“หนึ่งเดือนกว่า สามสี่เดือน…” หลงเยว่หงทวนจำนวนตัวเลขอย่างมึนงง
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูเขาสองสามรอบ
“นายดูเหมือนไม่กลัวแล้วนี่
“หากว่ามีอะไรลำบากใจ ก็เล่าให้ทุกคนฟังได้ จะได้ช่วยกันหาวิธีแก้ไข”
ก่อนที่หลงเยว่หงจะทันได้เปิดปากตอบคำ ซางเจี้ยนเย่าก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“เป็นเพราะนาฬิกาข้อมือเรือนใหม่ ลูกอมขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มบรรจุขวด เลยทำให้ในช่วงนี้ชีวิตเขาอยู่ดีมีสุข เดินเหินเหมือนล่องลอยอยู่บนฟ้า ก็เลยไม่ค่อยเต็มใจที่จะต้องออกจากบริษัทไปอยู่ข้างนอกนะสิ”
“ซะที่ไหนกันเล่า” หลงเยว่หงแย้งออกมาโดยอัตโนมัติ
ซางเจี้ยนเย่าถามกลับทันที
“งั้นแต้มส่วนร่วมของนาย หลังจากที่หักส่วนที่ย้ายบ้านให้พ่อแม่ไปแล้ว ตอนนี้เหลืออยู่เท่าไหร่เหรอ”
โดนถามเข้าเป้าตรงประเด็นแบบนี้ ทำเอาหลงเยว่หงถึงกับลังเล ไม่กล้าตอบออกมา
หลังจากที่ได้รับค่าตอบแทนมาแล้วเขาก็ใช้ชีวิตอิสระเสรีตามใจอยากจริงๆ นั่นแหละ ขนมธรรมดาแต่ราคาสูงถึงจินละ 60 แต้มก็ยังซื้อหามากินอยู่บ่อยๆ ในบางครั้งบางคราวก็ยังซื้อสินค้าหรูหราราคาจินละ 720 แต้มอีกด้วย
สำหรับพวกลูกอม เมล็ดฟักทอง เครื่องดื่มบรรจุขวดนั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าซื้อบ่อยขนาดไหน
เรื่องนี้ทำให้เขากลายเป็นฮีโร่ขวัญใจในสายตาของพี่ๆ น้องๆ และเป็นที่อิจฉาของเหล่าเพื่อนฝูง
และก็ยังทำให้เข้าหาหญิงสาวที่เป็นเป้าหมายได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
หลงเยว่หงที่กำลังกระอักกระอ่วนเพราะถูกแฉเรื่องแต้มส่วนร่วมที่เหลือ จึงทำได้แต่เพียงต้องพูดออกมา
“แม่เพิ่งแนะนำผู้หญิงคนหนึ่งให้ผมน่ะ พวกเราได้เจอกันสองสามครั้งแล้ว มีความรู้สึกดีๆ ให้กัน
“ถ้าหากว่าตอนนี้ต้องออกเดินทางไกล อีกเดือนสองเดือนถึงจะได้กลับมา เกรงว่าต้นรักคงเฉาแล้วล่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเห็นด้วย
“นั่นก็จริง นายกับสาวคนนั้นในตอนนี้อย่างมากก็เป็นเพียงแค่คนรู้จัก จะเรียกว่าเพื่อนก็ยังไม่ได้เลย แล้วไปบอกให้รออีกสองสามเดือน ใครจะไปนั่งรอนาย”
“หัวหน้า พอจะมีวิธีช่วยไหม” หลงเยว่หงกระวีกระวาดถามขึ้นด้วยความรู้สึกเหมือนคว้าฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้
เขารู้ดีว่าภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากเบื้องบนนั้นไม่อาจปฏิเสธได้ หวังเพียงว่าหัวหน้าทีมจะสอนเทคนิคอะไรสักอย่างสองอย่างเพื่อทำให้ความสัมพันธ์นั้นมั่นคงโดยเร็วที่สุด
ถึงอย่างไรเสียหัวหน้าทีมก็เป็นหญิงสาวที่อายุยังไม่มากนัก น่าจะมีความคิดอ่านที่ใกล้เคียงกัน เข้าใจความคิดกันได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นเธอก็ยังฉลาดมากด้วย
เจี่ยงไป๋เหมียนคิดแล้วคิดอีกอย่างจริงจัง
“ไม่มี
“ถึงแม้ว่าฉันจะหาวิธีที่ทำให้พวกนายจับคู่กันได้ในตอนนี้ก็เถอะ แต่ด้วยความที่พวกนายไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง เกรงว่าอีกสองสามเดือนให้หลัง พอนายกลับมาถึง อาจจะเจ็บช้ำระกำใจยิ่งกว่านี้อีก”
“เฮ้อ…” หลงเยว่หงทอดถอนใจ
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนเห็นเช่นนี้ก็พูดปลอบใจ
“นี่ก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องแย่หรอกนะ”
“หือ” หลงเยว่หงพลันรู้สึกถึงความคาดหวังอยู่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าหัวหน้าทีมจะบอกอะไร
ไป๋เฉินไม่ปล่อยให้หลงเยว่หงมัวแต่รันทดหดหู่ รีบถามขัดขึ้นมา
“หัวหน้า ทำไมพวกเราถึงต้องไปเมืองหญ้าไพรด้วยล่ะ”
“เพื่อไปเยี่ยมชมแดนวิสุทธิ์ของชุมนุมหลวงจีนสินะ” ซางเจี้ยนเย่ารีบตอบออกมาทันที
สีหน้าหลงเยว่หงเปลี่ยนเป็นซีดเผือดในฉับพลัน
“พูดอะไรของนายกันยะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตวาดอย่างฉุนเฉียวก่อนจะอธิบายออกมา “เรื่องมันก็คือว่า…”
เธอเล่าถึงการหายสาบสูญของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ที่เมืองหญ้าไพร และอธิบายถึงภารกิจที่ต้องทำอย่างละเอียด
“นั่นมันไม่อันตรายเกินไปหน่อยเหรอ” หลงเยว่หงโพล่งออกมาทันที “ต้องเดินทางผ่านแดนกันดารหลวงจีน แล้วก็ยังต้องรับมือเรื่องการหายไปของสมาชิก ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งทีม…”
เขายังคงจำฝังใจเกี่ยวกับอาจารย์เซน หลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่า กลัวว่าครั้งต่อไปที่ได้พบเจอกันเขาอาจจะกลายเป็นผู้ถูกลิขิตก็ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลวงจีนจักรกลแต่ละตนนั้นต่างก็มีนิสัยใจคอแปลกประหลาด ต่างก็มีความบ้าคลั่งเจือปนอยู่บ้าง จะทำยังไงถ้าไปเจอกับหลวงจีนประเภทที่พอได้ยินว่าชื่อของเป้าหมายเป็นชื่อไม่ดีก็จัดการลงมือเชือดทิ้งทันที
แดนกันดารหลวงจีนนั้นเป็นสถานที่เล่าลือกันว่าเป็นสถานที่ตั้งกองบัญชาการลับของแดนวิสุทธิ์มายาแห่งชุมนุมหลวงจีน สาเหตุที่พื้นที่บริเวณนั้นได้รับการเรียกขานชื่อเช่นนี้ก็เพราะมีหลวงจีนจักรกลเคลื่อนไหวในแถบนั้นอยู่บ่อยครั้ง
เมื่อได้ยินคำว่าแดนกันดารหลวงจีน ความคิดของซางเจี้ยนเย่าก็กระโดดทันที
“ไม่รู้ว่าอาจารย์เซนจิ้งฝ่าได้เคยเทศนาพระธรรมให้เฉียวชูฟังบ้างหรือเปล่านะ…”
เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกขบขันขึ้นมา
“คนบาปแบบนั้น สมควรต้องถูกเอาไปทำเป็นหลวงจีนจักรกลซะ
“พวกนายลองคิดดูนะ มีนกอินทรี มีฝูงไฮยีน่า แล้วก็ฝูงสัตว์ร้ายมารุมล้อมหุ่นจักรกล ต่างก็เยื้อแย่งกันเข้าใกล้ เข้ามาคลอเคลียเขา แต่หุ่นจักรกลก็ไม่สนใจพวกมัน นั่งนิ่งอยู่บนก้อนหินเอาแต่พร่ำสวดมนต์ภาวนาด้วยเสียงสังเคราะห์ อรรถาพระธรรม จุ๊ จุ๊…”
หลังจากจินตนาการเตลิดเปิดเปิงไปครู่หนึ่ง เจี่ยงไป๋เหมียนก็สลัดความคิดพวกนั้นทิ้งไปได้ทันเวลา หันมาปลอบใจหลงเยว่หง
