกว่าการออกไปสำรวจภาคสนามเสียอีก
การเริ่มปฏิบัติภารกิจอย่างเป็นทางการที่ต้องเผชิญกับอันตรายสารพัดรูปแบบนั้นจะเริ่มต้นหลังจากฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งนั่นก็ยังเป็นเวลาอีกสองสามเดือนข้างหน้า แต่ทว่าช่วงการฝึกซ้อมตอนบ่ายนั้นจะมาถึงในอีกไม่ถึงสิบนาทีนี้แล้ว
“เดี๋ยวฉันจะอัดนายให้ยับ เพื่อจะได้เพิ่มความสามารถในการเอาชีวิตรอดให้นาย!” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดซ้ำคำพูดของซางเจี้ยนเย่า เพียงแต่ว่าแทนที่จะมองที่หลงเยว่หง เธอกลับจ้องมองซางเจี้ยนเย่าแทน และทำท่าทางราวกับว่ากำลังคันไม้คันมือเป็นอย่างมาก
จากนั้นเธอก็พูดกับหลงเยว่หงหลังจากใคร่ครวญแล้ว
“ถ้าหากว่ามีโอกาส เราจะพยายามหาชุดเกราะกระดูกเสริมแรงมาให้นายให้ได้ จะได้ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้นายได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
“ถ้าได้ก็ดีเลยครับ” ดวงตาหลงเยว่หงเป็นประกาย
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ
“ที่จริงแล้วนายน่าจะลองพิจารณาเรื่องการปลูกถ่ายแขนเทียมชีวภาพนะ มันปลอดภัยกว่าการดัดแปลงพันธุกรรมมาก
“ถ้านายเป็นหนุ่มโรแมนติกที่หลงใหลเครื่องจักร อยากลองเปลี่ยนอวัยวะบางอย่างให้เป็นชิ้นส่วนจักรกลดูไหมล่ะ พวกกองกำลังใหญ่บางแห่งนี่เก่งเรื่องนี้มากเลยนะ ฉันจำได้ว่ามีแขนจักรกลรุ่นที่มีความสามารถหลากหลาย นั่นมันค่อนข้างน่าพอใจมากเลยล่ะ”
“…ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก” หลงเยว่หงยังรู้สึกชอบอวัยวะแบบเดิมๆ ของตัวเองมากกว่า
“เฮ้อ… ฉันได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมแล้วก็ยังสูงแค่ 175 แบบนี้ก็น่าจะลองเปลี่ยนดูเหมือนกันนะ” ซางเจี้ยนเย่า ‘ช่วย’ พากย์เสียงให้เขา
กล้ามเนื้อใบหน้าหลงเยว่หงกระตุก เขาพูดโพล่งขึ้นทันที
“งั้นทำไมนายไม่เปลี่ยนเองล่ะ”
“ยังไม่มีโอกาสน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
หลงเยว่หงถึงกับพูดไม่ออก
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มดีขึ้น เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันหน้าไปหาไป๋เฉินที่มองดูอยู่เงียบๆ แล้วพูดขึ้น
“คำแนะนำเมื่อกี้ก็พูดให้เธอฟังเหมือนกัน
“เทคโนโลยีการปลูกถ่ายอวัยวะเทียมชีวภาพและดัดแปลงเชิงกลไกนั้นค่อนข้างสมบูรณ์มาก จึงไม่ได้อันตรายอะไรเท่าไหร่
“อยากมาจับคู่กับฉันเป็นพี่น้องสองสาวพลังสายฟ้าไหมล่ะ”
เธอเพิ่งจะพูดจบ ซางเจี้ยนเย่าก็แสดงความเห็นออกมาก่อนที่ไป๋เฉินจะได้พูดอะไร
“หัวหน้า รสนิยมการตั้งชื่อของคุณนี่ไม่ไหวเลย
“น่าจะฟังรายการวิทยุให้น้อยลงหน่อยดีกว่า!”
