หลังจากที่เขาหยิบเอกสารออกมาจากในซอง แค่เหลือบมองดูก็สีหน้าเปลี่ยน
เฮ่อสวินเงยหน้าขึ้นทันที มองอย่างไม่กล้าเชื่อสายตา “ผู้อำนวยการ!”
“อาจารย์เฮ่อ ผมรู้ว่าคุณจบจากมหาวิทยาลัยนอร์ตัน ความรู้มากพอ” ผู้อำนวยการพยักหน้า
“ตอนนั้นที่ชิงจื้อเชิญคุณมาก็เพราะเล็งเห็นความสำคัญของสองจุดนี้ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันนี้ ก็พิสูจน์แล้วว่าคุณ…”
หยุดเล็กน้อย เขาพูดอ้อมค้อม “ยังต้องไปหาประสบการณ์ในสังคมอีกสักหน่อย”
ความหมายก็คือ คุณไม่เหมาะที่จะเป็นอาจารย์
ไม่ว่าอย่างไรเฮ่อสวินก็ไม่คาดคิดว่าชิงจื้อจะลงโทษเขาด้วยการเชิญออก
เพราะเขาได้เปรียบจากมหาวิทยาลัยที่จบมาโดยตลอด อย่างน้อยเขาก็ยังไปที่มหาวิทยาลัยนอร์ตันได้ หลายคนไปที่นั่นไม่ได้
“อาจารย์เฮ่อ ชิงจื้อเอานักเรียนเป็นหลักครับ” ผู้อำนวยการพูด “ในสายตาของผม สุขภาพจิตของนักเรียนสำคัญยิ่งกว่าผลการเรียนของพวกเขา คุณข่มนักเรียนที่เรียนแย่พวกนั้นเคยคิดบ้างไหมว่า ถ้าเกิดวันหนึ่งถ้าพวกเขาแบกรับความกดดันไม่ไหวจะเกิดผลลัพธ์ที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรบ้าง”
อันที่จริงอิ๋งจื่อจินไม่ใช่แค่คนแรก ก่อนที่เธอจะย้ายมาก็เคยมีนักเรียนคลาสทั่วไปที่ถูกเฮ่อสวินตำหนิจนต้องย้ายโรงเรียน
เดิมทีทางโรงเรียนไม่ทราบเรื่องนี้ว่าเกี่ยวข้องกับเฮ่อสวิน
เป็นเพราะการถามตอบครั้งแรกนี้ ภาพลักษณ์ของเฮ่อสวินเสียหายไปมาก จึงมีนักเรียนยกเรื่องเก่าขึ้นมาพูดอีกครั้งและร้องเรียน
เฮ่อสวินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แต่เธอตอบได้ทั้งนั้น”
ไม่เสียหายแม้แต่น้อย
“อาจารย์เฮ่อ ดูเอานะครับ นี่ก็คือข้อบกพร่องของคุณ” สีหน้าของผู้อำนวยการเย็นชาลง “คุณจบจากมหาวิทยาลัยนอร์ตันอันนี้ไม่เถียง แต่คุณแบ่งแยกนักเรียนแบบนี้ ทางชิงจื้อไม่มีทางเก็บไว้ครับ”
พอเฮ่อสวินได้ยินคำพูดนี้ก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีหนทางให้ต่อรองแล้ว
“ผู้อำนวยการครับ ผมยอมรับการเชิญออกได้” เฮ่อสวินจำต้องสงบเสงี่ยมลง “แต่เรื่องสัมภาษณ์ของมหาวิทยาลัยนอร์ตัน ผู้อำนวยการให้ผมตามต่อนะครับ ถือเป็นการไถ่โทษจากผม”
เรื่องที่โรงเรียนมัธยมชิงจื้อไม่เคยรู้ ไม่ใช่ว่าชิงจื้อขาดเขาไม่ได้ แต่เขาขาดชิงจื้อไม่ได้หากออกไป การสอบของเขาก็จะไม่สามารถสำเร็จได้
ถ้าทางมหาวิทยาลัยนอร์ตันยกเลิกทะเบียนนักศึกษาของเขาจริง
“อ่อ ก็ไม่กี่วันแล้วสินะ” ผู้อำนวยการพยักหน้า “งั้นหลังจากที่จบการสัมภาษณ์ของมหาวิทยาลัยนอร์ตันก็รบกวนอาจารย์เฮ่อไปจากชิงจื้อโดยเร็วแล้วกันครับ”
พูดมาถึงขั้นนี้แล้วเฮ่อสวินยังจะมีหน้าอยู่ต่อได้อย่างไร เขาหยิบเอกสารแล้วเดินออก
