เรื่องผ่านไปสิบหกปี ระยะเวลานานขนาดนี้ ร่องรอยหลายอย่างก็หายไปหมดแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นฝีมือของมนุษย์หรือไม่ แต่ตอนสืบก็ลำบากมาก
โดยเฉพาะตอนนั้นที่เทคโนโลยียังไม่ได้เจริญก้าวหน้าเท่าทุกวันนี้ ตามถนนแทบจะไม่มีกล้องวงจรปิด
คฤหาสน์ตระกูลอิ๋งมีกล้องวงจรปิดตรงแค่ที่หน้าประตูใหญ่ อย่างไรเสียด้วยฐานะของตระกูลอิ๋งในฮู่เฉิงก็มีแค่ไม่กี่คนที่จะกล้าทำเรื่องโจรกรรมในคฤหาสน์
ด้วยเหตุผลต่างๆ ทำให้พวกเขาสืบกันอยู่นานมาก จนในที่สุดก็มีเบาะแส
จากคำบอกเล่าของคนในอำเภอชิงสุ่ย มีอยู่วันหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2003 พวกเขาพบเด็กทารกถูกทิ้งที่ริมแม่น้ำ
ถึงแม้คนในอำเภอชิงสุ่ยจะยากจน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะมองไม่ออกว่าชุดที่เด็กทารกใส่หรูหรามีราคาแพง
ดูก็รู้ว่าเป็นลูกของคนมีฐานะ แต่กลับไม่มีป้ายชื่อหรืออะไรติดตัวที่สามารถยืนยันตัวตนได้เลย
เด็กทารกที่ถูกทอดทิ้งอายุยังไม่ถึงขวบ ได้แค่คลานกระท่อนกระแท่น ยังยืนไม่ได้
และก็ไม่มีใครรู้ว่าเด็กคนนี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ตอนเจอที่ข้อมือของเด็กยังมีรอยหยิก
ต่อให้บรรดาคนในอำเภอชิงสุ่ยจะโง่แค่ไหนก็สังเกตได้ทันทีว่าไม่ชอบมาพากล
เนื่องจากไม่อยากเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งที่ไม่ทราบแน่ชัด พวกเขาจึงพากันเลี่ยงเด็กคนนี้อย่างไม่ได้นัดหมาย แสร้งทำเป็นไม่เห็น
อีกทั้งเด็กที่ถูกทิ้งยังเป็นเด็กผู้หญิง อำเภอชิงสุ่ยเป็นพื้นที่บ้านนอก ยังคงยึดถือความคิดที่ให้ความสำคัญกับเด็กผู้ชายมากกว่า ยิ่งไม่มีใครอยากได้เข้าไปใหญ่
มีแค่เวินเฟิงเหมียนที่พาเด็กทารกกลับไปขณะที่เดินผ่านริมแม่น้ำหลังเลิกงาน
ตอนนั้นภรรยาของเขาเพิ่งหอบเอาเงินไปหมด หนีไปพร้อมกับลูกสาวคนโต
ในบ้านก็มีเด็กทารกที่เพิ่งคลอดได้ไม่นาน เป็นความยากจนแร้นแค้นเกินกว่าจะจินตนาการได้
เด็กทารกผู้หญิงที่ถูกตระกูลใหญ่ทอดทิ้งไม่ได้เป็นอะไรกับเขาแม้แต่น้อย เวินเฟิงเหมียนสามารถทำเหมือนคนอื่นๆ ในอำเภอชิงสุ่ยได้คือมองข้ามเด็กทารกคนนี้ โดยเฉพาะตัวเขาเองที่เดิมทีก็อัตคัดขัดสน
แต่เขาไม่ทำ
เขาพาเด็กทารกกลับบ้าน รับงานเสริมมากขึ้น เลี้ยงเด็กสองคน
เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปสิบหกปี
ช่วงหลายปีมานี้เนื่องจากทำงานหนักเกินไป ทำให้สุขภาพของเวินเฟิงเหมียนที่เดิมทีไม่ดีอยู่แล้วก็ยิ่งทรุดโทรม
แต่เขาก็ยังคงไม่เคยมีความคิดที่จะทอดทิ้งเด็กทารกคนนี้
ต่อให้ต่อมาตระกูลอิ๋งมาหาถึงบ้าน การที่เขาเลือกที่จะส่งตัวอิ๋งจื่อจินกลับไปไม่ใช่เพราะในที่สุดเขาก็ได้พ้นภาระแล้วหรือเพราะได้รับค่าชดเชยจากตระกูลอิ๋ง
แต่เป็นเพราะเขารู้ว่าเขาไม่สามารถให้สภาพแวดล้อมเพื่อให้เธอมีอนาคตที่สดใสได้
แต่ความจริงกลับไม่เหมือนที่เวินเฟิงเหมียนคิด เขาเองก็คาดไม่ถึงว่าตระกูลอิ๋งแค่ต้องการคลังเลือดมีชีวิต
“พวกเราได้ส่งคนออกไปสืบทีละบ้านตามเส้นทางหลายร้อยกิโลเมตรตั้งแต่บ้านตระกูลอิ๋งไปจนถึงอำเภอชิงสุ่ย” เด็กหนุ่มหยิบเอกสารออกมาปึกหนึ่ง “ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น แล้วก็สืบได้ความครับ”
ฟู่อวิ๋นเซินรับมา สายตาเย็นชา
“ตอนนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งอุ้มเด็กทารกไปพักที่โรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่ง” เด็กหนุ่มพูดต่อ “คุณชายเองก็ทราบว่าสมัยนั้นการเข้าพักยังไม่จำเป็นต้องใช้หลักฐานอะไร ปิดบังไปได้ง่ายๆ”
“โรงแรมนั้นปิดกิจการไปเมื่อสิบปีก่อน พวกเราสืบเจอเถ้าแก่เนี้ยของที่นั่น ตอนแรกสุดไม่ว่าพวกเราจะถามอะไรเธอก็ไม่ยอมบอก สุดท้ายพวกเราเลยใช้เงินหนึ่งล้านเพื่อเปิดปากเธอ”
ถึงแม้เวลาจะผ่านมานานมากแล้ว แต่เถ้าแก่เนี้ยกลับจำเรื่องนี้ได้ดี
คนกลุ่มนั้นเป็นชายหนึ่งหญิงสอง ตอนนั้นที่พวกเขาอุ้มเด็กทารกมาพักในโรงแรมเป็นช่วงกลางดึก
เถ้าแก่เนี้ยแต่งงานแล้ว มองออกว่าผู้หญิงไม่เคยมีลูก เห็นได้ชัดว่าอุ้มเด็กไม่ค่อยเป็น
อีกทั้งชุดที่เด็กทารกสวมใส่ก็คนละระดับกับสามคนนั้น
และที่สำคัญที่สุดคือตอนเถ้าแก่เนี้ยตื่นมาตอนเช้ามืดยังได้ยินบทสนทนาของทั้งสามคนนี้
บอกว่าคนตระกูลใหญ่ให้เงินพวกเขามาก้อนหนึ่ง สั่งให้พวกเขาเอาเด็กคนนี้ไปให้ไกลๆ ปล่อยตามมีตามเกิด เป็นตายก็ช่าง
ถ้าไม่ตายก็อย่าให้มาปรากฏตัวที่ฮู่เฉิงได้อีก
เถ้าแก่เนี้ยกลัวซวยก็เลยไม่ปริปากบอกใคร
สุดท้ายรายได้ของโรงแรมไม่ดี เถ้าแก่เนี้ยก็เลยเลิกกิจการ
หลายปีมานี้เธอจดจำเรื่องนี้ได้เพราะรู้สึกติดอยู่ในใจ ทั้งยังทำให้เธอฝันร้ายไประยะหนึ่ง
ตอนที่พวกเขาไปหา สาเหตุที่เถ้าแก่เนี้ยปิดปากเงียบไม่ยอมคุยก็เพราะแบบนี้
ในสายตาของเถ้าแก่เนี้ย เด็กทารกในตอนนั้นตายไปนานแล้ว การได้พูดออกมาก็ถือเป็นการหลุดพ้น
ฟู่อวิ๋นเซินไม่พูดอะไร ยังคงอ่าน แววตาขรึมลงเรื่อยๆ
“คนพวกนี้เอาคุณจื่อจินทิ้งไว้ที่ริมแม่น้ำในอำเภอชิงสุ่ย ทั้งยังจงใจเอาหญ้าริมน้ำบังตัวไว้ พอเสร็จเรื่องพวกเขาก็หนีไปต่างประเทศ ตอนนี้ถูกคนของเราคุมตัวไว้ได้แล้วครับ”
“ใช้วิธีการนิดหน่อยพวกเขาก็พูดออกมาหมด” เด็กหนุ่มแสยะยิ้ม “พวกเขาคงนึกไม่ถึงว่าคุณจื่อจินจะมีชีวิตรอดกลับไปที่ฮู่เฉิง”
