หลังจากที่เดินแยกจากกันไปเกินกว่าสิบเมตรแล้วเจี่ยงไป๋เหมียนก็คลี่ยิ้มออกมาโดยไม่ได้หันกลับไปมอง
“ดูจากปฏิกิริยาแล้ว เธอน่าจะหลุดออกมาจากอิทธิพลของการชักจูงแล้วล่ะ”
แล้วเจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดต่อโดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่าตอบ
“พวกเขาแค่ทำไปตามขั้นตอนอย่างที่คิดไว้จริงๆ ตอนแรกฉันยังคิดว่าพวกเขาจะ ‘สอบปากคำ’ เสี่ยวหงด้วย แต่กลายเป็นว่าเรื่องนี้จบลงไปเสียแล้ว ที่อุตส่าห์เตรียมการไว้ก็ทำเก้อหมดเลย”
“เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ” ซางเจี้ยนเย่าถามอย่างให้ความร่วมมือ
“ก็ต้องดีอยู่แล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม “ฉันเพียงแค่อยากจะบอกนายว่าอย่ามั่นใจในพลังพิเศษของตัวเองมากเกินไปเหมือนกับโอดิค เรื่องอะไรที่ควรทำก็ยังจำเป็นต้องทำ นี่จะช่วยให้นายตรวจสอบและกำจัดข้อผิดพลาดไปได้ อืม… ไม่ว่าจะเป็น ‘ตัวตลกชักจูง’ หรือว่าจะเป็นพลังพิเศษอีกสองอย่างก็ตาม ถ้าหากว่ามีการเตรียมการรับมือไว้ล่วงหน้าก็สามารถป้องกันได้ในระดับหนึ่ง หรืออาจจะแทบไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยก็ได้”
ซางเจี้ยนเย่าหันหน้าไปมองหัวหน้าทีมและตอบอย่างจริงจัง
“ผมยังมีสหายที่สามารถไว้วางใจกันได้ สามารถช่วยระวังหลังให้กันได้ และมุ่งฝ่าไปข้างหน้าด้วยกันได้”
“…ไหงความจำนายถึงดีนักล่ะเนี่ย อยู่ๆ ก็พูดแบบนี้ออกมา ไม่อายปากบ้างหรือไง” เจี่ยงไป๋เหมียนได้ลิ้มรสชาติของคำว่า ‘ดาบนั้นคืนสนอง’ เข้าบ้างแล้ว
ในระหว่างที่กำลังพูดคุยกันนั้นพวกเขาก็เดินเข้ามาข้างในสมาคมนักล่า เพราะต้องการมาดูว่าภารกิจที่เกิดขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์อันเนื่องมาจากการเสียชีวิตของยูจีนนั้น จะทำให้ฉกฉวยเบาะแสใหม่ๆ เกี่ยวกับเหลยอวิ๋นซงและหลินเฟยเฟยได้บ้างไหม
ทว่าก่อนที่เธอจะทันได้กวาดสายตามองดูเนื้อหาที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอแสดงผลขนาดยักษ์ เจี่ยงไป๋เหมียนก็เห็นโอดิคเดินลงมาจากชั้นสองตรงมาทางด้านนี้
เธอเป็นฝ่ายยิ้มให้และทักทายเขาก่อน
“สวัสดี เจอเบาะแสอะไรใหม่บ้างไหม”
โอดิคส่ายหน้า
“ไม่เจออะไรเลย
“แล้วทางคุณล่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนตอบอย่างเรียบๆ
“เมื่อคืนนี้พวกเราไปไล่ถามตามบาร์ ไม่มีใครเคยเห็นคนที่คาดว่าน่าจะเป็นหลินเฟยเฟยเลย”
โอดิคมองสองคนที่อยู่ต่อหน้าเขาแล้วถามต่อ
“เรื่องของยูจีนไม่ได้เป็นฝีมือพวกคุณใช่ไหม”
พวกเขาเป็นคู่หูชายหญิง แถมยังอยู่ที่ตรอกหมาป่าไพรด้วย
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ
“ก่อนหน้านี้ฉันรู้จักหมอนั่นเสียที่ไหนกันล่ะ จนเมื่อวานนี้มีคนมาถามหานั่นแหละถึงได้รู้ว่าเป็นใคร”
สายตาของโอดิคกวาดทั่วใบหน้าของซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งสะอาดสะอ้านและดูดีกว่านักล่าซากอารยะโดยทั่ว