พอเปิดประตูก็มีเสียงผู้อำนวยการพูดตามหลังอีกครั้ง
“จริงสิ ในเมื่อคุณเฮ่อไม่ใช่อาจารย์ของชิงจื้อแล้ว ก็ช่วยย้ายออกจากที่พักที่ทางโรงเรียนจัดให้โดยเร็วที่สุดนะครับ”
…
ห้องสิบเก้า
เจียงหรานกำลังเอาชุดนักเรียนคลุมโปงหลับ เนื่องจากช่วงนี้กำลังภายในในร่างกายของเขาเริ่มพลุ่งพล่านระลอกใหม่อีกแล้ว
แต่ได้ยินเสียงอึกทึกข้างหูตลอด จึงหงุดหงิดจนถีบโต๊ะไปหนึ่งที
พอเงยหน้าขึ้นมาเจียงหรานก็เห็นมีคนมาอออยู่ที่ประตูหน้ากับประตูหลังของห้องเรียน พวกลูกน้องขวางอยู่ที่ประตูไม่ให้นักเรียนพวกนั้นเข้ามา
เจียงหรานข่มความหงุดหงิดแล้วถามขึ้น “พวกเขามาทำอะไร มีตลาดนัดเหรอ”
เขาชอบความสงบ ดังนั้นห้องเรียนของห้องสิบเก้าจึงอยู่ห้องสุดท้ายของชั้น
เนื่องจากขาใหญ่ของชิงจื้ออยู่ที่ห้องสิบเก้าหมด พวกนักเรียนจึงเลี่ยงได้ก็เลี่ยง
มีคนมามากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
“อ๋อ” ซิวอวี่ส่องกระจก กำลังใช้ลิปสติกแท่งใหม่ที่อิ๋งจื่อจินให้มา
“ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ มากราบไหว้เทพอิ๋งไง”
เจียงหราน “…”
คราวนี้เขาไม่โมโหแล้ว หันไปหาอิ๋งจื่อจิน กระแอมเล็กน้อย “เอ่อคือ พ่ออิ๋ง ยืมที่อุดหูหน่อยสิ”
อิ๋งจื่อจินหันไปมองเขาแล้วหยิบกล่องที่อุดหูที่ไม่เคยใช้ออกมาจากกระเป๋าหนังสือโยนให้เขา
ในขณะที่เจียงหรานกำลังเตรียมหลับตานอนต่อ พวกลูกน้องก็ยกกล่องหลายใบเข้ามาวางบนพื้น
“พ่ออิ๋ง อะ”
“อะไรน่ะ” เจียงหรานก้มมองก็เห็นกองซองจดหมายสีชมพูบ้างน้ำเงินบ้าง “…”
ของพวกนี้เขาคุ้นเคยมาก
“จดหมายรักไง” ลูกน้องภูมิใจมาก “เพื่อไม่ให้พวกเขารบกวนการพักผ่อนของพี่หราน พวกเราเลยให้พวกเขาอยู่แค่หน้าประตูแล้วรับจดหมายรักเข้ามาให้”
เจียงหรานอุดหูตัวเองทันที คลุมโปงหลับต่อ
“สองลังนี้ น่าจะหลายร้อยฉบับหรือเปล่า” ซิวอวี่หยิบขึ้นมาหนึ่งฉบับ “พ่ออิ๋งเป็นสุดยอดของฉันอย่างมากก็แค่ได้ครั้งละไม่กี่สิบฉบับ”
อิ๋งจื่อจินวางหนังสือในมือลง ครุ่นคิด “พวกเขาส่งจดหมายรักมาให้เพราะฉันสอบได้ดีเหรอ”
ซิวอวี่คิด “ดูเหมือนจะใช่นะ”
อิ๋งจื่อจินตอบ “อ่อ” ก้มหน้าอีกครั้ง “ตาไม่ถึง”
“พ่ออิ๋ง นี่เป็นเรื่องดีออก” ซิวอวี่สำลัก “นี่ก็แสดงว่าพวกเขาไม่สนใจหน้าตา มองจากภายใน”
“งั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้ ฉันสนหน้าตา”
“…”
เป็นเหตุผลในการปฏิเสธที่ดี
ลูกน้องเกาหัว ค่อยๆ ยกลังออกไปอีกครั้ง
“พ่ออิ๋ง วันนั้นศาสตราจารย์ที่มาจากตี้ตูว่าไงบ้างเหรอ” ซิวอวี่สงสัย “อยากรับเธอเป็นพิเศษเหรอ”
“ไม่ใช่” หนังสือที่อิ๋งจื่อจินกำลังอ่านอยู่คือตำนานเทพเซลติก “เขาอยากให้ฉันไปเป็นแรงงานให้เขา”
ซิวอวี่ “?”
