แฟนคลับที่นั่งอยู่ในหอประชุมส่งเสียงโห่อีกครั้ง
ด้วยสมบัติผู้ดีของจั๋วหลานหัน ทำให้ทนอยู่ตรงนั้นไม่ได้อีกต่อไป
เธอลุกขึ้นสีหน้าเย็นชา ไม่สนแล้วว่าการแสดงครั้งนี้จะจบลงหรือยังเธอก็จะเดินออก
ปรมาจารย์ด้านเปียโนระดับสูงอย่างจั๋วหลานหันย่อมมีกล้องคอยติดตาม
หลังจากที่เธอทำท่าทางแบบนี้ ความสนใจในห้องถ่ายทอดสดจึงตกมาที่เธอทันที
[ยังไม่ลงไปอีก ไม่เห็นหรือไงว่าทำยายจั๋วโมโหเดินออกแล้ว ยายจั๋วเป็นนักเปียโนชั้นแนวหน้าของจีนในยุคยายฉันเลยนะ]
[ลู่เวยน่าเห็นใจเหลือเกิน อุตส่าห์เชิญพวกยายจั๋วมาได้ กลับถูกเด็กบ้านนอกที่ไม่รู้เรื่องเปียโนทำเสียเรื่องหมด]
[น่าโมโหชะมัด น่าโมโหชะมัด น่าโมโหชะมัด]
แต่จั๋วหลานหันยังไม่ทันเดินออกจากหอประชุม ทันใดนั้นฝีเท้าก็หยุดลง หันไปมองทางเวที
มีประกายแสงสีทองอ่อนๆ โผล่ออกมาจากด้านหลังม่านสีแดงเข้ม พนักงานสวมชุดสูททรงหางนกนางแอ่นสี่คนกำลังยกเปียโนหลังหนึ่งขึ้นมา
เดิมทีเชออวี้กำลังสะลึมสะลือมีเหลือบมองบ้างเป็นครั้งคราว แต่วินาทีนี้เขาตื่นอย่างสิ้นเชิงจนเกือบเด้งขึ้นมายืน
“โอ้ มาย ก็อด” บาร์ตถลึงตาโตจ้องเขม็ง “เบิร์ก หยิกฉันหน่อย รีบหยิกฉันเร็วเข้า”
นั่นเป็นเปียโนสามขาสไตล์โรโกโก
ตัวเปียโนเป็นสีทอง แต่ไม่เชย กลับดูมีราคาล้ำค่า หรูหรางดงาม
รอบตัวเปียโนมีลวดลายแกะสลัก และวาดลายอย่างประณีต เคลือบทองทั้งหมด
ทุกตารางนิ้วถูกทำออกมาอย่างตั้งใจ ลวดลายพลิ้วไหวดูกลมกลืน
เมื่อเทียบกับเปียโนสีทองตัวนี้ เปียโนของอิ๋งลู่เวยกลายเป็นท่อนไม้ที่ดูกะโหลกกะลาไปทันที
ถึงแม้คนที่มองเปียโนหลังนี้ออกจะมีไม่มาก แต่ต่อให้เป็นคนนอกวงการก็ไม่มีทางมองมูลค่าของมันไม่ออก
“นี่มันหลุยส์สิบห้า!” บาร์ตตื่นเต้นขึ้นมาทันที “ฉันเคยเห็นในพิพิธภัณฑ์ครั้งหนึ่ง!”
หลุยส์สิบห้าเป็นชื่อเปียโน เป็นเปียโนที่ ซี เบชสไตน์ แบรนด์เปียโนชั้นนำในวงการเคยทำให้ราชวงศ์ยุโรปเป็นการเฉพาะ
การทำตัวเปียโนตัวนี้ได้ใช้บุคลากรผู้เชี่ยวชาญในแต่ละวงการหนึ่งร้อยสี่สิบคน อาทิ นักทำเปียโน จิตรกรภาพสีน้ำมัน ช่างแกะสลักเป็นต้น ใช้เวลาทำถึงสามปีกว่าจะสำเร็จ
ลำพังแค่การเคลือบทองก็ใช้ทองมากถึงสามกิโลกรัมแล้ว
จวบจนทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นเปียโนที่มีราคาแพงที่สุดในโลกราคาอยู่ที่ยี่สิบล้านดอลลาร์
หอประชุมเงียบสนิทราวกับไร้ผู้คน บรรดาแฟนคลับของอิ๋งลู่เวยไม่แม้แต่จะส่งเสียงออกมา
แต่คนที่ช็อกที่สุดก็คืออิ๋งลู่เวย
เธอไม่อยากจะเชื่อสายตาเลยจริงๆ
อิ๋งลู่เวยย่อมรู้จักหลุยส์สิบห้า เธอเคยไปชมที่ยุโรป
แต่เปียโนโบราณแบบนี้ทำไมถึงให้ยืมออกมาง่ายๆ แบบนี้!