ไป จากนั้นก็ผงกศีรษะจนแทบจะมองไม่เห็น
“นั่นสินะ พวกคุณไม่มีเหตุจูงใจให้ลงมือ”
แน่นอนว่าเจี่ยงไป๋เหมียนย่อมไม่ปรารถนาจะสนทนาต่อในหัวข้อนี้ต่ออีก เธอคลี่ยิ้มและเปลี่ยนเรื่อง
“ฉันสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับเหลยอวิ๋นซงและหลินเฟยเฟยกับคุณได้
“แต่คุณต้องรับปากว่าจะให้ข้อมูลที่มีมูลค่าเท่ากันมาแลกเปลี่ยน”
โอดิคไม่ได้ยอมรับในทันที เขาถามกลับ
“เป็นข้อมูลที่พวกคุณได้รับมาก่อนหน้านี้งั้นหรือ”
เขาไม่เชื่อหรอกว่าสองคนเบื้องหน้านี้จะสามารถหาเบาะแสใหม่ได้เร็วกว่าตนเอง
ไม่ว่ายังไงเขาก็มั่นใจในฝีมือการตามแกะรอยของตัวเองอย่างมาก
“ใช่” เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้ารับอย่างยิ้มแย้ม
“ก็ได้” โอดิคยอมรับข้อตกลง
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลียวซ้ายแลขวาแสร้งทำทีว่ากำลังระวังตัว
“เมื่อราวเดือนกว่าๆ ก่อนหน้านี้ เหลยอวิ๋นซงกับหลินเฟยเฟยไปเข้าพบคนระดับสูงของสมาคม
“ส่วนจะเป็นใครนั้น ฉันก็ยังไม่รู้”
ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองมือซ้ายของหัวหน้าทีมที่ล้วงกระเป๋าอยู่ ไม่ได้เปิดโปงว่าเธอกำลังหลอกใช้ให้โอดิคไปสืบสวนเรื่องนี้
ในฐานะ ‘นักล่าชั้นสูง’ นั้น โอดิคย่อมมีโอกาสพบปะคนระดับสูงของสมาคมอยู่เสมอ
“ไปเข้าพบคนระดับสูงของสมาคม…” โอดิคทวนคำอย่างครุ่นคิดด้วยสีหน้างุนงงอยู่บ้าง
จากนั้นเขาก็โบกมือลาอย่างมีมารยาท
“ขอบคุณ ไว้เจอกันใหม่”
“แล้วข้อมูลที่จะให้พวกเราล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ประหลาดใจ เพียงแค่แปลกใจนิดหน่อย
มุมปากของโอดิคขยับเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้ม
“เอาไว้ให้ผมรู้ว่าคนระดับสูงคนไหนที่พวกเขาไปพบ และรู้ว่าคุยเรื่องอะไรกัน ผมจะมาเล่าให้คุณฟัง
“นี่เป็นข้อมูลที่คุณต้องการรู้ที่สุดไม่ใช่หรือไง”
“ตกลง” เจี่ยงไป๋เหมียนยังคงยิ้มไม่เปลี่ยน
เมื่อโอดิคหันหลังจากไป เธอก็ถอนหายใจให้กับซางเจี้ยนเย่าที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“อย่างน้อยเขาก็ยังพอฉลาดอยู่บ้างล่ะนะ…”
“ถ้าไม่ฉลาดเลยสักนิด อาศัยแค่พลังพิเศษอย่างเดียว เขาก็คงตายไปนานแล้วล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบ
“นั่นสินะ…” เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเห็นพ้องด้วย
หลังจากที่ดูรายการภารกิจที่เลื่อนผ่านบนหน้าจอขนาดใหญ่แล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็พลิกข้อมือยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา จากนั้นก็พาซางเจี้ยนเย่าออกจากสมาคมนักล่าไปยังจัตุรัสกลาง หาม้านั่งเพื่อนั่งลง
ครึ่งชั่วโมงถัดมา เธอก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะพูดขึ้น
“ฉันไปห้องสมุดก่อนนะ”