เธออาจไม่เข้าใจความคิดของพวกเทพ
“พ่ออิ๋ง หลังเรียนจบถ้าเธอไม่อยากเรียนมหาวิทยาลัยก็ตามฉันไปที่ตี้ตูสิ” ซิวอวี่พูดอย่างจริงจัง
“ฉันเลี้ยงเธอไหว”
“ตี้ตู…” อิ๋งจื่อจินหยุดเล็กน้อย “ค่อยว่ากัน”
…
เช้าวันพุธฟู่อีเฉินถึงถูกปล่อยกลับคฤหาสน์ตระกูลฟู่
เขาถูกคนเอามาทิ้งไว้หน้าคฤหาสน์ ถูกมัดมือมัดเท้า ปากก็มีก้อนผ้าอุดอยู่
ฟู่อีเฉินทำได้เพียงส่งเสียงอู้อี้ หากไม่ใช่เพราะคนสวนออกมารดน้ำพอดี เขาก็อาจต้องนอนอยู่ในพงหญ้าทั้งวันทั้งคืน
ผู้เฒ่าฟู่ถูกส่งกลับไปที่โรงพยาบาลอันดับหนึ่งเมื่อก่อนหน้านี้ไม่นาน ฟู่หมิงเฉิงไปบริษัทแล้ว ในบ้านเหลือแค่คุณนายฟู่กับน้องสะใภ้คนอื่นๆ
ตอนคุณนายฟู่เห็นฟู่อีเฉินก็ตกใจมาก “อีเฉิน ทำไมแก…”
“แม่…” ฟู่อีเฉินถึงขนาดไม่กล้าร้องไห้ เพราะพอร้องก็จะเจ็บแผล
เขาจมูกเขียวหน้าบวม ฟันก็ถูกต่อยจนหักไปหลายซี่ พูดจาก็ติดๆ ขัดๆ “แม่…แม่ต้องจัดการให้ผมนะ ฟู่อวิ๋นเซินมันทำเกินไปแล้ว มันทำผมเป็นสภาพนี้เห็นชัดๆ เลยว่ามันไม่เห็นแม่กับพ่ออยู่ในสายตา”
พวกน้องสะใภ้ที่อยู่ข้างๆ พอได้ยินแบบนี้ก็มองมา หนึ่งในนั้นพูดด้วยน้ำเสียงประชดกึ่งไม่เชื่อ “พี่สะใภ้ใหญ่ ได้ยินไม่ผิดใช่ไหม เขาบอกว่าฝีมือคุณชายเจ็ดเหรอ”
คนทั้งฮู่เฉิงใครไม่รู้บ้างว่าฟู่อวิ๋นเซินเป็นคนอย่างไร
เสเพล ไม่เอาไหน ไร้สาระไปวันๆ
แค่เขายังจะกล้าทำร้ายพี่รองของตัวเองเหรอ
เว้นเสียแต่อยากถูกไล่ออกจากตระกูลฟู่
“เขาพูดเล่นน่ะ” สีหน้าของคุณนายฟู่ไม่ค่อยดี “พวกเธอคุยกันไปก่อนนะ ฉันจะพาลูกไปทำแผล”
ฟู่อีเฉินเดินเองลำบาก คุณนายฟู่จำต้องให้คนใช้สองคนมาหามเขาไป พอเข้าไปในห้องนอน คุณนายฟู่ก็สงสารจับใจ “อีเฉิน ทำไมแกถึงมีสภาพเป็นแบบนี้”
“แม่ ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอ” ฟู่อีเฉินโมโหจนอยากกระทืบเท้า
“ผมถูกไอ้ลูกชายคนเล็กของแม่อัดมาไง”
“อีเฉิน ตอนนี้มีแค่พวกเราสองคน แกยังจะพูดเหลวไหลแบบนี้อีกเหรอ” คุณนายฟู่หยิบก้านสำลีชุบน้ำยาฆ่าเชื้อออกมาพลางส่ายหน้า “ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่”
“แม่ จริงๆ” เห็นคุณนายฟู่ไม่เชื่อ ฟู่อีเฉินก็ร้อนใจ “ผมเห็นกับตา คนที่พาคุณปู่ไปก็เป็นลูกน้องของฟู่อวิ๋นเซินเหมือนกัน มันจับผมขังไว้เจ็ดวันเจ็ดคืนให้ดื่มแค่น้ำ ผมใกล้จะตายแล้ว”
มนุษย์ถ้าดื่มแค่น้ำจะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ เห็นได้ชัดว่าฟู่อวิ๋นเซินคำนวณเวลาไว้อย่างดี จากนั้นก็ส่งเขากลับบ้าน
“ไม่ให้กินข้าวเหรอ” คุณนายฟู่ตกใจ “ฉันจะให้ห้องครัวทำอาหารเหลวให้แกกินหน่อย แกรีบนอนลง พักผ่อนก่อน”
ครั้งนี้ฟู่อีเฉินโมโหจนร้องไห้ “แม่ เป็นฟู่อวิ๋นเซินจริงๆ นะ เชื่อผมสิ มันรอแก้แค้นพวกเราอยู่แน่นอน จริงๆ นะ!”
