รัตติกาลไม่สิ้นแสง – ตอนที่ 130 น่าเสียดาย

“ก็แค่ ‘นักล่ามือใหม่’ เอง ไม่เห็นต้องทำอย่างนั้นสักหน่อย” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างขบขันหลังจากที่เห็นซางเจี้ยนเย่าติดป้ายตราไว้ที่หน้าอกตนเอง

จากนั้นเธอก็รีบพูดเสริมก่อนที่ซางเจี้ยนเย่าจะตอบคำ

“ฉันเข้าใจน่า เป็นความรู้สึกของพิธีกรรมสินะ”

เธอจำได้ว่าเคยมีบทสนทนาที่คล้ายกันนี้มาก่อน

“รู้แล้วจะถามทำไมล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าราวกับไม่เข้าใจว่าเจี่ยงไป๋เหมียนต้องการจะยุติบทสนทนาในเรื่องนี้

เจี่ยงไป๋เหมียนกลอกตาใส่เขาแล้วถอยหลังไปสองสามก้าวเพื่อมองดูหน้าจอขนาดยักษ์ซึ่งแขวนไว้บนอากาศ

“ไม่ต้องทำลำบากขนาดนั้นหรอก สามารถใช้เครื่องที่อยู่ตรงนั้นเพื่อดูรายการภารกิจได้ พอเลือกแล้วก็ค่อยเอาตราไปรูดตรงที่มีจุดสีแดงกะพริบ ก็เท่ากับว่ารับภารกิจมาแล้ว” พนักงานหญิงที่เมื่อครู่ช่วยพวกเขาลงทะเบียน พูดแนะนำพวกเขาด้วยเสียงอันดัง

เนื่องจากสองคนที่อยู่เบื้องหน้าเธอเพิ่งจะกรอกข้อมูลลงทะเบียนด้วยตัวเอง เธอจึงไม่ได้บอกเรื่องนี้ไว้ ซึ่งการใช้งานเครื่องนั้น ถ้าอ่านหนังสือไม่ออกก็มีระบบเสียงไว้ให้ใช้ด้วย

“…เทคโนโลยีล้ำมาก” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกว่าตนเองทำราวกับเป็นบ้านนอกเข้ากรุง

ที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ยังไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกขนาดนี้ให้ใช้เลย!

หรือจะพูดอีกอย่างก็คือเธอนั้นไม่เคยไปสถานที่เช่นนั้นมาก่อน

พนักงานหญิงพูดอย่างภาคภูมิใจ

“สมาคมนักล่าในแดนธุลี มีไม่เกิน 10 สมาคมที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนกับเรา”

เอ่อ… คุณพูดอะไรน่ะ… เจี่ยงไป๋เหมียนยกมือแตะเครื่องช่วยฟังที่หู แต่ก็รู้สึกอายเกินกว่าที่จะถามออกมา

ตอนนี้พวกเขาอยู่ห่างกันพอสมควร ดังนั้นเสียงของพนักงานหญิงจึงไม่ได้ดังเหมือนก่อนหน้า

“เธอพูดว่าในแดนธุลี มีสมาคมนักล่าที่มีอะไรแบบนี้ไม่เกิน 10 สมาคม” ซางเจี้ยนเย่าช่วย ‘แปล’ ได้ทันเวลาพอดี

แน่นอนว่าในบางครั้ง คนอื่นก็ไม่ได้อยากให้เขาช่วยแบบนี้

“สมแล้วที่ถูกเรียกว่าเป็นเมืองที่สมาคมนักล่าแทบจะยึดครองไปแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดพึมพำกับตัวเองด้วยอารมณ์กึ่งล้อเล่น

จากนั้นเธอก็พาซางเจี้ยนเย่าไปที่โต๊ะที่ตั้งกระจายอยู่รอบๆ ห้องโถง แล้วต่างก็หยิบเอาอุปกรณ์สีเงินเครื่องบางๆ ซึ่งมีหน้าจอ LCD อยู่ด้วยขึ้นมา