เป็นใครก็ต้องนึกไม่ถึง
“อืม” ฟู่อวิ๋นเซินเปิดเอกสารดูจนจบ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เตรียมไว้ พอถึงเวลาก็โพสต์ทุกอย่างลงในเน็ต”
“พอถึงเวลาเหรอครับ” เด็กหนุ่มอึ้ง “ตอนนี้พวกเรามีหลักฐานครบแล้ว แค่คุณชายสั่งมาก็เข้าไปจับตัวได้เลยทันทีครับ”
“รอก่อน” สีหน้าของฟู่อวิ๋นเซินเรียบเฉย “รอเด็กน้อยเล่นสนุกให้พอใจก่อน”
เด็กหนุ่ม “…”
เขารู้สึกว่าคุณชายของพวกเขายังไม่แก่ก็มีหัวใจของคนเป็นพ่อวัยชราเสียแล้ว
“ตอนนี้…” ฟู่อวิ๋นเซินเงยหน้าขึ้นอย่างสง่างาม น้ำเสียงอ่อนโยน แต่คำพูดกลับโหดเหี้ยมจนน่าตกใจ “เอาให้ไม่ตายเป็นพอ”
เด็กหนุ่มมีสีหน้าตกใจ
เอาให้ไม่ตายมันโหดกว่าตายเสียอีก
เขาลังเลเล็กน้อย “ถ้าไม่สืบจนพบความจริง ผมยังนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเป็นฝีมือเธอครับ”
หลังจากที่เค้นถามชายหนึ่งหญิงสองพวกนั้น เขาก็ช็อกมาก
แต่หลักฐานประจักษ์อยู่ตรงหน้า ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
ฟู่อวิ๋นเซินไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมาย เขาตอบ “ไม่แปลก”
เขารู้มาตลอดว่าแผนชั่วของตระกูลใหญ่เกินกว่าที่คนธรรมดาจะจินตนาการได้
เข่นฆ่ากันเอง เชิดชูเมียน้อย เป็นเรื่องที่พบได้บ่อย
ถึงตระกูลอย่างตระกูลเนี่ยกับตระกูลมู่จะมีน้อยมาก
“คุณชายครับ ยังมีอีกเรื่อง” ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็นึกขึ้นมาได้ “ตอนที่ตามสืบเรื่องนี้ พวกเราเลยถือโอกาสสืบเรื่องภรรยาเก่าของคุณเวินเฟิงเหมียนด้วยครับ”
ดวงตาดอกท้อของฟู่อวิ๋นเซินขรึมลง “เดี๋ยวส่งมาให้ฉันด้วย”
…
ตกเย็น
ผู้เฒ่าจงไปที่บ้านตระกูลเวินคนเดียว
ได้เจอเวินเฟิงเหมียนอีกครั้ง เขาก็ยังคงเกิดความรู้สึกที่คุ้นเคยแบบที่บรรยายไม่ถูก แต่เขาก็นึกไม่ออก
ผู้เฒ่าจงแอบหงุดหงิด
คนเราพอแก่ตัวลงความจำก็ถดถอย
เขาต้องไปให้หมอตรวจดูหน่อยแล้ว ป้องกันโรคอัลไซเมอร์
อาหารเย็นเวินทิงหลานเป็นคนทำ
กับข้าวสี่อย่างซุปหนึ่งอย่าง ปริมาณไม่เยอะ พอให้สี่คนกินได้พอดี
ผู้เฒ่าจงหยิบตะเกียบขึ้นมา คิดอยู่สักพัก สุดท้ายก็ทนไม่ไหวจึงถามขึ้น “เฟิงเหมียน เมื่อก่อนเคยไปตี้ตูหรือเปล่า”
คำถามเดียวทำให้ทั้งสามคนพ่อลูกต่างหยุดชะงัก
เวินเฟิงเหมียนเงยหน้าขึ้น สีหน้ากลับไม่เปลี่ยนแปลง “ทำไมท่านผู้เฒ่าถามแบบนี้เหรอครับ”
“อ๋อ ฉันก็แค่รู้สึกคุ้นหน้านาย” ผู้เฒ่าจงไม่ปิดบัง “นายไม่เคยมาฮู่เฉิง ส่วนฉันก็เคยอยู่ที่ตี้ตูมานาน เลยคิดว่าพวกเราจะเคยเจอกันที่ตี้ตูหรือเปล่า”
