เหล่าสาวกผู้ศรัทธาของ ‘เนตรศักดิ์สิทธิ์’ ต่างพากันยกนิ้วโป้งขึ้นมากดที่ใต้หัวคิ้วตามเสียงผู้หญิงที่ดังขึ้น
และนิ้วที่เหลือก็ยืดออกไปกดอยู่ที่หน้าผาก
“หนึ่ง สอง สาม สี่…”
พวกเขาทำตามเสียงที่ดังฟังชัดอย่างเป็นจังหวะและขั้นตอน กดนวดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
หลงเยว่หงถึงกับตาค้างอ้าปากกว้าง สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นพิกล
ถ้าหากเขาจำไม่ผิดละก็ นี่ก็คือ ‘ท่าบริหารดวงตา’ ที่โรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ทำอยู่เป็นประจำทุกวัน
ที่แตกต่างไปบ้างก็มีแค่รายละเอียดของท่วงท่ากับความยาวของชื่อเรียกแค่นั้นเอง
ในที่สุดหลงเยว่หงก็ได้สติกลับคืนมา เขาหันไปมองเจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่า
เจี่ยงไป๋เหมียนเม้มปากแน่นสนิท กล้ามเนื้อที่แก้มและผมหางม้ากระตุกสั่นไหวเล็กน้อย ส่วนซางเจี้ยนเย่านั้นหลับตาลงไปตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ กำลังทำท่าทางตามไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก
หลงเยว่หงกำลังคิดจะกระซิบกระซาบแต่ทว่าเจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันหันหน้ามามองเขา
จากนั้นหัวหน้า ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ยกมือขึ้นมาแล้วทำท่ารูดซิปปาก
หลงเยวหงเข้าใจทันที จึงปิดปากสนิทไม่เอ่ยคำ
ไป๋เฉินมองดูพวกเขาอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าทำไมสมาชิกทีมของตนนั้นถึงได้มีปฏิกิริยาท่าทางเช่นนี้
“ขั้นที่สอง ถูจุดจิงหมิง…[1]
“ขั้นที่สาม คลึงจุดซื่อไป๋…[2]
“ขั้นที่สี่ หมุนรอบเบ้าตา…”
บรรยากาศอันเคร่งขรึมศักดิ์สิทธิ์แห่งพิธีมิสซาของนิกาย ‘เนตรศักดิ์สิทธิ์’ ค่อยๆ สิ้นสุดยุติลงในที่สุด
เฟอร์ลินซึ่งยืนอยู่ที่ประตูรถอาร์วีลืมตาขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงสวดภาวนา
“ดวงตานั้นศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง
“รักถนอมดวงตาก็คือรักถนอมชะตาชีวิตตน!”
เหล่าผู้ศรัทธาวางนิ้วชี้ทั้งสองข้างไว้ที่เบ้าตาด้านล่างอีกครั้ง และตอบรับด้วยเสียงอันดัง
“ขอให้ดวงตากระจ่างใส”
เฟอร์ลินก็ทำเช่นเดียวกัน แต่หากไม่ได้พูดถ้อยคำเดียวกัน เขากล่าวสรรเสริญ ‘ทวิตะวัน’ แห่งผู้ครองกาล
“องค์เทพคือสุริยันจันทรา!”
หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนนี้ เขาก็ประกาศด้วยเสียงอันดังกังวาน
“ต่อไป รับศีลมหาสนิท”
พูดจบเขาก็กระโดดลงมาจากประตูเพื่อเปิดทางให้
มีสาวกผู้ศรัทธาสองสามคนก้าวเข้าไปข้างในแล้วนำถาดพลาสติกสีส้มออกมาจากห้องครัว
ในถาดนั้นมีจานเรียงซ้อนกันอยู่ ในจานแต่ละใบมีแครอทนึ่งอยู่หลายชิ้น
เฟอร์ลินมองมายังซางเจี้ยนเย่าและพวกพ้อง จากนั้นก็อธิบายด้วยน้ำเสียงเทศนา
“นี่คือของกำนัลจากผู้ครองกาล
“จะช่วยให้ดวงตาแจ่มชัดขึ้น”
“ขอให้ดวงตากระจ่างใส” ซางเจี้ยนเย่าพูดตอบรับหนึ่งประโยค แต่ไม่ได้ทำท่าทางประกอบ
เฟอร์ลินค่อนข้างใจกว้าง ยื่นศีลมหาสนิทให้แขกแต่ละคน รวมถึงช้อนและตะเกียบด้วย
หลงเยว่หงกล่าวขอบคุณ เอื้อมมือไปรับมาก่อนจะกินด้วยความเร็วตามปกติ
ถึงแม้ว่าแครอทนึ่งนี้จะรสชาติอ่อนและไม่ได้มีเครื่องปรุง ทว่าสำหรับหลงเยว่หงที่สุดแสนจะเบื่อหน่ายธัญพืชอัดแท่ง บิสกิตอัดแข็ง และอาหารกระป๋องทหารแล้ว นี่นับว่ามีรสชาติอร่อยไม่น้อย
หลังจากกินศีลกันเสร็จแล้ว พิธีมิสซาก็สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ เฟอร์ลินเดินเข้าไปหาซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ พูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม
“สำหรับคนอย่างพวกเราที่ต้องขับรถกันไกลๆ อยู่บ่อยๆ ดวงตาของพวกเราจึงสำคัญมาก
“นี่เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ฉันเข้าร่วมกับนิกาย ‘เนตรศักดิ์สิทธิ์’
“พวกคุณดูสิ ป่านนี้ฉันยังไม่มีภาวะสายตายาวของผู้สูงอายุเลย”
“จริงด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจเหตุผลที่ ‘คนไร้ราก’ ยินดีเข้าร่วมกับ ‘เนตรศักดิ์สิทธิ์’ อย่างเต็มใจ
นี่ล้วนเป็นเพราะสภาพแวดล้อมกับขนบธรรมเนียมในการดำรงชีพของพวกเขานั่นเอง
“พวกคุณไม่มีแว่นสายตาใส่กันเหรอ”
“มีแหละ” เฟอร์ลินคิดว่าน้องรักคนนี้กำลังแสดงความห่วงใย เขาจึงอธิบายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “มีกองกำลังหลายแห่งที่ยังมีอุปกรณ์และเทคโนโลยีเรื่องการเจียรไนแก้ว แต่ว่ากองกำลังที่สามารถผลิตเลนส์ที่ทำให้ดวงตามองเห็นได้ชัดเจนเหมือนกับสมัยโลกเก่านั้นมีน้อย น้อยมาก”
“และนอกจากนี้ แว่นตานั้นเป็นสิ่งของนอกกาย ระหว่างที่เราเดินทางผ่านแดนร้างหรือสถานที่อื่นๆ นั้นอาจจะไม่เจอมนุษย์แม้แต่คนเดียว หรือถึงจะได้เจอ แต่ไม่ได้แปลว่าเขาจะช่วยทำแว่นตาให้ได้
“งั้นในระหว่างนี้ถ้าทำแว่นแตก ก็ไม่กลายเป็นคนตาบอดไปเลยเหรอ แบบนั้นจะขับรถได้ยังไง
“ต่อให้เตรียมแว่นสำรองเอาไว้ก็เถอะ แต่มันก็ไม่ได้ป้องกันไม่ให้สายตาเสื่อมลงไปอีก ถ้าเป็นแบบนั้น ไอ้ที่เตรียมเอาไว้ก็ใช้งานไม่ได้แล้ว”
หลังจากที่อธิบายข้อเท็จจริงและหลักเหตุผลไปแล้ว เฟอร์ลินก็ถามด้วยรอยยิ้ม
“เป็นไงบ้าง ฟังแล้วรู้สึกยังไงเกี่ยวกับ ‘เนตรศักดิ์สิทธิ์’ ของพวกเราบ้าง สนใจอยากเข้าร่วมไหมล่ะ”
นี่ถ้าพวกบรรดาญาติพี่น้องเพื่อนฝูงใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ เกิดรู้ว่าฉันเข้านิกายนี้ละก็ สงสัยคงได้ถูกล้อถูกหัวเราะเยาะไปจนตายแหงๆ เจี่ยงไป๋เหมียนพึมพำอยู่ในใจ เธอไม่ได้ตอบออกไปแต่มองไปที่ซางเจี้ยนเย่า