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก เราจะวางแผนการเดินทางให้หลีกเลี่ยงเส้นทางที่ผ่านแดนกันดารหลวงจีน จะเข้าเมืองหญ้าไพรจากอีกด้านนึง ถึงแม้ว่าจะอ้อมกว่า แต่ก็ปลอดภัยกว่า
“พอไปถึงเมืองหญ้าไพร ที่นั่นจะมีเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของบริษัทที่จะทำงานร่วมกับเรา และมีกำลังพลที่จะเรียกใช้ได้ มันไม่ได้อันตรายขนาดนั้นหรอก
“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…”
เมื่อพูดถึงคำว่า ‘โดยเฉพาะอย่างยิ่ง’ เจี่ยงไป๋เหมียนก็มีท่าทางยิ้มแย้มออกมา
“นี่เป็นโอกาสเหมาะสมที่สุดที่จะให้ซางเจี้ยนเย่าได้ทำการแสดง
“ในการยิงต่อสู้กัน พลังพิเศษของเขานั้นค่อนข้างถูกจำกัด แต่ถ้าเป็นสภาพแวดล้อมที่สงบสุขที่ผู้คนมักจะติดต่อปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ อยู่ตลอด เขาแทบจะไร้เทียมทานเลยล่ะ”
พูดจบเจี่ยงไป๋เหมียนก็ตบไหล่ซางเจี้ยนเย่า
“ถึงเวลาผูกมิตรสร้างเพื่อนแล้ว!”
ไป๋เฉินที่ตั้งใจฟังอยู่นั้นก็พลันนึกถึงภาพที่ซางเจี้ยนเย่าทำการ ‘ผูกมิตรสร้างเพื่อน’ อย่างบ้าคลั่งหลังจากที่เข้าสู่เมืองหญ้าไพร
ทำเอาเธอถึงกับขนลุกขนพองอย่างบอกไม่ถูก
นั่นเพราะเธอรู้สึกหวั่นวิตกว่าจะมีองค์กรชื่อ ‘ภาคีภราดรภาพแห่งซางเจี้ยนเย่า’ ปรากฏขึ้นมาในเมืองหญ้าไพร
พอคิดมาถึงตรงนี้ไป๋เฉินก็หันหน้ามามองซางเจี้ยนเย่าโดยสัญชาตญาณทันที และพบว่าคนผู้นี้กำลังดวงตาเป็นประกายราวกับว่ากำลังกระหายที่จะทำสิ่งนี้เช่นกัน
“หัวหน้า พวกเราออกเดินทางกันในวันนี้เถอะ” ซางเจี้ยนเย่าเสนอ
เจี่ยงไป๋เหมียนถลึงตาใส่เขา
“เลิกคิดไปได้เลย
“อีกสามวันข้างหน้านายยังต้องให้ความร่วมมือในการสอบปากคำซะก่อน”
“สอบปากคำ” หลงเยว่หงรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง
จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็เล่าถึงเรื่องนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ และเน้นในการมีส่วนร่วมของซางเจี้ยนเย่า
“ที่แท้ ‘โรคไร้ใจ’ ของลุงเสิ่นก็มีสาเหตุมาจากแบบนี้นี่เอง…” ในที่สุดหลงเยว่หงก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้เป็นช่วงพายุโหมกระหน่ำคลื่นใต้น้ำปั่นป่วน
เขาพูดพึมพำกับตัวเอง แล้วก็พลันหันขวับมองมาที่ซางเจี้ยนเย่า
“นายไปเข้าลัทธินอกรีตนี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เดือนเจ็ด” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างใจเย็น
“แล้วทำไมถึงไปเข้าร่วมกับพวกเขาล่ะ” หลงเยว่หงถามด้วยความสงสัย
ซางเจี้ยนเย่าเลิกคิ้ว
“ก็มันสนุกดีน่ะ แถมยังได้เบาะแสเอาไว้ให้รายงานทีหลังด้วย”
“แล้วทำไมถึงไปเข้าร่วมตั้งหลายครั้ง รีบรายงานซะตั้งแต่แรกก็จบเรื่องไปแล้วไม่ใช่หรือไง” หลงเยว่หงรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล
สีหน้าซางเจี้ยนเย่าพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจังทันที
“ก็มันอร่อยมากน่ะ
“ศีลมหาสนิทนี่อร่อยสุดๆ”
หลังจากนี้ไปคงไม่มีศีลมหาสนิทให้กินฟรีอีกแล้ว
“…” ปฏิกิริยาตอบสนองเพียงอย่างเดียวของหลงเยว่หงก็คือสีหน้าว่างเปล่า
เจี่ยงไป๋เหมียน ‘ปลอบใจ’ ซางเจี้ยนเย่า
“ที่เมืองหญ้าไพรมีนิกายพวกนี้อยู่ไม่น้อย บ้างก็เปิดเผย บ้างก็แอบทำ
“พอถึงตอนนั้นนายอยากจะไปเข้าร่วมบ่อยแค่ไหนก็ตามใจเลย กินศีลมหาสนิทให้เต็มคราบได้อย่างที่ต้องการ ฉันว่าเรื่องนี้คงไม่ยากสำหรับนายใช่ไหมล่ะ”
“หัวหน้า พวกเราออกเดินทางกันวันนี้เลยเถอะ” ซางเจี้ยนเย่าเสนอขึ้นอีกครั้งอย่างจริงใจและกระตือรือร้น
เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกรำคาญที่จะตอบเขาอีก เธอหันหน้าไปพูดกับไป๋เฉิน
“พออ่านข้อมูลเสร็จแล้ว เธอก็มาช่วยฉันวางแผนการเดินทางไปเมืองหญ้าไพรด้วย หาเส้นทางซักสองสามเส้นทาง”
จากนั้นเธอก็พูดกับหลงเยว่หง
“ในช่วงสองสามวันนี้นายก็ไปเที่ยวเล่นให้พอใจ ใช้เวลากับครอบครัวให้มากหน่อย และเตรียมพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจเอาไว้ด้วย”
“ทราบแล้ว หัวหน้า!” หลงเยว่หงและไป๋เฉินตอบพร้อมเพรียงกัน
“ไม่เลว มีขวัญกำลังใจดีมาก” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็พูดต่อ “การฝึกพิเศษจะยังคงมีต่อไปตามเดิม พอออกจากบริษัทไปก็จะไม่มีสภาพแวดล้อมที่ดีแบบนี้อีกแล้ว อ้อ มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งนิดหน่อย คนที่แสดงออกได้ดีก็ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วม อย่างเช่นไป๋เฉิน”
ขณะที่พูดเธอก็มองไปที่ซางเจี้ยนเย่า
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะอย่างเคร่งขรึม
ดวงตาเจี่ยงไป๋เหมียนวูบไหวราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
“ฉันต้องไปเตรียมตัวสำหรับตัวเองเพิ่มอีกหน่อย…”
จากนั้นโดยไม่รอให้หลงเยว่หงเอ่ยปากถาม เธอก็ตบมือแล้วพูดต่อ
“เอาล่ะ มาดูข้อมูลกัน”
* * * * *
เวลาสามทุ่มของวันถัดมา ภายในห้องอันมืดมิดของ ‘ทีมสำรวจเก่า’
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูเงาร่างของซางเจี้ยนเย่าที่มองแทบไม่เห็นในความมืด ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“เป็นไงบ้าง การสอบปากคำเมื่อกี้ไม่เกิดอะไรผิดปกติใช่ไหม”
“ไม่มีครับ” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยความมั่นใจเกินร้อย
เจี่ยงไป๋เหมียนยังคงถามต่ออย่างไม่วางใจ
“พวกเขาพูดอะไรบ้าง”
“เขาบอกว่าผมพูดจาดีมีความสุภาพ” ซางเจี้ยนเย่าถ่ายทอดคำพูด
“มีอะไรอีก” เจี่ยงไป๋เหมียนขมวดคิ้วเล็กน้อย
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างคล่องปากไม่ติดขัด
“ชมว่าผมมีขวัญกำลังใจดี”
“นี่มัน… ฟังแล้วเหมือนจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่…” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยความกังขา
ซางเจี้ยนเย่านึกทบทวนแล้วพูดต่อ
“จากที่พวกเขาร้องขอ ผมเลยเอาใบรับรองแพทย์ให้พวกเขาดู หลังจากนั้นพวกเขาก็บอกว่าไม่มีคำถามอะไรอีก แล้วก็บอกว่าถ้าหากมีเรื่องอะไรอยากสอบถามเพิ่มเติมก็จะมาคุยกับผมอีก”
เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามนึกภาพเหตุการณ์ตอนนั้น
“ไม่มีปัญหาอะไรก็ดีแล้วล่ะ” เธออดถอนหายใจไม่ได้
แล้วเธอก็ลุกขึ้นยืนและพูดกับซางเจี้ยนเย่า
“ฉันจะไปที่อีกสองห้องถัดไปละนะ”
เธอยิ้มแล้วเสริมต่ออีกหนึ่งประโยค
“แต่ในคราวนี้ บางทีฉันอาจจะกลับไปเงียบๆ หรืออาจจะไม่ไปก็ได้”
“ครับ” ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้รั้งเธอไว้
ในความมืดนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนเดินตรงไปที่ประตูอย่างลื่นไหล หลังจากนั้นก็หันกลับมาแล้วพูดต่อ
“เดิมทีฉันอยากจะบอกว่ามนุษย์จะสามารถไปถึงจุดสูงสุดได้ก็มีแต่ต้องพึ่งพาตนเองเท่านั้น แต่การพูดจาอะไรแบบนั้นในเวลาแบบนี้นี่… เหอะ เหอะ พูดแล้วมันก็เศร้าหน่อยนะ”
เธอเงียบไปชั่วขณะ ในสภาพแวดล้อมที่มองไม่เห็นแม้แต่นิ้วมือตัวเองหรืออีกฝ่ายหนึ่ง เธอพูดต่ออย่างแผ่วเบา
“ที่จริงแล้วไม่มีใครสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยลำพังหรอก เมื่อตอนเรายังเป็นเด็ก เราพึ่งพาพ่อแม่มากที่สุด ตอนเราเติบใหญ่ขึ้นมาแล้วก็อาจจะต้องพึ่งพาญาติพี่น้อง คู่ชีวิต มิตรสหาย ลูกหลาน
“พวกเราทั้งสี่คนนั้นนับว่าเป็นสหายที่ผ่านประสบการณ์ร่วมเป็นร่วมตายมาหลายครั้งหลายหน ในสถานการณ์ส่วนใหญ่แล้วฉันคิดว่าพวกเราสามารถไว้วางใจกันได้ สามารถช่วยระวังหลังให้กันได้ และมุ่งฝ่าไปข้างหน้าด้วยกันได้
“การพึ่งพาคนอื่นนั้นไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร นายยังคงต้องให้คนอื่นพึ่งพาด้วย และนายก็ยังต้องคอยปกป้องเพื่อนพ้องด้วย
“ลูกนกนั้นสุดท้ายก็ต้องจากพ่อแม่ไป โผบินทะยานไปสู่ท้องฟ้าสีครามกับพวกเพื่อนๆ”
ถึงแม้ว่าซางเจี้ยนเย่าจะมองไม่เห็นเจี่ยงไป๋เหมียน แต่ก็สามารถได้ยินถ้อยคำของเธออย่างชัดเจน เขานิ่งเงียบและครุ่นคิดมากมาย
จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็หัวเราะเยาะตนเอง
“ฮ่า ฮ่า ไม่ทันระวัง เลยเผลอหยิบยกเอาวรรณกรรมมาพูดรวมไปด้วย สรุปก็คือ ฉันอยากจะบอกนายว่า…
“นายมีเพื่อนพ้อง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด นายก็จะไม่ต้องก้าวไปเพียงลำพัง”
ความมืดมิดพลันเงียบงันลงอีกครั้ง แต่เจี่ยงไป๋เหมียนก็รีบทำลายมันลงอย่างรวดเร็ว
“พอเลย นายไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น กลัวนายทำเสียอารมณ์”
แล้วเธอก็พูดด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าเกิดกลัวขึ้นมา จำไว้ว่าตะโกนเรียกฉันได้ แต่ว่าฉันอาจไม่อยู่ก็ได้”
เสียงเธอจางหายไป และเธอก็หายลับไปที่ทางเดิน