คิ้วของซางเจี้ยนเย่าค่อยๆ คลายออก
“ได้”
“ได้กะผีนะสิ! ฉันยังไม่ได้บอกเลยว่าจะขออะไร” เจี่ยงไป๋เหมียนตวาดใส่อย่างโมโห
เธอหยุดไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก
“ข้อแรก ห้ามส่งผลกระทบต่อการสืบสวนเรื่องการหายตัวไปของเหลยอวิ๋นซงกับทีม
“ข้อสอง ถ้ายังไม่มั่นใจเต็มร้อยและมีโอกาสถูกเผยตัว ให้เปลี่ยนแผนไปเป็นรวบรวมข้อมูลแทนทันที ต่อไปในภายภาคหน้ายังมีโอกาสให้ลงมืออีกเยอะ”
เนื้อหาโดยหลักของทั้งสองเรื่องนั้นเรียบง่ายมาก หนึ่งคือต้องซ่อนตัว สองคือต้องระวัง
“ได้” ซางเจี้ยนเย่ายังคงคำตอบเช่นเดิม
จากนั้นเขาก็หมุนกายเดินตรงไปยังรถจี๊ป เปิดท้ายรถแล้วคุ้ยหาหมวกแก๊ป
“ปลอมตัวแค่นี้จะไปพอได้ยังไง เอ่อ… ใส่เสื้อกลับด้านด้วย” ถึงแม้จะพูดไปอย่างนั้นแต่เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยังคงหยิบเอาหมวกแก๊ปมาวางไว้บนศีรษะตนเอง บดบังใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง
ในสถานที่ซึ่งมีแสงค่อนข้างสลัว สิ่งนี้ยังคงมีผลต่อการพรางตัวอย่างแน่นอน
ซางเจี้ยนเย่าทำเช่นเดียวกัน และพูดขึ้น
“เป็นความรู้สึกของพิธีกรรมน่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนกลอกตา ไม่อยากจะไปใส่ใจเจ้าหมอนี่อีก
หลังจากออกจากลานบ้านมาแล้วพวกเขาก็เลี้ยวเข้าไปในถนนใต้ เดินไปจนถึงตรอกหมาป่าไพร
เวลาในขณะนี้ยังไม่ถึงสองทุ่มครึ่งดี ดังนั้นไม่เพียงแต่บาร์ ร้านน้ำชา และไนต์คลับเท่านั้นที่สว่างไสว แม้แต่ไฟถนนด้านนอกก็ยังคงส่องสว่างอยู่ด้วย ทำให้คนที่สัญจรไปมานั้นเกิดเป็นเงาสั้นบ้างยาวบ้างแตกต่างกันออกไป
เมื่อหาไนต์คลับ ‘วันนี้’ พบแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าที่สวมหมวกแก๊ปเอาไว้ก็เดินเข้าไปข้างใน
คลื่นความอบอุ่นจากภายในร้านพุ่งออกมากระทบร่าง ซึ่งแตกต่างไปจากลมเย็นนอกร้านโดยสิ้นเชิง เสียงเพลงก็ดังขึ้นเรื่อยๆ จนหนวกหูและชวนให้วิงเวียน
ท่ามกลางแสงสีวูบวาบที่เกิดจากหลอดไฟในร้าน ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกเหมือนได้คืนสู่เหย้า ร่างกายโยกไปมาเบาๆ ตามจังหวะดนตรี
เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นแล้วก็อดเม้มปากแน่นไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้เข้าไปร่วมเต้นกับฝูงชนที่กำลังโยกย้ายส่ายไปมา เขาเดินตรงเข้าไปยังพื้นที่ใกล้กับเคาน์เตอร์บาร์แล้วหาที่ยืน จากนั้นก็จ้องมองไปยังบานประตูที่นำไปสู่ตลาดใต้ดินอย่างไม่กะพริบตา
ไป๋เฉินมีพูดถึงเรื่องนี้ไว้ด้วย และจากสิ่งที่เธอกับหลงเยว่หงเล่าให้ฟัง ก็พอจะประเมินได้ว่าเมื่อตอนที่พวกเขาออกมานั้น ยูจีนยังคงอยู่ข้างใน
ส่วนเรื่องที่ว่าหลังจากที่ทั้งคู่ออกจากไนต์คลับ ‘วันนี้’ ไปแล้วและก่อนที่ซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนจะเข้ามานั้น ในระหว่างนั้นยูจีนจะออกไปแล้วหรือยัง เป็นเรื่องที่ไม่อาจจะรู้ได้