“เอาล่ะ เลิกพูดเถอะ” คุณนายฟู่ดุ “ต่อไปพูดแบบนี้ให้น้อยๆ หน่อย ถ้าให้ฉันได้ยินอีกฉันจะลงโทษแกให้คุกเข่าที่ห้องบรรพชน”
…
อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานแสดงคอนเสิร์ตแล้ว อิ๋งลู่เวยกลับอารมณ์ดีมาก
อย่างไรเสียเธอก็มีวิธี ต่อให้เธอเล่นเพลงตะวันกับจันทราของวีร่า โฮลท์ซไม่ได้ แต่ภาพลักษณ์ก็ไม่มีทางพังทลาย
ยังไงซะขนาดโน้ตที่สมบูรณ์ยังไม่มี ต่อให้เป็นนักเปียโนชั้นแนวหน้าก็ไม่มีทางเล่นได้
ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ เธอจะทำยังไงอิ๋งจื่อจินถึงจะรับปากมางานคอนเสิร์ตของเธอ
ขณะที่อิ๋งลู่เวยกำลังพยายามเค้นสมองหาทางอยู่นั้น ประตูก็เปิดออก
เป็นผู้จัดการส่วนตัวของเธอ
“ลู่เวย ข่าวดี” ผู้จัดการส่วนตัวตื่นเต้นมาก “มีคำเชิญหนึ่งมาถึงมือเธอ บอกว่าอยากเชิญเธอไปรับบทในหนังของพวกเขา แต่ต้องมีเทสต์หน้ากล้อง”
พอได้ยินแบบนี้อิ๋งลู่เวยก็ยิ้ม พูดประชด “บริษัทไหนกันโง่ขนาดนี้ ให้ฉันแสดงหนังเหรอ ฉันไม่ใช่พวกขายการแสดงแบบคนในวงการบันเทิงหรอกนะ”
เธอเป็นคนของแวดวงดนตรี เธอสร้างภาพลักษณ์ในวงการบันเทิงก็เพื่อดึงดูดแฟนคลับให้มาเลื่อมใสในตัวเธอมากขึ้น
เธอเป็นถึงสาวไฮโซอันดับหนึ่งของฮู่เฉิง จะเหมือนดาราพวกนั้นได้ยังไง
“ต้องไม่ใช่บททั่วไปอยู่แล้ว ถ้าใช่ผมยังจะมาหาคุณเหรอ” ผู้จัดการส่วนตัวพูดเร็ว “ครั้งนี้เป็นภาพยนตร์ร่วมทุนสร้างของชูกวงมีเดียกับบริษัทภาพยนตร์ยูนิเวอร์แซลพิกเจอร์ส เล่าถึงประวัติศาสตร์ดนตรียุโรปตั้งแต่ศตวรรษที่สิบเจ็ดถึงสิบแปด”
“บทที่พวกเขาเชิญคุณไปแสดงก็คือวีร่า โฮลท์ซ!”
พวกเขาต้องการผู้หญิงที่อายุน้อย แถมมีบุคลิกดี ทั้งยังต้องเล่นเปียโนเก่ง มีชื่อเสียงและอิทธิพลในโลกไซเบอร์ด้วย นอกจากอิ๋งลู่เวยแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวก็นึกไม่ออกว่ายังจะมีใครที่เหมาะสมกับบทนี้อีก
เว้นเสียแต่วีร่า โฮลท์ซจะยังมีชีวิตอยู่
อิ๋งลู่เวยตกใจ “จริงเหรอ”
ถ้าเธอได้ถ่ายภาพยนตร์เรื่องนี้ เธอก็จะสามารถเข้าสู่วงการดนตรีในระดับสากลได้ สามารถคลุกคลีกับนักดนตรีชั้นแนวหน้าอย่างแท้จริงได้
ผู้จัดการส่วนตัวยังไม่ทันได้ตอบโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
เขาเหลือบมองหน้าจอ ตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม
“ทางชูกวงมีเดียโทรมา ต้องเป็นเรื่องนี้แน่นอน” ผู้จัดการส่วนตัวรับสาย “ฮัลโหล สวัสดีครับ ผมคือผู้จัดการส่วนตัวของคุณลู่เวยครับ”