“ที่นั่นมีห้องน้ำหรือเปล่า” ซางเจี้ยนเย่าโพล่งถามขึ้น
“มีมั้ง…” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะเล็กน้อย
“อย่าลืมไปตรวจดูไว้สักหน่อย
“คนที่ชอบไปห้องสมุดควรต้องตอบคำถามนี้ให้ได้”
เจี่ยงไป๋เหมียนอยากจะหัวเราะและด่าทฤษฎีพิลึกพิลั่นของเขา ทว่าหลังจากใคร่ครวญแล้วก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องสมเหตุสมผล
เนื่องจากห้องสมุดนั้นเป็นสถานที่ที่เธอและเฉินซวี่เฟิงใช้ ‘ติดต่อ’ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน เธอจึงไม่ได้อยู่ในนั้นนานนัก สองครั้งก่อนหน้านี้ก็รีบเข้ารีบออก ให้ความใส่ใจแค่เฉพาะเส้นทางหลบหนีเผื่อเจอเหตุไม่คาดฝันเท่านั้น
แต่นี่กลับทำให้ดูน่าสงสัยอยู่บ้าง
มีใครที่ไหนบ้างที่เข้าห้องสมุดแล้วกลับออกมาภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที แถมยังไม่ได้ยืมหนังสืออะไรกลับมาอีกด้วย
“ไม่เลว ความคิดละเอียดถี่ถ้วนมาก” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ตระหนี่คำชม จากนั้นเธอก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ที่คุยกันเมื่อกี้ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนบทสนทนาของพวกเราสลับกันเลยนะเนี่ย”
ซางเจี้ยนเย่ามองเธอด้วยสายตาแปลกๆ
“ผมเพิ่งคิดได้เมื่อกี้นี่เองเพราะว่าอยากจะไปใช้ห้องน้ำหน่อย”
พูดเสร็จเขาก็ยืนขึ้นแล้วรีบพูดเสริมทันทีก่อนที่เจี่ยงไป๋เหมียนจะ ‘ด่า’ ออกมา
“ผมพยายามศึกษาเรียนรู้วิธีคิดของคุณน่ะ”
คิ้วที่ขมวดของเจี่ยงไป๋เหมียนคลายออก
“ดีมาก
“แต่อย่าทิ้งคุณลักษณะของตัวเองไปเสียล่ะ เพื่อจะได้เสริมจุดเด่นลดจุดด้อยซึ่งกันและกันได้ มีเจี่ยงไป๋เหมียนสองคนน่ะ ไม่ดีเท่ามีเจี่ยงไป๋เหมียนหนึ่งรวมกับซางเจี้ยนเย่าอีกหนึ่งหรอก”
“คุณลืมไป๋เฉินกับหลงเยว่หงแล้วเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าแย้ง
เจี่ยงไป๋เหมียนกลอกตามองบน คร้านจะแย้งหมอนี่อีก
หลังจากเข้าไปในห้องสมุดและถามบรรณารักษ์ว่าห้องน้ำอยู่ที่ไหน เจี่ยงไป๋เหมียนก็เดินดูชั้นหนังสือรอบๆ และหยิบหนังสือที่ยังไม่เคยอ่านขึ้นมาพลิกดูเป็นครั้งคราว ดื่มด่ำไปกับการท่องอยู่ในมหาสมุทรแห่งความรู้อย่างเป็นสุข
ผ่านไปเนิ่นนาน เธอค่อยเดินไปยังมุมที่คุ้นเคย ในตำแหน่งที่คุ้นเคย แล้วหยิบ ‘ประมวลกฎหมายรายได้ในประเทศ’ ขึ้นมาก่อนจะหยิบกระดาษที่พับสอดไว้ในนั้นออกมา
เธอคลี่กระดาษอย่างไม่รอช้า กวาดสายตามองดูเนื้อหาที่เขียนไว้
“บริษัทมีคำแนะนำดังนี้
“‘นิกายทอนปัญญา’ เป็นองค์กรศาสนาเช่นเดียวกับ ‘ชุมนุมชีวิตเขลา’ และ ‘นิกายสุญนิยม’ พวกเขาศรัทธาในผู้ครองกาลที่ควบคุมเดือนสาม ปัจฉิมมรรตัย แต่มีแนวคิดและความเชื่อบางประการที่แตกต่างกัน พื้นที่ที่เผยแพร่นิกายก็เป็นคนละเขต อาจจะมีบางพื้นที่ซ้อนทับกันบ้าง…