“…ฉันว่านายคงโดนไฟฟ้าช็อตน้อยไปหน่อยนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนกัดฟันพูด
ไป๋เฉินค่อยๆ ผ่อนลมหายใจและพยักหน้าเล็กน้อย
“ฉันจะเก็บไปคิดดู”
“คำถามก็คือ… พี่น้องสองสาวเนี่ย ตกลงว่าใครจะเป็นพี่ใครจะเป็นน้องกันล่ะ” ซางเจี้ยนเย่า ‘ช่วย’ ไป๋เฉินพากย์เสียงอีกครั้ง
เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับชะงักไปชั่วขณะ ไม่รู้จะตอบอย่างไร นั่นก็เพราะว่าในความเป็นจริงแล้วไป๋เฉินนั้นอายุมากกว่า รวมถึงสภาพทางจิตใจเองก็ถือว่าเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากแล้วด้วย
ทว่าในฐานะหัวหน้าทีมแล้ว ถ้าจะให้ตัวเองเป็นน้องสาว งั้นก็คงเสียหน้าแย่แล้วล่ะ
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเธอนั้นวางตัวเป็นผู้พิทักษ์ที่คอยปกป้องคุ้มครองทีมมาตลอด
เพียงไม่นานเจี่ยงไป๋เหมียนก็นึกขึ้นมาได้ จึงเหลือบมองซางเจี้ยนเย่า
ในระหว่างนั้นก็หัวเราะออกมาแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราจะมีการฝึกพิเศษ
“เป็นการฝึกความกล้า”
“แล้วจะฝึกยังไงเหรอครับ” หลงเยว่หงรู้สึกกลัวอยู่บ้างนิดหน่อย
เจี่ยงไป๋เหมียนเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดอย่างยิ้มแย้ม
“ตอนกลางคืนให้อยู่ที่นี่คนเดียวตามลำพัง ไม่อนุญาตให้ใช้ไฟฉายหรืออุปกรณ์ส่องสว่างใดๆ ทั้งสิ้น”
“ทำไมฟังดูน่ากลัวจังแฮะ…” หลงเยว่หงถอนหายใจออกมา
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ
“ในการฝึกแต่ละครั้งจะทำแค่ทีละคนเท่านั้น ไม่งั้นฝึกไปก็เปล่าประโยชน์ ซางเจี้ยนเย่า คืนนี้เริ่มจากนายก่อนเลย ไป๋เฉิน เธอต่อคืนพรุ่งนี้ ส่วนหลงเยว่หงเป็นคิววันมะรืน”
เมื่อหลงเยว่หงได้ยินว่าตนเองไม่ได้เป็นคิวแรก ก็ถอนหายใจโล่งอก
“ทราบแล้ว หัวหน้า!”
ซางเจี้ยนเย่าก็พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ทราบแล้ว หัวหน้า!”
หลังจากที่ไป๋เฉินตอบรับแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็ยกมือขึ้นมาถาม
“ตอนมาอยู่ที่นี่ นอนหลับได้ไหม
“เปิดเพลงฟังได้หรือเปล่า”
“ไม่ได้ทั้งนั้น!” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบอย่างหนักแน่นและเด็ดขาด
* * * * *
หลังจากรับประทานอาหารเย็นกันเสร็จแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ก็พากันออกจากห้อง 14 กลับไปยังห้องของตนเองในแต่ละชั้น
ในเวลาเดียวกัน เจี่ยงไป๋เหมียนก็เอาไฟฉายกับแบตเตอรี่ทั้งหมดออกไปด้วย
ซางเจี้ยนเย่าอ่านข้อมูลเนื้อหาประวัติศาสตร์จากคำบอกเล่าที่หนาเตอะภายใต้แสงจากดวงไฟในห้อง บางทีก็ได้ยินเสียงประกาศแจ้งเวลาเป็นระยะ
จนกระทั่งเวลาสามทุ่ม แสงไฟทุกดวงของทั้งชั้นก็ดับลงพร้อมกัน พื้นที่ในสายตาของซางเจี้ยนเย่ากลายเป็นดำมืดสนิท
ที่นี่ไม่มีแหล่งกำเนิดแสงจากธรรมชาติ มีโต๊ะ เก้าอี้ และผนังล้อมรอบ แต่ซางเจี้ยนเย่ามองไม่เห็นแม้แต่นิ้วมือตนเอง นับประสาอะไรกับโครงร่างของสิ่งของต่างๆ รอบตัว
เขาเปิดโคมไฟตั้งโต๊ะโดยอัตโนมัติ แต่พบว่ากดสวิทช์ไปแล้วกลับไม่เกิดอะไรขึ้น