นี่เป็นเหมือนกับสมุดบันทึกที่ทำจากโลหะแผ่นใหญ่

ในตอนนี้นักล่าซากอารยะหลายคนที่กำลังยืนอยู่ตามจุดต่างๆ บ้างก็ใช้นิ้วปัดเลื่อนหน้าจอ บ้างก็เอาป้ายตราของตนไปวางไว้บนเครื่องที่มีจุดสีแดงกะพริบ

เจี่ยงไป๋เหมียนนั้นนับได้ว่ามีประสบการณ์ใช้งานคอมพิวเตอร์มาไม่น้อย หลังจากที่กวาดสายตามองดูเพียงครู่เดียวก็พอจะเข้าใจอุปกรณ์เบื้องหน้าได้อย่างคร่าวๆ

หลังจากที่เปิดให้หน้าจอแสดงขึ้นมา เธอก็เลื่อนไปตามข้อความที่บอกขั้นตอนและเห็นหน้าแสดงภารกิจ

ในตอนนี้ จากหางตาของเธอ ก็มองเห็นว่าซางเจี้ยนเย่านั้นกำลังจ้องมองมา จากนั้นเขาก็หยิบกล่องกระจกส่องหน้าออกมาอย่างกระตือรือร้น

“คิดจะทำอะไรของนายน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกสังหรณ์ใจจนต้องเอ่ยปากทัก

“จะหลอกตัวเอง แกล้งทำเป็นคุณ จากนั้นก็เลียนแบบสิ่งที่คุณทำเพื่อจะได้ใช้งานเจ้าเครื่องนี่ได้” ซางเจี้ยนเย่าอธิบายอย่างเป็นจริงเป็นจัง

จากนั้นเขาก็เหลียวซ้ายแลขวาเพื่อดูว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ

นี่ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ตอนที่เขาใช้กับเฉียวชู และใช้รับมือกับคนไร้ใจขั้นสูงที่สร้างความปรารถนาอยากได้

“…” เจี่ยงไป๋เหมียนด่าเขาด้วยความโมโห “ไม่ต้องคิดซับซ้อนขนาดนั้นก็ได้! อย่าทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากสิ! มานี่ เดี๋ยวฉันสอนให้”

ในฐานะที่สำเร็จการศึกษาจากภาควิชาอิเล็กทรอนิกส์มา เพียงแค่เจี่ยงไป๋เหมียนพูดไม่กี่คำเขาก็เขาใช้งานอุปกรณ์ได้อย่างชำนาญ ที่ตอนแรกยังไม่รู้ก็เพราะผ่านโลกมาน้อยเท่านั้น

แล้วในขณะนี้ หลงเยว่หงกับไป๋เฉินก็เดินเข้ามาในห้องโถงของสมาคมนักล่า

นี่เป็นเพราะพวกเขาเจตนาดึงเวลาไว้ ไม่ได้เข้ามาลงทะเบียนนักล่าซากอารยะพร้อมกับเจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่า

เจี่ยงไป๋เหมียนชำเลืองมองเวทีกลมกลางห้องแล้วละสายตากลับมา จากนั้นก็เปิดดูรายการภารกิจต่อ

‘คำอธิบายภารกิจ : บ้านตระกูลจ้าวที่ถนนเหนือ รับสมัครทหารรับจ้างเฉพาะกิจ 20 คน…’

‘คำอธิบายภารกิจ : นักประวัติศาสตร์ฮาโรล กำลังจัดทีมเพื่อมุ่งหน้าไปยังซากปรักบึงหมายเลข 1 ในเร็วๆ นี้ ต้องการผู้มีประสบการณ์โดยด่วน…’

‘คำอธิบายภารกิจ : กำลังหาผู้ประเมินโบราณวัตถุหนึ่งชุด…’

‘คำอธิบายภารกิจ : ต้องการแลกอาวุธเป็นอาหาร…’

‘คำอธิบายภารกิจ : ส่งอาหารเที่ยงไปที่ค่ายรักษาการณ์ในแดนร้าง…’

หลังจากปัดเลื่อนดูภารกิจต่างๆ ที่มีอย่างรวดเร็ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็อดถอนใจออกมาไม่ได้

“น่าเสียดาย…”