“ช่วยหลบหน่อยครับ” พนักงานคนหนึ่งบอกเธออย่างสุภาพ “เปียโนตัวนี้ราคาสูงมาก ถ้าเสียหายคุณจะชดใช้ไม่ไหวนะครับ”
เสียงไม่ดัง แต่ก็เพียงพอให้คนที่นั่งแถวแรกๆ ภายในห้องประชุมที่เงียบสนิทได้ยิน
อิ๋งลู่เวยหน้าแดงก่ำแทบระเบิดท่ามกลางสายตาจำนวนมาก เธอโมโหเกินทน ถอยออกไปด้านข้าง เงยหน้าด้วยความรู้สึกเสียหน้ามือกำลังสั่น
[ไอ๊หยา แฟนคลับสมองเพี้ยนเจ็บหน้าไหม น้องอิ๋งเขาไม่สนใจเปียโนตัวละสามล้านนั่นหรอกนะ น้องเขาก็มี รู้หรือเปล่าเปียโนตัวนี้ราคาเท่าไร อ่อ…พวกเธอต้องไม่รู้แน่]
[งั้นฉันจะเมตตาบอกพวกเธอให้นะ นี่คือเปียโนอันดับหนึ่งของโลก นามว่าหลุยส์สิบห้า ราคายี่สิบล้านดอลลาร์!]
[แต่เปียโนราคาสามล้านของพวกเธอน่ะ คิดเป็นดอลลาร์ก็แค่สี่แสนกว่า ยังจะทำอวด]
เนี่ยเฉาเป็นคนพิมพ์สามข้อความนี้
ตรงหน้าเขามีคอมพิวเตอร์อยู่แปดเครื่องบนหน้าจอแต่ละเครื่องล้วนเป็นการถ่ายทอดสดคอนเสิร์ตของอิ๋งลู่เวย ซึ่งก็แสดงว่าเขาซื้อบัตรมาแปดใบ
คนที่ชมการถ่ายทอดออนไลน์ไม่ได้มีแค่แฟนคลับของอิ๋งลู่เวย ยังมีบางกลุ่มที่มาเพราะถูกดึงดูดความสนใจด้วยชื่อ วีร่า โฮลท์ซ เป็นผู้ที่ชื่นชอบเปียโนอย่างแท้จริง
ตอนนี้บรรดาแฟนคลับต่างพากันหุบปาก คนเหล่านี้จึงพอใจมาก
[เอาล่ะๆ เมื่อกี้ได้ฟังอะไรก็ไม่รู้ เดิมทีฉันยังอยากจะไปขอคืนเงินค่าบัตร แต่พอได้เห็นหลุยส์สิบห้ามันก็คุ้มแล้ว]
[จะว่าไปพวกเธอรู้สึกไหมว่า นักแสดงคนเมื่อกี้เล่นได้ธรรมดามาก ขนาดฉันดูผ่านจอยังเห็นได้ถึงกลิ่นอายความธรรมดาคละคลุ้งไปหมด]
[จงใจแหละมั้ง ดูเหมือนสองคนนี้จะเป็นอาหลานกันด้วยนะ ดังนั้น? ไม่เข้าใจเลยจริงๆ]
[หึหึ เปียโนยี่สิบล้านดอลลาร์แล้วไงล่ะ คนเล่นเปียโนไม่เป็นยังจะให้ใช้เปียโนราคาแพงขนาดนี้ คิดว่าตัวเองเป็น วีร่า โฮลท์ซ หรือไง ฉันว่านางควรจะรู้กาลเทศะนะ ควรยกเปียโนตัวนี้ให้ลู่เวย]
เนี่ยเฉาโมโห เคาะแป้นคีย์บอร์ดรัวๆ
[ขอทานที่ไหนโผล่มาเนี่ย ไสหัวไปเลย!]
การปรากฏตัวของหลุยส์สิบห้าได้ทำให้จั๋วหลานหันกลับมานั่งที่
เธอขอไมโครโฟนมาจากสตาฟ ใบหน้ามีรอยยิ้ม
“ครั้งนี้ฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ยลโฉมเปียโนหลุยส์สิบห้าที่นี่ค่ะ”
นิ่งไปเล็กน้อย พูดเสียงเข้มขึ้น “อีกเดี๋ยวหากมีใครส่งเสียงหนวกหูอีกก็ไม่สมควรนั่งอยู่ในนี้แล้วนะคะ”
ประโยคนี้เห็นได้ชัดว่ากำลังต่อว่าแฟนคลับของอิ๋งลู่เวย
บรรดาแฟนคลับพากันหดคอ อัดอั้นตันใจ พูดประชดประชันเสียงเบา
‘จ่ะ เปียโนราคาสูงมาก สุดยอดมาก แต่ยัยนั่นก็เล่นไม่ได้หรอก’
‘เดี๋ยวถ้าใช้เปียโนราคาแพงตัวนี้เล่นเพลงปีติสดุดี[1]นะ คงได้ขายหน้ากันสุดๆ’
จงมั่นหวานั่งอยู่ด้านหน้าแฟนคลับพวกนี้ ย่อมได้ยินคำพูดเหล่านี้
เธอจับกระเป๋าแน่น ความรู้สึกเสียใจที่พลุ่งพล่านก่อนหน้านี้ได้ถูกความรู้สึกขายหน้ากดลงไป
ถูกต้อง!
อิ๋งจื่อจินเล่นเปียโนไม่เป็น สีหน้าของจงมั่นหวาเดี๋ยวแดงเดี๋ยวเขียว กลัวจะถูกคนรอบตัวจำได้ว่าเธอเป็นแม่ของอิ๋งจื่อจิน
เธอแค่อยากรีบออกจากตรงนี้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องมาทนแบกรับความขายหน้า
ผู้เฒ่าจงมองเปียโนสีทองด้วยความสงสัย “ฉันไม่ได้เป็นคนเตรียมเปียโนตัวนี้นะ”
ดวงตาของฟู่อวิ๋นเซินที่นั่งข้างๆ ขยับ สีหน้ายังคงเฉื่อยชา ขาเรียวยาวนั่งไขว่ห้างมองเด็กสาวที่กำลังนั่งลงบนเก้าอี้ที่คู่กับเปียโน
อืม ไม่ว่ายังไง ชุดนี้ก็เข้ากับเปียโนสีทองได้ดี
ในที่สุดอิ๋งลู่เวยก็ได้สติกลับมาจากความตะลึง เธอตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว
เปียโนดีกว่าของเธอ แต่ฝีมือเหมือนเด็กประถม
พอเทียบกันแล้วเดี๋ยวได้น่าสมเพชยิ่งกว่าเดิม
อิ๋งลู่เวยเอามือเสยผม ยิ้มอย่างสง่างาม “งั้นช่วงเวลาต่อไปนี้ก็มอบให้เสี่ยวจินแล้วนะ”
เธอยกกระโปรงขึ้นแล้วเดินลงจากเวที
ผู้จัดการส่วนตัวรอรับเธออยู่ด้านล่าง “ไปเติมหน้าที่หลังเวทีก่อน และจะได้พักหน่อยด้วย อีกเดี๋ยวยังต้องเล่นอีกหลายเพลง”
“เดี๋ยวพอถึงเวลาคุณเล่นเพลงตะวันกับจันทราแบบสมบูรณ์ไม่ได้หรอก เล่นแค่ท่อนเล็กๆ ก็พอแล้ว”
อิ๋งลู่เวยแค่ยิ้มให้ “ไม่แน่ฉันอาจไม่มีเวลาเล่นก็ได้ ช่วงสนุกกำลังจะมาแล้ว”
“นึกไม่ถึงว่าหลานสาวตัวปลอมของคุณจะมีเส้นสายถึงขั้นขอยืมหลุยส์สิบห้ามาได้ด้วย” ผู้จัดการส่วนตัวขมวดคิ้ว “หรือว่าเธอจะรู้จักกับสมาชิกราชวงศ์ของประเทศวาย”
“คิดมากไปแล้ว” อิ๋งลู่เวยพูดดูถูก “ขนาดฉันยังเดาได้ ตระกูลฟู่คงออกเงินให้เยอะมากถึงยืมมาได้ ล้างผลาญจริงๆ มิน่าคนในตระกูลฟู่ถึงไม่ชอบเขา”
ผู้จัดการส่วนตัวครุ่นคิด รู้สึกว่าก็จริงจากนั้นก็ไม่ถามอะไรอีกพาเธอไปที่ด้านหลังเวที
…
บนเวที
อิ๋งจื่อจินก้มหน้า มือลูบไปบนแป้นเปียโนอย่างช้าๆ
ราวกับได้เจอเพื่อนเก่าที่รู้จักมาหลายปี รู้สึกเข้าขากันดี
สายตาเริ่มจดจ่อ จากนั้นเธอก็ค่อยๆ กดลงไปหนึ่งที
ดีมาก ความรู้สึกเหมือนเมื่อก่อน
[เดี๋ยวนะ แค่นี้เหรอ]
[เธอมาเล่นตลกหรือเปล่า เสียงเดียวเหรอ]
[เดี๋ยวนะ แม้แต่เพลงปีติสดุดีก็เล่นไม่เป็นเหรอ ขายขี้หน้า]
แฟนคลับที่อยู่ในหอประชุมยังอยากโห่อีก แต่ก็ไม่กล้า
พวกเขาก้มหน้า เริ่มเล่นโทรศัพท์มือถือ
แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเปียโนดังขึ้นภายในหอประชุม ท่วงทำนองเชื่องช้า ราวกับลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ลอยละล่องไปตามสายลม ดวงจันทร์เคลื่อนขึ้นอย่างช้าๆ ท่ามกลางราตรี แสงจันทร์สว่างไสว
เงียบสงัด
นี่เป็นท่อนแรก
ไพเราะมาก แต่ดูเหมือนจะไม่ต่างอะไรกับบทเพลงเปียโนทั่วไป
บรรดาแฟนคลับของอิ๋งลู่เวยรู้สึกเหนือความคาดหมาย นึกไม่ถึงว่าอิ๋งจื่อจินจะเล่นท่อนที่สมบูรณ์แบบนี้ได้ แต่ทว่าบรรดานักเปียโนที่มีชื่อเสียงที่นั่งอยู่แถวหน้าต่างพากันเงยหน้าขึ้นทันที แทบหยุดหายใจ
“ตะวันกับจันทรา…” แววตาของจั๋วหลานหันเปล่งประกาย มือจับที่วางแขนแน่น “เทพจันทราออกมาแล้ว!”
แรงบันดาลใจของเพลงตะวันกับจันทรามาจากตำนานเทพเจ้ากรีก เล่าถึงสองพี่น้องจันทราเทพและสุริยเทพ
จันทราเทพลึกลับ สุริยเทพโผงผาง
สองนิสัยที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่กลับเข้ากันอย่างน่าอัศจรรย์
นี่เป็นจุดที่ยากมากของเพลงตะวันกับจันทรา หากคิดจะเล่นเพลงตะวันกับจันทราให้สำเร็จ ผู้เล่นยังต้องมีความสามารถในการสับเปลี่ยนคีย์ที่สุดยอดมาก
ดวงตาของจั๋วหลานหันโชติช่วง “ตกลงว่าเธอ…”
“ติ๊งๆ!”
สองเสียงเปลี่ยนกะทันหัน ทันใดนั้นเสียงเปียโนเริ่มสูงขึ้น แต่ไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกขัดกันแต่อย่างใด ราวกับอาชานับหมื่นกำลังเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก สายฟ้าฟาด สุริยเทพนั่งรถม้ามาจากแดนไกล สว่างเจิดจ้าปกคลุมทั่วทุกพื้นที่โลกทั้งสี่ทิศต่างต้องสยบ
“ติ๊ง!”
วินาทีถัดมาเสียงเปียโนสูงยิ่งขึ้น การเปลี่ยนเสียงภายในเวลาเสี้ยววินาทีเป็นการดึงอารมณ์เพลงนี้ขึ้นสู่จุดสูงสุด เขาสู่ท่อนฮุกท่อนแรก
ทั้งๆ ที่แค่ฟังเสียง แต่เบื้องหน้าของผู้ชมราวกับมีภาพเรื่องราวปรากฏผ่านอย่างไม่หยุดหย่อน
นี่ก็คือเสน่ห์ของเพลงบรรเลง ดึงอารมณ์ร่วมได้อย่างดี สามารถพาผู้ชมที่ฟังอยู่ในสถานที่จริงเข้าสู่เรื่องราวที่บทเพลงนั้นบรรเลงภายในหอประชุมเงียบสนิท มีเพียงเสียงเปียโนที่ดังอย่างไม่ขาดสาย
บางช่วงเป็นความสุขุมของจันทราเทพ บางช่วงเป็นความฮึกเหิมของสุริยเทพ เสียงเปียโนสับเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว นิ้วเรียวยาวของเด็กสาวก็เร็วจะถึงขั้นที่ผู้ชมมองไม่ทัน บาร์ตที่น่าสงสารถึงกับตะลึง
“โอ้ มาย ก็อด!”
ตะวันกับจันทรา!
เพลงตะวันกับจันทราของ วีร่า โฮลท์ซ!
ด้วยประสบการณ์ด้านเปียโนของเขา เขาฟังออกว่าการเล่นเปียโนของอิ๋งจื่อจินไม่เหมือนกับนักเปียโนคนอื่นๆ ที่เคยฟังมา
มีหลายจุดที่เสียงเปลี่ยนไป
แต่หลายเสียงที่เปลี่ยนไปนี้ บาร์ตสัมผัสได้ว่า นี่ต่างหากที่เป็นเพลงตะวันกับจันทราฉบับสมบูรณ์
เขานั่งตัวเกร็ง เหมือนคนเพิ่งหัดเรียนเริ่มตั้งใจฟังเด็กสาวคนนี้เล่น ขนาดนักเปียโนชื่อดังหลายคนยังมีท่าทางเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆ เลย เมื่อเพลงตะวันกับจันทราเข้าสู่ท่อนฮุกใหญ่ก็ไม่มีใครพูดอะไรแม้แต่คนเดียว จนกระทั่งเสียงสุดท้ายสิ้นสุดลง ทุกคนรวมถึงแฟนคลับของอิ๋งลู่เวยก็ยังไม่ได้สติกลับมา ยังคงอึ้งอยู่ ลืมแสดงความรู้สึก ไม่อาจหาคำมาบรรยายเพลงนี้ได้ แม้แต่คำว่าตะลึงก็ยังไม่เพียงพอ
แต่อิ๋งจื่อจินที่อยู่บนเวทีกลับไม่ได้ลงไป
เธอเลิกคิ้ว ยกมือ กดลงไปอีกหนึ่งเสียง
บทเพลงที่สองหลังจากเริ่มด้วยเสียงนี้ ท่วงทำนองก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง แตกต่างจากช่วงขึ้นต้นของเพลงตะวันกับจันทรา ท่อนขึ้นต้นของเพลงนี้ให้ความรู้สึกสรรเสริญและงดงาม ราวกับเป็นเสียงที่ไม่ควรอยู่ในโลกมนุษย์ เป็นสรวงสวรรค์ สวนเอเดน ไม่กี่วินาทีต่อมา หน้าจอถ่ายทอดสดที่โล่งไปนานในที่สุดก็มีสองข้อความปรากฏ
[โอ้โห!]
[นี่มันเพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์!]
[1]เพลงปีติสดุดี บทสุดท้ายของซิมโฟนีหมายเลขเก้า โดยเบโธเฟน