“ท่านผู้เฒ่าคงจำผิดแล้วครับ” เวินเฟิงเหมียนยิ้ม “ผมเป็นคนอำเภอชิงสุ่ย ครึ่งชีวิตไม่เคยไปเมืองใหญ่ที่ไหน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตี้ตูเลยครับ”
“แต่ว่า…” ผู้เฒ่าจงเพิ่งพูดได้แค่นี้ อิ๋งจื่อจินที่อยู่ข้างๆ ก็รินน้ำให้เขาหนึ่งแก้ว
“ดื่มน้ำค่ะคุณตา”
เวินทิงหลานมองเวินเฟิงเหมียนแล้วมองอิ๋งจื่อจิน จากนั้นก็คีบปีกไก่ทอดให้ผู้เฒ่าจงหนึ่งชิ้น
เขาไม่ชอบพูด แต่ความหมายชัดเจนมาก
ผู้เฒ่าจง “…”
ดีมาก
สมกับเป็นพี่น้อง
เขากินปีกไก่พลางดื่มน้ำ พูดชม “เสี่ยวหลาน ฝีมือใช้ได้เลยนะ ต่อไปสอนตาบ้างสิ”
“ไม่เอา” ในที่สุดเวินทิงหลานก็อ้าปากพูด “ตาโง่”
อิ๋งจื่อจิน “…”
ผู้เฒ่าจง “…”
เวินเฟิงเหมียนปวดหัว แต่ก็จนปัญญา แถมยังรู้สึกเสียใจ
เด็กออทิสติกจะมีปัญหาในการสื่อสาร มักจะนั่งอยู่คนเดียวได้ทั้งวัน
เวินทิงหลานยอมพูดกับคนอื่นที่ไม่ใช่เขากับเยาเยาก็ถือว่าก้าวหน้ามากแล้ว
ผู้เฒ่าจงก็รู้ เขายิ้มตาหยี “เสี่ยวหลาน พรุ่งนี้พี่สาวเราจะแสดงบนเวทีแล้ว อยากตามตาไปดูด้วยกันไหม”
เขาอาจคิดมากไปจริงๆ คนในตี้ตูตั้งมากขนาดนั้น จะมีคนหน้าคล้ายเวินเฟิงเหมียนบ้างก็ไม่แปลก
เวินทิงหลานเงียบไปนานแล้วถึงพยักหน้า
“จื่อจิน พรุ่งนี้บ่ายไปเลือกชุดออกงาน” ผู้เฒ่าจงหันหน้าไป “ทรงผมด้วย ผมก็ต้องทำ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณตา” อิ๋งจื่อจินคีบหมูน้ำแดง พูดอย่างไม่รีบร้อน “หนูเตรียมคลุมกระสอบไป”
“…”
…
เมืองฮู่เฉิงเป็นเวลาเย็น เมืองฟลอเรนซ์เป็นเวลาบ่าย
แสงแดดเจิดจ้า สาดส่องบนพื้นราวกับเปลวเพลิง
สมัยนี้เทคโนโลยีพัฒนาไปเร็วมาก ฟลอเรนซ์ที่เป็นเมืองเก่าแก่แห่งนี้ก็เช่นกัน
ตึกรามบ้านช่องผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด
ผู้คนขวักไขว่ รถยนต์สัญจรไปมา
มีเพียงสวนแห่งหนึ่งที่ยังคงอนุรักษ์คงสภาพของศตวรรษที่สิบเจ็ดไว้
คฤหาสน์ลอเรนท์ตั้งตระหง่านอยู่ในสวนแห่งนี้ กินขนาดพื้นที่ที่กว้างมาก
ที่นี่ถึงขนาดที่ยังคงติดนิสัยรับส่งจดหมายกันอยู่
วันนี้พ่อบ้านของคฤหาสน์ได้รับจดหมายจากบุรุษไปรษณีย์
สิบกว่าฉบับ น้อยกว่าเมื่อวานเยอะมาก มีอยู่ฉบับหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของพ่อบ้าน
บนซองจดหมายไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ และไม่ได้เขียนชื่อผู้รับ
สิ่งที่พิเศษมีเพียงหนึ่งเดียวคือเป็นจดหมายที่ส่งมาจากประเทศจีน
พ่อบ้านคิด แต่ก็นึกไม่ออกว่าจะมีใครในประเทศจีนที่รู้จักกับสมาชิกของตระกูล
เขาถอนหายใจ หยิบจดหมายพวกนี้แล้วลุกขึ้น ทำตามคำสั่งเหมือนปกติ เริ่มโยนจดหมายเข้าเตาไฟทีละฉบับ