“น่าเสียดาย…” ซางเจี้ยนเย่าที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ทำเสียงออกมาแบบเดียวกัน ทว่าไม่ได้เลียนแบบน้ำเสียงของเจี่ยงไป๋เหมียน

เจี่ยงไป๋เหมียนหันมามองเขาแล้วถามด้วยรอยยิ้ม

“เสียดายอะไรของนาย”

“ภารกิจเรื่องเฉียวชูไม่มีแล้ว” ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ปิดบังความเสียดายของตน

“ฉันก็เสียดายเรื่องนี้เหมือนกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจอีกครั้ง “ไม่งั้นล่ะก็ ด้วยข้อมูลที่เรามี อย่างน้อยก็รับแป้งได้สี่ตันเลยทีเดียว จะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องปากท้องไปอีกพักใหญ่ แถมยังได้เลื่อนระดับกลายเป็นนักล่าทางการอีกด้วย”

ที่เธอพูดถึงก็คือบรรดาสมาชิก ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่คนนั้นสามารถแบ่งข้อมูลที่แตกต่างกันออกไปให้แต่ละคนกดรับภารกิจ

รางวัลของแต่ละภารกิจก็คือแป้งเกรดธรรมดาหนึ่งตันและแต้มนักล่าอีก 100 แต้ม

จาก ‘นักล่ามือใหม่’ เลื่อนขั้นเป็น ‘นักล่าทางการ’ นั้นใช้แต้มนักล่าเพียงแค่จำนวน 100 แต้มเท่านั้น

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ทั้งเจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่าต่างก็ถอนหายใจพร้อมกันอีกครั้ง

“น่าเสียดายชะมัด…”

นี่เป็นความรู้สึกว่าเฉียวชูนั้นช่างเป็น ‘ขุมทรัพย์’ เดินได้จริงๆ

หลังจากที่ทำความเข้าใจอย่างคร่าวๆ แล้วว่ามีภารกิจประเภทไหนบ้าง เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันมาพูดกับซางเจี้ยนเย่า

“ไปกันเถอะ ภารกิจพวกนี้ไม่เหมาะกับเรา เอาไว้พรุ่งนี้มะรืนนี้ค่อยมาใหม่”

ที่จริงแล้วก็มีบางภารกิจที่เหมาะสำหรับ ‘นักล่ามือใหม่’ และไม่จำเป็นต้องออกจากเมืองหญ้าไพร ทว่าเจี่ยงไป๋เหมียนจำต้องติดต่อกับเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ให้ได้เสียก่อนเพื่อจะได้ยืนยันว่าจะต้องทำอะไรต่อไป หลังจากนั้นถึงค่อยพิจารณาว่าจะรับภารกิจใด

การที่มาสมาคมนักล่าครั้งนี้ วัตถุประสงค์ข้อหนึ่งก็เพื่อลงทะเบียนตัวตน อีกข้อหนึ่งก็เพื่อจะได้ทำความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับสถานการณ์ของเมืองหญ้าไพรในปัจจุบันผ่านทางภารกิจ

ใบไม้ร่วงเพียงหนึ่งใบก็ทำให้รู้ว่าภูมิอากาศเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง เมืองหญ้าไพรซึ่งพัฒนาไปอย่างสูงแต่ทว่าในเบื้องลึกอาจมีอะไรแฝงอยู่ ดังนั้นภารกิจต่างๆ นั้นย่อมสามารถให้เบาะแสได้บ้างไม่มากก็น้อย

โดยสรุปก็คือหลังจากที่เจี่ยงไป๋เหมียนไล่ดูภารกิจต่างๆ แล้วก็รู้สึกได้ว่าสถานการณ์ในถนนเหนือนั้นตึงเครียดเล็กน้อย แต่ทุกอย่างยังคงอยู่ในความปกติ

“ซากปรักบึงหมายเลข 1 คือที่ไหน” ซางเจี้ยนเย่าที่เดินตามเจี่ยงไป๋เหมียนมายังประตูทางเข้าออก ถามขึ้นด้วยความสงสัย