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงใจ
“ผมรู้สึกว่าตนเองไม่มีวาสนาต่อ ‘เนตรศักดิ์สิทธิ์’ น่ะ”
“น่าเสียดาย…” เฟอร์ลินแสดงความเสียดายออกมา
แล้วเขาก็ชี้ไปยังทิศทางที่รถจี๊บของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ จอดอยู่
“พวกคุณไปรอฉันก่อน เดี๋ยวไว้ให้ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วจะตามไปคุยเรื่องการทำสี”
“ได้ค่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบตอบรับทันที
ระหว่างที่กำลังเดินไปยังรถจี๊ป หลงเยว่หงก็หันกลับมามอง แล้วครุ่นคิดก่อนจะถามซางเจี้ยนเย่า
“เหตุผลที่นายปฏิเสธพวกเขาไปนี่ เป็นเพราะว่าศีลไม่ค่อยอร่อยอย่างนั้นเหรอ”
“นี่เป็นเพราะว่าเราไม่มีชะตาต่อกันต่างหาก” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยท่าทีสงบ
“ฮ่า ฮ่า ฉันรู้แล้วน่า” หลงเยว่หงค่อนข้างมีความสุข
เขาคิดว่าศีลที่เป็นเพียงแครอทธรรมดาธรรมดา นั้นค่อนข้างจืดชืดเกินไป ไม่ได้ทำให้ซางเจี้ยนเย่าสนใจ
ไป๋เฉินซึ่งตอนนี้ผสมผสานรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับกลุ่มไปแล้ว เธอเห็นว่าเป็นช่วงจังหวะที่ถามได้แล้วจึงถามออกมาด้วยความสงสัย
“ทำไมตอนที่เห็นพิธีมิสซาของ ‘เนตรศักดิ์สิทธิ์’ พวกคุณถึงมีปฏิกิริยาขนาดนั้นล่ะ”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ ในที่สุดเจี่ยงไป๋เหมียนก็ไม่อาจกลั้นหัวเราะไว้ได้อีกต่อไป เธอหัวเราะตัวโยนจนแทบจะเดินไม่ไหว
ผ่านไปชั่วครู่กว่าที่เธอจะสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วตอบออกมา
“พอดีว่าฉันคุ้นเคยกับพิธีมิสซาของพวกเขามากไปหน่อยน่ะ
“ในบริษัท นักเรียนทุกคนต่างก็คุ้นเคยด้วยกันทั้งนั้น!”
เมื่อเห็นว่าไป๋เฉินยังคงไม่เข้าใจ เธอก็เปรียบเทียบให้ฟัง
“เธอยังจำท่าบริหารออกกำลังกายตอนเช้าของเมืองน้ำล้อมได้ใช่ไหมล่ะ
“พิธีมิสซานั่นก็คือท่าออกกำลังกายตอนเช้าสำหรับโรงเรียนประถมและมัธยมของบริษัทนั่นแหละ
“ฮ่า ฮ่า นี่เป็นมรดกจากโลกเก่าจริงๆ แต่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผู้ครองกาลแม้แต่นิดเดียว พวกเขาเห็นว่ามันเกี่ยวข้องกับดวงตา ก็เลยจับมาโยงเข้ากับพิธีมิสซา ฮ่า ฮ่า ไม่ไหวแล้ว… ฮ่า”
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะอย่างหนักจนหลงเยว่หงอดหัวเราะตามไม่ได้
ไป๋เฉินเริ่มเข้าใจแล้ว เมื่อเธอนึกถึงฉากที่นิกาย ‘เนตรศักดิ์สิทธิ์’ นำท่าออกกำลังกายตอนเช้าของเมืองน้ำล้อมมาทำเป็นพิธีมิสซา ก็ทำให้อดยิ้มน้อยๆ ออกมาไม่ได้
ซางเจี้ยนเย่าถามขึ้นมาทันที
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากว่าพวกผู้บริหารระดับสูงของบริษัททั้งหมดเป็นสาวกของนิกาย ‘เนตรศักดิ์สิทธิ์’ ล่ะ แล้วก็เจตนานำวิธีการนี้มาเป็นท่าออกกำลังกาย”
“จะเป็นไปได้ไงกัน…” หลงเยว่หงพูด ทว่าน้ำเสียงนั้นกลับค่อยๆ อ่อนแรงลง
ถ้าหากว่าเรื่องนี้เป็นความจริง นี่มันก็น่ากลัวเกินไปแล้ว!
เจี่ยงไป๋เหมียนถลึงตาใส่ซางเจี้ยนเย่า
“เลิกเล่าเรื่องผีได้แล้ว!
“ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ป่านนี้พวกเราก็กลายเป็นสาวกของ ‘เนตรศักดิ์สิทธิ์’ ไปตั้งนานแล้วย่ะ”
ระหว่างที่กำลังคุยกัน พวกเขาก็เดินกันมาถึงรถจี๊ป
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูรถของตน แล้วค่อยๆ ตกอยู่ให้ห้วงภวังค์
“หัวหน้าคิดอะไรอยู่เหรอ” หลงเยว่หงรออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามออกมาด้วยความสงสัย
เจี่ยงไป๋เหมียนตอบอย่างใช้ความคิด
“ฉันกำลังสงสัยว่าเราสามารถใช้อาการ ‘ผมร่วงอย่างรุนแรง’ และ ‘เสพติดการมีเพศสัมพันธ์’ มาสรุปได้ไหมว่านี่เป็นลักษณะของผู้ตื่นรู้ในเขตพลังของ ‘ทวิตะวัน’
“ตู้เหิงบอกว่ามันแสดงให้เห็นถึงการสละและลักษณะพลังพิเศษอย่างคลุมเครือ”
ซางเจี้ยนเย่ารีบเดาต่อทันที
“ทำให้คู่ต่อสู้ผมร่วง และวิปริตเบี่ยงเบนเหรอ”
“…เป็นพลังพิเศษที่ส่งผลต่อจิตใจ” หลงเยว่หงจินตนาการต่อเนื่อง
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองซางเจี้ยนเย่า
“ฉันกำลังมองหาจุดร่วมอยู่
“แต่ก็ยังไม่สามารถฟันธงลงไปได้ว่าผู้ตื่นรู้คนที่สองที่เฟอร์ลินพูดถึงนั้นเป็นสาวกของ ‘เนตรศักดิ์สิทธิ์’ ด้วยหรือเปล่า
“แต่ถ้าใช่ อย่างนั้นฉันก็คิดว่าสิ่งที่มีเหมือนกันก็คือมันเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน”
ในบรรดาคนเร่ร่อนแดนร้างทั้งหลายนั้น ไป๋เฉินจัดได้ว่ามีการศึกษาระดับพื้นฐานค่อนข้างดี ดังนั้นเธอจึงพอจะประเมินคร่าวๆ ได้ว่าฮอร์โมนคืออะไร
หลังจากใคร่ครวญแล้วเธอก็พูดขึ้น
“แบบนี้ขอบเขตก็กว้างมาก”
“นั่นก็จริงแหละ แต่เป็นเพราะตอนนี้พวกเรามีข้อมูลน้อยเกินไป ก็เลยคาดเดาได้เพียงเท่านี้” เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” มาคำหนึ่ง
“นอกจากนี้ คำสอนของพวกเขาก็มุ่งเน้นไปทางด้านสายตา พลังพิเศษของพวกเขาอาจจะเกี่ยวข้องกับการมอง ฮ่า ฮ่า นี่ถ้าพวกผู้ตื่นรู้ของ ‘เนตรศักดิ์สิทธิ์’ จะทำได้ถึงขั้นว่าเกือบจะล่องหนได้นี่ ฉันก็ไม่แปลกใจล่ะ”
เธอไม่ได้พูดถึงกรณีว่าหากได้พบผู้ตื่นรู้เช่นนี้แล้วจะป้องกันได้อย่างไร
ในขณะที่สมาชิกทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ กำลังพูดคุยสนทนากันอยู่นั้น เฟอร์ลินซึ่งเปลี่ยนไปสวมเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำตัวเมื่อวานก็เดินมาถึง
เขายังคงสะพายซองปืนเอาไว้ที่เอว ข้างในนั้นมีปืนลูกโม่ ‘อสรพิษ’ อยู่
หลังจากทักทายกันเสร็จแล้ว เขาก็มองดูรถจี๊ปของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะพูดขึ้นมา
“เปลี่ยนเป็นสีเขียวลายพรางแบบทหารไหม
“สำหรับรถจี๊ปแล้ว นี่เป็นเรื่องปกติที่เจอได้ทั่วไป ไม่เตะตาคนเท่าไหร่”
“ได้เลย” เจี่ยงไป๋เหมียนเคารพความคิดเห็นของ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ อย่างเต็มที่
เฟอร์ลินถามต่อ
“แล้วพวกคุณวางแผนไว้ว่าจะให้ส่งตัวเองไปเมืองหญ้าไพรด้วยวิธีไหน
“พวกเรามีรถบรรทุกขนาดพิเศษที่สามารถบรรจุรถจี๊ปเข้าไปได้นะ”
“ไม่ต้องรบกวนขนาดนั้นหรอกค่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดแทนความคิดของซางเจี้ยนเย่าซึ่งเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเขา “คุณแค่ส่งขบวนคาราวานเล็กๆ ไป แกล้งทำเป็นว่าจะไปทำการค้าที่เมืองหญ้าไพรก็พอ พวกเราแฝงตัวอยู่ในนั้นได้ และถ้าพวกคุณมีแผนจะไปทำการค้าจริงๆ อยู่แล้ว แบบนั้นก็ยิ่งดีใหญ่”
เฟอร์ลินหัวเราะออกมา
“บังเอิญอะไรขนาดนั้น!”
หลังจากหัวเราะเสร็จ เขาก็อธิบายเสริม
“พวกเราว่าจะส่งขบวนรถไปเมืองหญ้าไพรอยู่พอดี ไปดูว่าพอจะหาอาหารอะไรกลับมาเพิ่มได้บ้างไหม”
“พวกคุณมีอาหารสำรองไม่พอเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนเดาว่านี่ไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริง แต่ก็ยังถามออกมาโดยเจตนา
เฟอร์ลินถอนหายใจ
“ปีนี้อากาศไม่ค่อยจะดีนัก ผลผลิตหลายๆ แห่งก็ลดลงไปไม่น้อย
“เตรียมเอาไว้มากหน่อยก็อาจจะช่วยชีวิตได้ก็ได้ และถ้ามีมาก ก็ยังขายออกเพื่อเอาไปซื้อของที่ดีกว่าได้อีก”
เมื่อพูดมาถึงประโยคหลัง สีหน้าเขาก็เริ่มปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะติดตามคาราวานของคุณไปด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ถามอะไรเพิ่มอีก “แล้วเราต้องจ่ายอาหารให้พวกคุณกี่กระป๋อง หรือสนใจเป็นธัญพืชอัดแท่งกับบิสกิตอัดแข็งบ้างไหม”
“เหล้าของเมื่อคืนรวมกับอาหารเย็น… งานทำสีรถของวันนี้ และการให้ความคุ้มครองวันพรุ่งนี้… ทั้งหมดรวมคิดราคาแค่อาหารสิบกระป๋องก็พอ แต่ถ้าหากพวกคุณมีไม่ถึง งั้นใช้เป็นธัญพืชอัดแท่งกับบิสกิตอัดแข็งคละกันมาก็ได้” เฟอร์ลินแจ้งตัวเลขออกมาอย่างรวดเร็ว
เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจโล่งอก
“ก็มีพออยู่ล่ะ”
รอยยิ้มของเฟอร์ลินเริ่มผ่อนคลาย
“งั้นพวกเราก็ออกเดินทางกันพรุ่งนี้เช้า น่าจะไปถึงที่นั่นก่อนเที่ยง”
“เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ” ถึงแม้ว่าเจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้คิดจะใช้ทางอ้อม แต่เธอก็รู้ว่าต้องใช้เวลาถึงหนึ่งวันเต็มสำหรับการเดินทาง
เฟอร์ลินยิ้มออกมา
“ก่อนหน้านี้เมืองหญ้าไพรได้ส่งคนมาซ่อมสะพานข้ามแม่น้ำขุ่นที่ชำรุด ตอนนี้ใช้การได้แล้ว ทำให้ไม่ต้องใช้ทางอ้อมไปขึ้นสะพานที่อื่นอีก”
แม่น้ำขุ่นนั้นคือชื่อของแม่น้ำเขียวในช่วงที่มันไหลผ่านแดนกันดารหลวงจีน
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ
“ได้ค่ะ ตกลงตามนั้น”
* * * * *
[1] จุดจิงหมิง (睛明穴) เป็นจุดฝังเข็มทางการแพทย์จีน อยู่บริเวณกึ่งกลางระหว่างคิ้วกับหัวตาทั้งสองข้าง
[2] จุดซื่อไป๋ (四白穴) เป็นจุดฝังเข็มทางการแพทย์จีน อยู่บริเวณด้านล่างของกึ่งกลางดวงตา