ใน ‘เขตพักอาศัย’ นั้น หลังจากที่ไฟถนนดับลงไปแล้วก็ยังสามารถใช้การปันส่วนพลังงานของตนเองเพื่อเปิดไฟในบ้านได้ แต่ที่นี่นั้นไม่เหมือนกัน หลังจากถึงเวลาดับไฟแล้วทุกห้องจะถูกตัดไฟฟ้าทั้งหมด นอกจากผู้รับผิดชอบที่เกี่ยวข้องจะยื่นความประสงค์ล่วงหน้าว่าต้องการทำงานล่วงเวลาหรือทำงานตลอดทั้งคืน
ซางเจี้ยนเย่าชักมือกลับมา มองไปรอบกายอีกครั้ง
ทุกสรรพสิ่งในครรลองสายตาเขามีแต่เพียงความมืดมิดเท่านั้น
ในความมืดอนธกาลเช่นนี้ เขาไม่อาจรับรู้ได้ว่าขอบเขตนั้นกว้างไกลออกไปเพียงใด และไม่อาจรับรู้ได้ว่าภายในสิ่งของต่างๆ ที่ตนเองคุ้นเคยนั้นมีอะไรที่ซ่อนเร้นอยู่หรือไม่
นอกจากนั้น สิ่งที่แตกต่างไปจาก ‘เขตพักอาศัย’ ก็คือห้องพักที่นั่นอยู่ติดๆ กันหลายหลัง ฉนวนป้องกันเสียงของแต่ละหลังก็มีคุณภาพเพียงแค่ระดับปานกลาง ดังนั้นทุก ‘ค่ำคืน’ ยามเมื่อผู้คนเงียบสงบลง ซางเจี้ยนเย่าก็จะได้ยินเสียงกระซิบกระซาบสนทนา และเสียงการเคลื่อนไหวที่คลอด้วยเสียงอือๆ อาๆ
ในบางครั้งก็มีเสียงเด็กร้องไห้ เสียงผู้ใหญ่ถกเถียงทะเลาะกัน รวมถึงเสียงกรนจากผู้ใดก็ไม่ทราบได้
แต่ละวันก่อนที่ซางเจี้ยนเย่าจะหลับไปนั้น ค่ำคืนมืดมิดไม่ได้เงียบสงัดจนวังเวงแบบนี้
ในสถานที่ทำงานเช่นนี้ ช่วงเวลากลางวันค่อนข้างจะอึกทึกคึกคัก แต่ทว่าหลังจากหนึ่งทุ่มไปแล้ว ตลอดทั้งชั้นอาจจะมีคนอยู่ไม่ถึงสิบคนเสียด้วยซ้ำ เมื่อถึงเวลาดับไฟก็แทบจะไม่มีผู้คนหลงเหลืออยู่เลย
ดังนั้นในเวลานี้ซางเจี้ยนเย่าจึงรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้นั้นเงียบสงัดผิดปกติราวกับถูกแช่แข็งเอาไว้
เสียงเคลื่อนไหวดังเอี๊ยดเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เป็นซางเจี้ยนเย่าที่ขยับเก้าอี้นั่งเพื่อทำลายความเงียบงันที่น่าหวาดหวั่นจนขนลุกพอง
แต่ทว่าการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวเช่นนี้ไม่อาจทำได้ตลอดเวลา เสียงนั้นแผ่วหายไปอย่างรวดเร็วราวกับถูกกลืนกินโดยความมืดทึบรอบตัวไปจนหมดสิ้น
ซางเจี้ยนเย่าซึ่งนั่งอยู่ที่นั่นพยายามเบิกตากว้างจ้องมองเข้าไปในความมืดมิดราวกับอยากจะดูว่ามีอะไรอยู่ในนั้น
ความมืดมิดเช่นนี้ ความเงียบสงัดเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกไม่แน่ใจในการดำรงอยู่ของตนเอง รู้สึกราวกับว่าจะถูกความมืดมิดกลืนกินลงไปได้ตลอดเวลา
ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด ทันใดนั้นซางเจี้ยนเย่าก็เปิดปากร้องเพลงขึ้นมา
“หวนย้อนอดีต ความคะนึงอันปวดร้าวไม่อาจลืมเลือน…”
ร้องไปร้องไปเขาก็เปลี่ยนเป็นเพลงสไตล์ที่มีจังหวะดุดันเร่งเร้ามากขึ้น
“ลุกขึ้นเถิด เหล่าทาสผู้หิวโหย…
“ลุกขึ้นเถิด ผองชนบนโลกที่ทุกข์ยาก…”
เขาตะโกนแผดเสียงราวกับต้องการทำลายความมืดมิดเงียบสงัดวังเวงในช่วงเวลานี้
หลังจากตะโกนแผดเสียงขับร้องออกไป ซางเจี้ยนเย่าก็หยุดปาก หอบหายใจเล็กน้อย
ทั้งภายในห้องนี้และตลอดทั้งชั้นนี้พลันเงียบสงัดลงอีกครั้ง ความมืดมิดยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ซางเจี้ยนเย่าสงบลงชั่วขณะแล้วก็เริ่มร้องเพลงต่ออีกครั้ง
เขาร้องๆ หยุดๆ แต่ก็ไม่มีอะไรตอบสนองกลับมา ยังคงไม่อาจทำลายความมืดลงได้
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ ซางเจี้ยนเย่าก็อ้าปากตะโกนขึ้นมา
“มีใครอยู่ไหม
“มีใครอยู่บ้าง!”
แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมาก็มีเพียงแค่เสียงสะท้อนของตัวเองเท่านั้น
แฮก แฮก
ซางเจี้ยนเย่าหายใจแรงขึ้นอย่างไม่รู้ตัวราวกับเขากำลังใช้วิธีการนี้เพื่อยืนยันการดำรงอยู่ของตัวตนของเขาเอง
ในฉับพลันนั้นเอง เขาก็หันหน้าไปมองยังตำแหน่งที่ประตูห้องตั้งอยู่
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังมาจากด้านข้างแล้วค่อยๆ เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
จากนั้นลำแสงสีเหลืองสาดส่องเข้ามาในห้อง
แล้วลำแสงนั้นก็ตวัดส่องขึ้นด้านบน ส่องสว่างให้เห็นใบหน้า ‘สีขาวสว่างโพลน’
“ฉันดูน่ากลัวไหมล่ะ” เสียงหญิงสาวดังขึ้นเบาๆ สะท้อนก้องภายในห้อง
ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองดูเจี่ยงไป๋เหมียนที่กำลังถือไฟฉายส่องใบหน้าตัวเองอยู่
“เล่นเป็นเด็กไปได้”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบกลับด้วยอารมณ์ทั้งโมโหทั้งขบขัน “ฉันก็แค่เป็นห่วงนาย เลยพยายามจะช่วยเปลี่ยนบรรยากาศหรอกย่ะ!”
เธอพูดต่อโดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับ ริมฝีปากยกยิ้ม
“นายร้องเพลงไม่เพราะเอาเสียเลย”
“คุณแอบอยู่ห้องข้างๆ เหรอ” ซางเจี้ยนเย่าถามออกมาตรงๆ
“ถัดไปสองห้องน่ะ ไม่งั้นนายที่เป็นผู้ตื่นรู้ก็คงรู้ตัวไปนานแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายด้วยรอยยิ้ม เธอเดินไปด้านข้างซางเจี้ยนเย่า ดึงเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลงไป
ต่อมาก็ส่ายไฟฉาย มองดูวงแสงวิ่งไปมา
ไม่กี่วินาทีถัดจากนั้นเธอก็พูดขึ้นแบบสบายสบาย
“การฝึกพิเศษครั้งนี้ ที่จริงแล้วออกแบบมาเพื่อนายโดยเฉพาะ
“อาการกลัวการติดอยู่ความมืดและความเงียบวังเวงของนายน่าจะเกิดขึ้นตอนช่วงที่พ่อนายหายตัวไปแล้วแม่นายก็ต้องมานอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลานานใช่ไหม
“ในตอนนั้น นายเพิ่งจะอายุเพียงแค่สิบสามสิบสี่ปี พอตื่นขึ้นมากลางดึก ไม่มีใครอยู่บ้าน รอบตัวก็เงียบสนิทไม่ได้ยินเสียงอะไร… ที่นายร้องเพลงเมื่อกี้ก็เพื่อจะปลุกขวัญกำลังใจงั้นเหรอ”
ซางเจี้ยนเย่ายังคงนิ่งเงียบ ไม่ตอบคำ
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะแล้วพูดต่อ
“ปัญหานี้ต้องค่อยๆ แก้ไปทีละเปลาะ จะไปเร่งตั้งแต่แรกเลยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่ายิ่งทำให้อาการหวาดกลัวทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก
“ดังนั้นในช่วงแรกๆ นี้ฉันก็เลยจะอยู่เป็นเพื่อนนายไปก่อน อาจจะมีพูดคุยกับนายซักสองสามคำ แต่จะไม่เปิดไฟฉายหรอกนะ
“แล้วพอนายเริ่มคุ้นชินกับสถานการณ์แบบนี้มากขึ้น ฉันก็จะไม่พูดอะไรอีก และจะออกไปนั่งห่างๆ
“ถ้าหากว่าในช่วงระหว่างขั้นตอนนี้นายไม่เกิดปัญหาด้านลบอะไรขึ้นมา ฉันก็จะออกไปอยู่อีกสองห้องถัดไปโดยไม่ให้นายเห็นหรือได้ยินเสียง เพียงแค่รู้ว่ามีคนอยู่ด้วยใกล้ๆ ก็พอ
“แล้วพอถึงช่วงเวลาหนึ่ง ฉันก็จะกลับบ้านไปเงียบๆ โดยไม่บอกให้นายรู้ตัว”
ซางเจี้ยนเย่าฟังอย่างเงียบๆ แล้วผงกศีรษะไปยังตำแหน่งที่ไฟฉายส่องมา
“ได้ครับ”
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มแล้วปิดสวิทช์ไฟฉาย
ทั้งห้องกลับมามืดสนิทอีกครั้ง แต่ทว่าในครั้งนี้มีเสียงลมหายใจของคนอื่นเพิ่มขึ้นมาด้วย