“จากคำอธิบายที่เขียนไว้ในตอนท้าย น่าจะเป็นที่ที่พวกเราเคยไปเมื่อตอนนั้นน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้แปลกใจกับการใช้หมายเลขเป็นชื่อเรียกเช่นนี้

เมื่อเดินออกมาจากสมาคมนักล่าแล้วเธอก็ซุกมือล้วงกระเป๋าแล้วพูดอย่างยิ้มแย้ม

“ไปเดินดูรอบๆ กันเถอะ ฉันเพิ่งเคยมาเมืองหญ้าไพรเป็นครั้งแรก ที่จริงสมัยก่อนก็เกือบจะได้มาเหมือนกัน แต่พลาดไปเสียก่อน”

ซางเจี้ยนเย่าเองก็กระตือรือร้นไม่แพ้กัน

หลังจากนั้นอีกครู่หนึ่ง หลงเยว่หงซึ่งตามอยู่ด้านหลังก็ถามไป๋เฉินด้วยความสงสัย

“หัวหน้าจะไปไหนกันน่ะ”

ทำไมทำเหมือนไปเดินเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมาย

ไป๋เฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา

“น่าจะกำลังไปทำความคุ้นเคยกับพื้นที่”

หลงเยว่หงชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะเริ่มเข้าใจได้อย่างคร่าวๆ

เดินเล่นไปรอบๆ จนกระทั่งบ่ายสามโมง สุดท้ายพวกเขาก็กลับมาที่ ‘ร้านปืนอาฝู’ โดยเดินเข้าทางประตูหน้า แล้วออกทางประตูหลัง จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดไปชั้นบนแล้วเปิดประตูห้อง

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้พูดจา เธอหยิบกระดาษสีขาวขนาดค่อนข้างใหญ่ออกมาจากเป้ยุทธวิธีที่สะพายหลังอยู่ จากนั้นก็นึกทบทวนไปพลาง ใช้ปากกาหมึกซึมขีดๆ เขียนๆ บนกระดาษไปพลาง

เพียงไม่นานนัก แผนผังเมืองหญ้าไพรทั้งหมดก็ปรากฏให้เห็น เว้นแต่เพียงเขตถนนเหนือซึ่งอยู่ฝั่งทางทิศเหนือ

ในเวลาเดียวกัน เจี่ยงไป๋เหมียนยังได้เขียนกำกับสถานที่ต่างๆ เอาไว้ด้วย อย่างเช่น ‘มีคูน้ำ’ ‘ที่กำบังมาก’ ‘บริเวณใกล้เคียงค่อนข้างพลุกพล่าน’ ‘สัญญาณไฟฟ้าอ่อน ตรวจจับผิดพลาดได้ง่าย’

หลังจากทำเช่นนี้จนเสร็จแล้วเธอก็ยื่นกระดาษปากกาส่งให้ไป๋เฉิน

“เธอลองดูว่าอยากเขียนอะไรเพิ่มลงไปอีกหรือเปล่า ฮ่า ฮ่า ดีที่เมืองหญ้าไพรไม่ใหญ่เท่าไหร่”

ไป๋เฉินร้อง “อืม” ออกมาหนึ่งคำ ยื่นมือออกไปรับกระดาษปากกามา จากนั้นก็วางลงบนโต๊ะแล้วเริ่มขีดๆ เขียนๆ

เจี่ยงไป๋เหมียนอาศัยจังหวะนี้พูดกับซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หง

“เสร็จแล้วก็ดูให้ดี แล้วก็จำเอาไว้ด้วย

“หลังจากนี้พวกเราอาจจะต้องแยกกัน ถ้าหากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าจะต้องหนีไปซ่อนที่ไหน หรือใช้สภาพแวดล้อมให้เกิดประโยชน์ได้ยังไง”

หลงเยว่หงซึ่งเลื่อมใสอย่างสุดชีวิตจิตใจมาตั้งนานแล้ว รีบรับคำทันที

“ทราบแล้ว หัวหน้า!”