ซางเจี้ยนเย่ายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู แล้วตะโกนบอกเจี่ยงไป๋เหมียน
“รอหนึ่งชั่วโมง”
หากว่าไม่พบเป้าหมายภายในหนึ่งชั่วโมง พวกเขาก็ต้องปรับกลยุทธ์กันใหม่
“ยังไงก็ต้องมีแผนก่อนนะ…” เดิมทีนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนคิดจะปรึกษาวางแผนกับซางเจี้ยนเย่าก่อนเพื่อช่วยเขาปรับแผนการให้รัดกุม ทว่าเธอก็เลิกล้มความคิดไป แล้วเตรียมตัวรอชมว่าหมอนี่จะมีลูกไม้อะไรมาแสดง
แต่ถ้าหากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา ในฐานะหัวหน้าทีมเธอก็ต้องไปช่วยตามล้างตามเช็ดให้เขาอยู่นั่นเอง
ท่ามกลางเสียงดนตรีที่มีจังหวะคึกคักนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ต้องโยกตัวไปมาบ้างเล็กน้อย ไม่ได้ยืนนิ่งจนเด่นสะดุดตาและดึงดูดความสนใจของผู้คนเพราะไม่เข้ากับบรรยากาศและสภาพแวดล้อม
ในระหว่างนี้เธอก็ปฏิเสธคนที่มาชวนออกไปเต้นบ้างเป็นครั้งคราว และช่วยกันสาวๆ ให้ซางเจี้ยนเย่าด้วย
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสวมหมวกแก๊ปบดบังใบหน้าเอาไว้และกดปีกหมวกจนต่ำ แสงไฟของที่นี่เองก็สลัว ไม่ได้สว่างจ้า ทำให้ยากจะมองเห็นใบหน้าพวกเขาได้อย่างชัดเจน ทว่ารูปร่างพวกเขานั้นก็ยังคงทำให้คนอื่นสนใจอยู่ไม่น้อย
ผ่านไปสิบนาที บานประตูไม้ใกล้เคาน์เตอร์ก็เปิดออกแล้วมีชายสามคนเดินออกมา
คนที่เดินนำนั้นเป็นชายกำยำโกนศีรษะจนล้าน สวมเสื้อยืดแขนสั้นสีดำและกางเกงขาสั้นสีสันสดใส มีคนคุ้มกันในชุดสีดำสองคนติดตามอยู่ด้านหลัง
ลักษณะของยูจีนนั้นค่อนข้างเด่นเสียจนเจี่ยงไป๋เหมียนสามารถระบุตัวได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบอะไรเพิ่มเติมอีก
เธอหันหน้าไปมองซางเจี้ยนเย่า กำลังจะเอ่ยปากเตือนว่าให้อดทนรอไว้ก่อน อย่าเพิ่งรีบร้อนตามไป และอย่าชักปืนออกมายิงส่งเดชด้วย
แต่กลับกลายเป็นว่าซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนต้องเป็นกังวลในเรื่องนี้ เขาทำราวกับว่ากำลังจมจ่อมสนุกสนานไปกับการเต้น โยกย้ายส่ายไปมา
รอจนกระทั่งยูจีนและผู้คุ้มกันอีกสองคนเดินไปที่ประตูด้านข้างของไนต์คลับแล้ว ชายสองคนซึ่งนั่งอยู่ในบริเวณที่นั่งสำหรับคนมาดื่มเหล้าก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามหลังไป
และพร้อมกันนั้นชายสองคนซึ่งกำลังเต้นอยู่ที่โซนเต้นรำก็หยุดเต้นและเดินไปที่ประตูด้านข้างด้วยเช่นกัน
คนพวกนี้ล้วนเป็นผู้คุ้มกันของยูจีนที่ซ่อนตัวปะปนอยู่กับฝูงชน
“ลงมือได้” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดขึ้นทันที ทว่าเสียงเธอนั้นกลืนหายไปกับเสียงดนตรีที่ดังกระหึ่ม
แต่ซางเจี้ยนเย่านั้นราวกับกำลังรอช่วงเวลานี้มาตลอด เขารีบสาวเท้าก้าวตามคนกลุ่มนั้นไปประหนึ่งว่าตนเองก็เป็นหนึ่งในผู้คุ้มกันเหมือนกัน
เมื่อคนข้างหน้าหยุดเขาก็หยุด คนข้างหน้าเดินเขาก็เดิน นอกจากไม่มีเจตนาจะปิดบังร่องรอยตนเองแม้แต่น้อยแล้ว ยังกลับทำออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนด้วย
แต่แน่นอนว่าสิ่งนี้ย่อมไม่อาจเล็ดรอดไปจากสายตาของผู้คุ้มกันที่อยู่ด้านหลังสองคนสุดท้ายได้ พวกเขาสบสายตากัน คนหนึ่งยังคงเดินต่อไป ส่วนอีกคนยืนรออยู่ที่ประตูข้างก่อนจะหันหลังกลับมายืนขวางซางเจี้ยนเย่าไว้
เขารอจนกระทั่งซางเจี้ยนเย่าเข้ามาใกล้จึงเลิกชายเสื้อขึ้นมาภายใต้แสงไฟสลัวเพื่อแสดงให้เห็นอาวุธที่พกพาอยู่ จากนั้นก็ถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“พี่ชาย คิดจะทำอะไร”
ซางเจี้ยนเย่าที่สวมหมวกแก๊ปกดปีกหมวกต่ำจนใบหน้าส่วนใหญ่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้เงามืด เขายิ้มอย่างถือตัวว่าเหนือกว่า
“ฉันจะทำอะไรงั้นเหรอ
“นายดูสิ
“นายมีอาวุธ ฉันเองก็มีอาวุธ…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้เขาก็ใช้มือขวาล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อดึงปืนพกออกมาให้เห็นครึ่งหนึ่ง
มันคือ ‘มอสน้ำแข็ง’
นี่ทำให้คนคุ้มกันตระหนกเล็กน้อย กำลังชั่งใจว่าจะยิงออกไปก่อนเลยดีไหม
ทว่าซางเจี้ยนเย่าราวกับไม่ได้สังเกตว่าบรรยากาศมีการเปลี่ยนแปลง ยังคงพูดต่อไป
“เมื่อกี้นายออกไปเต้น ฉันเองก็เต้น”
“ดังนั้น…”
คนคุ้มกันตะลึงไปชั่วครู่ก่อนจะถอนใจโล่งอก
“นายก็เป็นผู้คุ้มกันลับของเจ้านายด้วยสินะ”
“ฉันเชี่ยวชาญในการรับมือกับคนที่มีพลังเหนือธรรมชาติ ปกติไม่ได้อยู่ที่นี่” ซางเจี้ยนเย่าอธิบายอย่างเป็นจริงเป็นจัง “ตอนนี้เจ้านายกำลังจะไปที่ไหน ฉันได้ข่าวมาว่ามีคนจะลอบสังหารเขา”
คนคุ้มกันเริ่มตระหนกทันที
“เรากำลังจะไปที่จอดรถ เตรียมกลับค่าย”
“ที่จอดรถที่ท้ายตรอกน่ะเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าถาม
ต้องขอบคุณการเดิน ‘ซื้อของ’ กับเจี่ยงไป๋เหมียนก่อนหน้านี้ จึงทำให้เขาคุ้นเคยกับผังเมืองที่อยู่นอกถนนเหนือของเมืองหญ้าไพร
และนอกจากนั้นเขาก็ยังเอาแผนที่วาดมือฉบับนั้นออกมาทบทวนเป็นครั้งคราวด้วย
หากเป็นคนอื่นที่เพิ่งมาถึงเมืองหญ้าไพร เมื่อได้ยินคำว่าที่จอดรถ ย่อมต้องไปที่ถนนตะวันออกอย่างแน่นอน
“ใช่” คนคุ้มกันตอบตามความจริง “งั้นฉันจะรีบไปแจ้งเจ้านายเดี๋ยวนี้เลย”
“ไม่ต้องกลัว อย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่น วางใจเถอะ ฉันอยู่ที่นี่แล้ว” ซางเจี้ยนเย่าให้คำแนะนำอย่างมืออาชีพ “วันนี้เจ้านายใช้รถคันไหน”
ทีมจับทาสย่อมไม่มีทางใช้รถเพียงแค่คันเดียวแน่นอน
“เป็นรถออฟโรดสีดำ ค่อนข้างถึกและกันกระสุน ตาเฒ่าเกิ่งรออยู่ที่นั่น แค่มองไปก็เห็นแล้วว่าเป็นคันไหน” ผู้คุ้มกันไม่ได้ปิดบัง
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ
“นายรีบตามไปได้แล้ว รอจนได้รับสัญญาณจากฉันเมื่อไหร่ก็ให้รีบเข้าไปคุ้มครองเจ้านายทันที
“อีกอย่างนะ เก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน อย่าเพิ่งบอกคนอื่น! บอกแค่ว่าฉันน่าจะเป็นคนป่วยทางจิตก็พอ”
“ได้!” คนคุ้มกันรีบกลับหลังหันวิ่งตามยูจีนและผู้คุ้มกันคนอื่นๆ ไป
ซางเจี้ยนเย่าหันหน้าไปพูดกับเจี่ยงไป๋เหมียนที่แอบตามมาในบริเวณใกล้เคียงอย่างเงียบเชียบ
“ลานจอดรถ”
เมื่อพูดเสร็จก็สับแขนแล้วเร่งความเร็ววิ่งพุ่งออกไปทันที แต่แทนที่จะไปตามเส้นทางที่ยูจีนกับคนอื่นๆ ไป เขากลับวิ่งไปทิศตรงกันข้ามแทน ย้อนกลับไปทางปากตรอกหมาป่าไพรซึ่งจะนำไปสู่ถนนตะวันตก แล้ววกอ้อมไปที่ตรอกด้านข้าง
เมื่อไปถึงที่นั่นก็เปลี่ยนทิศ วิ่งตรงไปทางเหนือซึ่งเป็นตำแหน่งของลานจอดรถ
เสียงฝีเท้าของซางเจี้ยนเย่านั้นราวกับกำลังวิ่งหนีการไล่ล่าจากนักเลงนับสิบคนที่มีอาวุธครบมือ หรือไม่ก็กำลังวิ่งแข่งกับใครสักคน
และแน่นอน มีคนกำลังวิ่งไล่ตามเขามาจริงๆ กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
การระเบิดพลังและความเร็วของเจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ด้อยไปกว่าซางเจี้ยนเย่าเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมีความอดทนมากกว่าด้วยซ้ำ
เพียงไม่นานพวกเขาก็วิ่งจนมาถึงท้ายตรอก เลี้ยวซ้าย ผ่านปากตรอกหมาป่าไพรแล้ววิ่งตรงเข้าไปตามเครื่องหมายที่ระบุว่าเป็นที่จอดรถ
นี่คือข้อดีของการคุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศ
ในขณะนี้ยูจีนกับคนอื่นๆ เพิ่งจะเดินทางได้เพียงแค่สองในสามเท่านั้น
ตอนแรกพวกเขาเห็นชายสวมหมวกแก๊ปวิ่งผ่านไปก่อน หลังจากนั้นก็มีผู้หญิงสวมหมวกแก๊ปวิ่งไล่ตามไป
“ไอ้หมอนั่นกินฟรีแล้วชักดาบหรือไง” ยูจีนอึ้งไปในคราแรก จากนั้นก็คาดเดาแล้วยิ้มออกมา
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกในเมืองหญ้าไพร
ยูจีนไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้จะมีอันตรายอะไร ถึงอย่างไรเขาเองก็เคยผ่านการต่อสู้มาเป็นร้อย ถูกลอบสังหารมาก็หลายครั้งหลายหน จึงไม่ได้คิดว่าเรื่องน่าขันพรรณนี้จะมีผลอะไรต่อตนเอง
เมื่อเดินมาได้สักพักพวกเขาก็มาถึงทางเข้าลานจอดรถ ยูจีนถามชายชราที่เฝ้าอยู่ในตู้ยาม
“เมื่อกี้มีใครวิ่งเข้ามาหรือเปล่า”
ถึงแม้ว่ายูจีนจะไม่คิดว่าชายหญิงที่วิ่งไล่กันอยู่นั้นจะมีปัญหาอะไร แต่เรื่องที่ควรถามจะอย่างไรก็ต้องถาม แล่นเรืออย่างระวังจะเดินทางได้นับหมื่นปี
“มี ฉันจะเรียกเขาให้หยุด ยังเรียกไม่ทันเลย!” ชายชราบ่น
แล้วเขาก็ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
“วิ่งไปทางนั้นกันแล้ว”
เมื่อเห็นว่ารถของพวกเขาทั้งสองคันไม่ได้อยู่ในทิศทางเดียวกับที่คนทั้งสองวิ่งไป ยูจีนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพลิดเพลินสำราญใจไปกับลมหนาวและเดินเข้าไปในลานจอดรถ ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้รถออฟโรดคันสีดำคันที่สูงใหญ่กว่า
กระจกหน้าต่างรถทั้งสองข้างนั้นติดฟิล์มสีเข้มเอาไว้ สามารถบดบังสายตาของมือปืนซุ่มยิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในขณะนี้คนขับรถซึ่งสวมหมวกที่มีสายคาดกำลังยืนพิงรถสูบบุหรี่อยู่
“ตาเฒ่าเกิ่ง มีใครผ่านมาแถวนี้บ้างไหม” คนคุ้มกันซึ่งยูจีนไว้ใจที่สุดถามขึ้น
ตาเฒ่าเกิ่งคนขับรถทิ้งบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้เท้าเหยียบขยี้ไปสองครั้ง เขาหัวเราะตอบออกมา
“ไม่มีหรอก ฉันเฝ้าอยู่ทั้งคนเชียวนะ”
ยูจีนผงกศีรษะแล้วยกมือส่งสัญญาณให้คนคุ้มกันทั้งสองฝั่งตรวจสอบตามขั้นตอนพื้นฐาน
คนคุ้มกันคนหนึ่งเดินเข้ามาเปิดประตูหลังแล้วมองเข้าไปข้างในรถ
แล้วจู่ๆ เขาก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
ทำไมฉันต้องเป็นคนลงมือทำทุกอย่าง ส่วนคนอื่นเอาแต่ยืนดูเฉยๆ
ทำไมเจ้านายได้กินดีอยู่ดี แต่ฉันทั้งบุกน้ำลุยไฟทั้งลำบากตรากตรำ กลับได้ผลตอบแทนแค่นิดเดียว
ทำไมฉันต้องทุ่มเทขนาดนี้ด้วย ทั้งๆ ที่อยากจะขี้เกียจบ้าง!
เมื่อมีความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นมา คนคุ้มกันซึ่งรับหน้าที่ตรวจสอบด้านในรถจึงเพียงแค่เหลือบมองดูอย่างลวกๆ แล้วหันหน้ากลับมาพูด
“เรียบร้อยครับเจ้านาย”
ยูจีนผ่อนคลายขึ้น เดินอ้อมไปอีกด้านหนึ่งของรถ เตรียมจะเข้าไปนั่งที่เบาะหลัง
แล้วในตอนนี้หูของเขาก็ได้ยินเสียงดัง ‘ปัง’
มีคนซุ่มยิง!
ยูจีนมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที รีบหมอบลงกับพื้นโดยใช้รถกันกระสุนเป็นปราการป้องกัน
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงปืนยังคงดังต่อเนื่อง พื้นดินกระจายเป็นพักๆ บรรดาคนคุ้มกันรีบหาที่กำบังพลางหยิบอาวุธของตนออกมายิงสวนกลับไป
เมื่อเห็นเช่นนี้ ตาเฒ่าเกิ่งก็รีบตะโกนออกมา
“เจ้านาย รีบขึ้นรถเร็วเข้า! ผมจะพากลับไปที่ค่ายก่อน!”
เนื่องจากไม่รู้ว่ามีศัตรูอยู่กี่คน ยูจีนจึงคิดว่าวิธีนี้ก็ไม่เลว เขารีบเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับออกแล้วยื่นมือซ้ายออกไปเพื่อดึงตัวเองเข้าไปนั่งในรถ
เสียงปิดประตูดังปัง แล้วรถออฟโรดก็คำรามเสียงดังกระหึ่มก่อนจะพุ่งออกไปราวกับลูกศร
มันพุ่งทะยานออกจากลานจอดรถไปจนสุดทางโดยไม่ลดความเร็วแม้แต่น้อย ในขณะที่เสียงปืนยังคงดังตามมาด้านหลังไม่หยุด
ยูจีนถอนใจโล่งอก หันไปมองคนขับด้านข้าง
แต่แล้วสายตาของเขาก็พลันชะงักทันที
คนขับที่อยู่ข้างกายเขาในตอนนี้ซึ่งกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการขับนั้นไม่ใช่ตาเฒ่าเกิ่งสวมหมวกที่มีสายคาด แต่กลับสวมหมวกแก๊ป
แล้วตอนนี้เอง คนขับก็หันหน้ามา ทำให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาซึ่งถูกบดบังอยู่ในเงามืด
มุมปากเขายกโค้งขึ้นมาเล็กน้อย