“นิกายนี้เชื่อว่าการที่โลกเก่าถูกทำลายนั้นเป็นเพราะความคิดและการแสวงหาความรู้ของมนุษย์ พวกเขาจึงต้องการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ…
“สาวกของพวกเขามีผู้ตื่นรู้อยู่จำนวนหนึ่ง พลังพิเศษที่พวกเขาสำแดงออกมาค่อนข้างหลากหลาย แต่เท่าที่เห็นนั้นส่วนใหญ่อยู่ในเขตพลังที่เกี่ยวข้องกับการสะกดจิตและความทรงจำ…
“เมื่อสองปีก่อน นิกายนี้ได้ลอบสังหารโซลส์ อาวุโสของวุฒิสภาใน ‘ปฐมนคร’ ซึ่งรับผิดชอบด้านการศึกษาของพลเมือง จึงถูกกวาดล้างอย่างหนักและหายเงียบไปเป็นเวลานาน…
“พูดกันว่าสาวกคนที่เป็นผู้นำในการลอบสังหารยังคงมีชีวิตอยู่ เขาเป็นบุคคลอันตรายอย่างยิ่งยวด และเป็นคนสุดโต่งอย่างสุดขั้ว
“เขาเป็นเพศชาย ไม่ทราบลักษณะหน้าตา ไม่ทราบส่วนสูง มีฉายาว่า ‘บาทหลวง’…”
“บาทหลวง… สะกดจิต… ความทรงจำ…” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดทวนชื่อพวกนี้อย่างเงียบงัน สีหน้ากลายเป็นเคร่งเครียด
ในตอนนี้เธอมีความเข้าใจแง่ใหม่เกี่ยวกับความผิดปกติของเหลยอวิ๋นซงและหลินเฟยเฟยแล้ว
หลังจากเก็บกระดาษแผ่นนั้นไปแล้วเธอก็เดินไปรอบๆ ห้องสมุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะไปพบกับซางเจี้ยนเย่าซึ่งทำธุระส่วนตัวที่ห้องน้ำเสร็จแล้ว
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้พูดถึงข้อมูลที่เธอเพิ่งได้รับมา แต่รีบพาซางเจี้ยนเย่ากลับไปยังชั้นสองของ ‘ร้านปืนอาฝู’ ทันที
เมื่อปิดประตูห้องแล้วเธอถึงจะนำกระดาษออกมายื่นให้ซางเจี้ยนเย่า
“นายลองดูนี่ก่อน”
วันนี้อากาศค่อนข้างมืดครึ้ม ภายในห้องมีแสงไม่มากนัก ซางเจี้ยนเย่าจึงต้องเดินไปที่หน้าต่างเพื่ออ่านเนื้อหาในนั้น
“คิดอะไรได้บ้างไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนเอ่ยปากถามเมื่อเห็นว่าเขาอ่านจนใกล้จบแล้ว
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
“อยากจะอัดคนที่ชื่อว่า ‘บาทหลวง’ นั่น”
เมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรอีกแล้ว
“ก็ยังไม่แน่ว่าเขาเป็นคนรับผิดชอบที่นี่สักหน่อย”
“สมมติว่าใช่ไปก่อนก็แล้วกัน” ซางเจี้ยนเย่าพยายามเกลี้ยกล่อมหัวหน้าทีม
เจี่ยงไป๋เหมียนยอมรับฟังความเห็น ตอบรับ “อืม อืม” ออกไปสองคำ
“ถ้ามองแบบนี้ก็มีความเป็นไปได้มากว่าเหลยอวิ๋นซง หลินเฟยเฟย แล้วก็คนอื่นๆ ถูกสะกดจิตอยู่ หรือไม่ก็ถูกครอบงำความทรงจำ
“ดังนั้นพวกเขาจึงเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ แต่กลับไม่ยอมติดต่อทางบริษัท
“แต่คำถามก็คือ… แล้วอีกสามคนที่เหลือหายไปไหน ทำไมถึงไม่มีร่องรอยแม้แต่น้อย
“ทำไม ‘นิกายทอนปัญญา’ ถึงได้สะกดจิตหลินเฟยเฟยกับคนอื่นๆ ล่ะ ไม่น่าจะมีเจตนาเพียงแค่ต้องการหามือปืนเพียงอย่างเดียวหรอก ใช่ไหมล่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าไม่เห็นด้วย
“ถ้าดูจากระดับสติปัญญาของพวกเขา มันก็เป็นไปได้อยู่นะ”
“นี่มันค่อนข้างจะเป็นปัญหาอยู่ล่ะ ฉันไม่สามารถประเมินความคิดของคนจำพวกนี้ได้…” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดต่ออย่างยากจะตัดสินใจอยู่บ้าง “ถ้ามองจากสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ จะเห็นว่า ‘นิกายทอนปัญญา’ พยายามเรียกร้องให้สาวกทั่วไปเลิกใช้ความคิด และให้ผู้ถูกเลือกภายในเป็นคนคอยชี้นำ ดังนั้นพวกเขาก็ไม่น่าจะไร้สมอง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เธอก็นึกขึ้นมาได้
“ยังจำตอนที่นายสงสัยว่าตัวเองอาจจะถูกโจมตีในตอนอยู่ที่บริษัทได้ไหม”
“จำได้” ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที “หรือว่าเขาจะเป็นสายลับที่นิกายปัจฉิมมรรตัยส่งเข้ามาแทรกซึมอยู่ในนิกายของตุลากรชะตา”
“ก็ไม่แน่ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นหรอกน่า… ถ้ามองจากมุมมองในตอนนี้ ถึงแม้ว่าผู้ตื่นรู้ของแต่ละองค์กรศาสนานั้นส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตพลังที่สอดคล้องกับผู้ครองกาลแต่ละองค์ก็ตาม แต่ก็ยังมีข้อยกเว้นอยู่หลายอย่าง…
“และก็ยังไม่รู้ด้วยว่าพวกผู้ตื่นรู้นั้นทำได้เป็นเพียงแค่ผู้ชี้นำโดยไม่สามารถควบคุมทุกอย่างได้ตามใจชอบ หรือว่าเป็นเพราะพวกระดับสูงเจตนาทำเช่นนั้นเพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าพลังพิเศษดูแข็งแกร่งเกินไปจนทำให้กองกำลังของศัตรูออกมาขัดขวาง” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างครุ่นคิด
“สรุปก็คือต้องบอกให้เสี่ยวไป๋กับเสี่ยวหงเตรียมการเผื่อว่าอาจจะถูกสะกดจิตหรือถูกครอบงำความทรงจำ”
เวลาล่วงเลยจนเกือบเที่ยงวัน ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงก็กลับมาถึง แล้วรายงานข้อมูลต่างๆ ที่พวกตนได้ยินได้ฟังมาเมื่อช่วงเช้า
“การหายตัวของยูจีนนั้น ในตอนนี้มีผู้ต้องสงสัยอยู่สามคน
“คนแรกคือหัวหน้าตระกูลจ้าวที่ถนนเหนือ จ้าวเจิ้งฉี เขาเป็นสมาชิกของสภาขุนนางเมืองหญ้าไพร และก็ล่าทาสด้วย จึงนับได้ว่าเป็นคู่แข่งของกลุ่มยูจีน พวกเขามีเรื่องกระทบกระทั่งกันบ่อยครั้ง
“คนที่สองคือซุนจิ้ง เป็นน้องชายของหัวหน้าตลาดมืดซุนเฟย เขาเป็นเจ้าของบาร์หนึ่งแห่งกับไนต์คลับอีกหนึ่งแห่งในตรอกหมาป่าไพร มีกลุ่มอันธพาลอยู่ในอาณัติ ค่อนข้างแข็งแกร่งและมีอิทธิพลมากทีเดียว ที่เขาตกเป็นผู้ต้องสงสัยก็เพราะว่าลูกสาวสุดที่รักซึ่งเป็นหัวแก้วหัวแหวนได้หายตัวไปกว่าสองปีแล้ว และคาดว่าเป็นฝีมือของยูจีน
“คนที่สามคือคนในสภาขุนนาง พวกเขาเจตนาทำให้ยูจีนหายตัวไปเพื่อใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างให้กลุ่มค้าทาสกับกองกำลังของปฐมนครเข้ามาในเมือง โดยมีวัตถุประสงค์ที่ไม่อาจบอกให้ใครรู้ได้”
หลังจากที่เจี่ยงไป๋เหมียนฟังจนจบ เธอก็หัวเราะออกมา
“ฟังแล้วรู้สึกว่าน่าเชื่อถือมากจริงๆ นี่ถ้าหากว่าพวกเราไม่ใช่ผู้ร้ายตัวจริง ฉันก็คงเชื่อไปแล้วว่าต้องเป็นฝีมือของหนึ่งในสามนี่แน่ๆ”