ซางเจี้ยนเย่าขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูด

“ที่สำคัญคืออย่าให้เกิดเรื่อง”

แล้วเขาก็รีบพูดต่อทันทีโดยไม่รอให้เจี่ยงไป๋เหมียนถลึงตาใส่

“หลังจากจำผังเมืองได้ ก็จะทำให้ไม่เกิดเรื่องเวลาหนี หรือตอนที่ใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อม”

“เข้าใจก็ดีแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนคร้านจะพูดอะไรอีก

หลังจากที่ไป๋เฉินเติมแผนที่จนเสร็จและทุกคนจดจำตำแหน่งสำคัญได้แล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ชี้ไปยังตรอกตรงข้ามกับตลาดทาสถนนใต้แล้วถามออกมา

“ตอนที่ไปพบกับเจ้าหน้าที่ข่าวกรองคืนนี้ พวกเราจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคอยลอบจับตาเขาไว้ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน

“เธอคิดว่าใช้จุดไหนดีกว่ากัน”

ในฐานะพลซุ่มยิงประจำทีม ไป๋เฉินชี้ไปยังตำแหน่งตลาดทาสถนนใต้ก่อนจะตอบ

“ตรงนี้ ที่หลังคาด้านซ้ายจะสามารถครอบคลุมพื้นที่ได้ทั้งตรอก”

เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ

“ถ้าหากว่า… ฉันหมายถึง ‘ถ้าหากว่า’ น่ะ ถ้าเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของบริษัทมีปัญหาจริงๆ คนที่อยู่เบื้องหลังเขาก็น่าจะเลือกตำแหน่งนี้เช่นกัน ดังนั้นหลีกเลี่ยงตำแหน่งนี้ดีกว่า จะได้ไม่ต้องปะทะกัน เลือกจุดที่ดีรองลงมาก็แล้วกัน

“ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ซางเจี้ยนเย่ากับฉันจะปรับเปลี่ยนตำแหน่งเพื่อให้อยู่ในทัศนวิสัยและวิถีกระสุนของเธอ”

หลังจากปรึกษากันจนเสร็จสิ้น ‘ทีมสำรวจเก่า’ ได้ข้อสรุปว่าจะใช้หลังคาทางด้านขวาของตลาดทาสถนนใต้ เมื่อถึงเวลานัดหมาย ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงจะไปประจำตำแหน่งอยู่ที่นั่น ส่วนเจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยเย่าจะเป็นคนไปพบเจ้าหน้าที่ข่าวกรอง

ในฤดูหนาวนั้นฟ้ามืดค่อนข้างเร็ว ความมืดค่อยๆ ปกคลุมเมืองหญ้าไพร ดวงไฟทั้งสีเหลืองสีขาวค่อยๆ สว่างขึ้นทีละดวง

เมื่อถึงเวลา 19.40 น. เจี่ยงไป๋เหมียนก็ลุกขึ้นยืน คลุมฮู้ดที่ติดมากับเสื้อแล้วหันไปพูดกับคนอื่นๆ

“ไปกันเถอะ”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

Status: Ongoing
อ่านนิยาย รัตติกาลไม่สิ้นแสงเขต C ชั้นที่ 495 ของอาคารศูนย์กิจกรรม ผนังสีเขียวอมเทาด้านนอกเต็มไปด้วยรอยวาดขีดเขียนสารพัด หญิงสาวหกเจ็ดคนเดินเข้าไปข้างในด้วยสีหน้าเจืออารมณ์ตื่นเต้น คาดหวัง และประหม่า เสื้อผ้าพวกเธอนั้นเรียบง่าย ไม่ได้มีสีสันมากมาย ส่วนใหญ่เป็นสีน้ำเงิน สีดำ สีขาว และสีเขียว แต่ทุกคนล้วนดูงดงามและอ่อนเยาว์ ระหว่างที่พวกเธอกำลังมองดูหน้าจอ LCD ซึ่งมีเพียงหน้าจอเดียวในชั้นนี้ หญิงสาวที่อยู่หัวแถวด้านหน้าอดกระซิบขึ้นไม่ได้ “ไม่รู้ว่าทางบริษัทจะหาสามีแบบไหนให้ฉันกันนะ”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset