คนที่พิมพ์ข้อความนี้ไม่ใช่แฟนคลับของอิ๋งลู่เวย แต่เป็นหนึ่งในผู้ที่คลั่งไคล้เปียโน
เดิมทีเขาก็แค่เข้ามาลองฟังดู เงินค่าบัตรแค่นี้เขาไม่ได้เดือดร้อน
ปรากฏว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้สติกลับมาจากห้วงแห่งความตะลึงในเพลงตะวันกับจันทรา เพียงชั่วพริบตาก็ได้ฟังเพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์แล้ว!
เพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์เป็นหนึ่งในเพลงที่น่ายกย่องที่สุดในบรรดาสามเพลงของวีร่า โฮลท์ซ
เพลงตะวันกับจันทรายังด้อยกว่าเพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์อยู่บ้างในแง่ของเทคนิคและความหมาย
สาเหตุที่เพลงตะวันกับจันทราโด่งดังที่สุดเป็นเพราะนักเปียโนที่เคยเล่นเพลงนี้มีสิบกว่าคน
ส่วนเพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์ จวบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้มีเพียงสองครั้ง
เมื่อสามปีก่อนผู้คลั่งไคล้เปียโนท่านนี้เคยฟังตอนอยู่ยุโรป
แต่ใครก็ตามที่เคยฟังเพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่มีทางลืมเด็ดขาด
ดังนั้นต่อให้เขาเพิ่งได้ฟังเพียงท่อนสั้นๆ ก็สามารถรู้ได้ในทันที
ตรงที่นั่งแขกวีไอพี สีหน้าของเชออวี้ตะลึงเหมือนเห็นผี เขาอึ้งมากจนไม่มีเวลาสนใจว่าขณะฟังเพลงต้องเงียบ “อาจารย์จั๋ว เธอๆๆ…”
จั๋วหลานหันผ่อนลมหายใจอย่างช้าๆ ร่างกายผ่อนคลายไปกับเสียงเพลง เธอพึมพำ “มีพรสวรรค์ที่น่ากลัวมาก”
โน้ตพื้นฐานของเพลงตะวันกับจันทราและเพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้ทั้งสองเพลงนี้จะเริ่มต้นด้วยคีย์ต่ำก็ตาม
เพลงหนึ่งเป็นยามราตรี จันทราเทพแบกคันธนูนักล่ากระโดดลงมาจากเนินเขา ตัวเบาพลิ้วไหว
อีกเพลงอยู่สรวงสวรรค์ พระเจ้าสรรค์สร้างสรรพสิ่ง ทูตสวรรค์ค่อยๆ ลงสู่โลกมนุษย์ สูงส่งน่าสรรเสริญ
อิ๋งจื่อจินไม่ได้พัก เธอเริ่มเล่นเพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์ต่อทันที
หากเป็นพวกเขา ไม่มีทางสับเปลี่ยนนิ้วได้รวดเร็วภายในเวลาอันสั้นแบบนี้
และที่สำคัญยิ่งกว่าคือ เพลงโซนาต้า[1]ที่มีความยาวถึงยี่สิบสองนาที อีกทั้งยังเป็นเพลงระดับโลกที่ยากขั้นเทพอย่างตะวันกับจันทรา แต่อิ๋งจื่อจินเล่นได้โดยไม่มีเหงื่อออกแม้แต่หยดเดียว ทั้งยังดูผ่อนคลาย
ติ๊งติงติ๊ง ติ๊งติง…
เสียงเปียโนลื่นไหล จากเสียงต่ำสู่เสียงสูง
ท่อนที่มีความรื่นเริง
สีหน้าของจั๋วหลานหันค่อยๆ ขรึมลง
เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นว่านักเปียโนสามารถแยกอารมณ์ของตัวเองออกมาจากบทเพลงได้อย่างสิ้นเชิง
สีหน้าของเด็กสาวราบเรียบขนาดนั้น ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเย็นชา
นิ้วของเธอเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วอยู่บนแป้นเปียโน แทบจะเห็นเป็นเงาๆ แต่ร่างกายกลับไม่เคลื่อนไปมา
ติ๊งๆ!
เสียงเปียโนที่สงบลอยละล่อง ทันใดนั้นได้ถูกเปลี่ยนเป็นเสียงสูง คล้ายเสียงระฆังที่อยู่บนหอระฆัง
ร่างกายของเด็กสาวระเบิดความสามารถอย่างแรงกล้า จดจ่ออยู่กับเสียงเปียโน พาผู้คนเข้าสู่ตำนานเรื่องใหม่
พระเจ้าพาอาดัมบุตรของพระเจ้าไปที่สวรรค์ ลูซิเฟอร์หัวหน้าทูตสวรรค์กลับปฏิเสธที่จะให้การเคารพ
เขาออกคำสั่ง หนึ่งในสามของทูตสวรรค์จึงก่อกบฏ
พระบิดากับบุตรกลายมาเป็นศัตรูกัน สงครามศักดิ์สิทธิ์จึงบังเกิด!
ติ๊ง! ติ๊งๆ…
เป็นการเปลี่ยนเสียงอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง เพลงเปียโนเพลงนี้บรรเลงได้เร้าอารมณ์จนขึ้นสู่จุดสูงสุด
“เอ๊ะ เพื่อน ใจเย็นๆ” เบิร์กเขย่าตัวบาร์ตที่ใกล้หน้ามืดเต็มที “อย่าเป็นลมนะ ห้ามเป็นลม ไม่งั้นฉันต้องผายปอดให้นาย”
คนอื่นๆ ในหอประชุมต่างอึ้งไปตามๆ กัน
บรรดาแฟนคลับของอิ๋งลู่เวยไม่มีใครพูดแม้แต่คนเดียว
สีหน้าของพวกเธอเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด แทบอยากจะลุกออกไป
ต่อให้เป็นคนที่ไม่เข้าใจเรื่องเปียโนก็ยังฟังออกว่าใครกันแน่ที่เล่นได้โดดเด่นกว่า
ไม่
สามเพลงนั้นของอิ๋งลู่เวยเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำ
ข้อความบนหน้าจอถ่ายทอดสดก็เริ่มปรากฏ บรรดาคนที่ชื่นชอบในเสียงเปียโนต่างแทบคลั่ง
[อ๊ากกก ฉันใกล้ตายแล้ว! นี่มันเพลงขั้นเทพอะไรกันเนี่ย น่าตะลึงมาก วิญญาณฉันแทบหลุดจากร่าง]
[ถ้าฉันบอกว่าวีร่า โฮลท์ซยังอยู่ จะมีใครคัดค้านไหม]
[ไม่ใช่แค่วีร่า โฮลท์ซยังอยู่นะ ฉันคิดว่าเธอคือวีร่า โฮลท์ซตัวจริงเลยล่ะ คอนเสิร์ตในพระราชวังที่ฟลอเรนซ์สมัยศตวรรษที่สิบแปดก็ประมาณนี้เลยหรือเปล่า]
ผู้เฒ่าจงเองก็อึ้ง
เขารู้สึกว่าหลานสาวตัวเองเก่งเกินกว่าที่จินตนาการไว้มาก
ซิวอวี่ที่อยู่ข้างๆ อธิบายให้เขาฟัง “คุณปู่จงคะ เพลงที่เมื่อกี้พ่ออิ๋งเล่นคือเพลงตะวันกับจันทราที่ยัยตอแหลนั่นพูดมาตลอดว่าจะเล่น ส่วนเพลงนี้เพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์มีความยากสูงกว่า”
ดีมาก
ตอนนี้เธอแสดงออกว่านางฟ้าในโลกดนตรีของเธอไม่ใช่วีร่า โฮลท์ซอีกต่อไปแล้ว เธอมาเป็นแฟนคลับพ่ออิ๋งแทนแล้ว
ทันใดนั้นเสียงเปียโนได้ค่อยๆ ต่ำลง เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนที่ลูซิเฟอร์หัวหน้าทูตสวรรค์พ่ายแพ้ เริ่มตกสู่นรก
เสียงเปียโนอันหนักหน่วง ความโศกเศร้า ทำให้ผู้ชมหายใจไม่ทัน
สองมือของฟู่อวิ๋นเซินประสานกันเท้าคาง ดวงตาสุขุม
ไม่กี่วินาทีถัดมาเปลือกตาของเขาก็เปิดขึ้น มองด้านขวาบนของหอประชุม
กล้องตัวหนึ่งเคลื่อนลงมาแล้วขยับเข้าไปใกล้ ขึ้นข้อความให้อิ๋งจื่อจิน
มือของเธอขยับเร็วเกินไป ยกขึ้นแล้วกดลงไม่หยุด แต่ละเสียงหนักแน่นราวกับจะระเบิดออกมา
สะเทือนเยื่อแก้วหู โจมตีเข้าที่หัวใจ
แปะๆๆ…
เสียงปรบมือที่ช้าไปสิบกว่าวินาทีในที่สุดก็ดังขึ้นเวลานี้
อิ๋งลู่เวยที่เพิ่งเติมหน้าเสร็จเดินออกมาจากหลังเวทีก็ได้ยินเสียงปรบมืออันดังสนั่นนี้
ฝีเท้าของเธอหยุดชะงัก สีหน้าสงสัย “เกิดอะไรขึ้น”
เมื่อครู่ที่เธอแสดงจบเสียงปรบมือยังไม่ดังเท่านี้
ผู้จัดการส่วนตัวครุ่นคิด “คงไม่ใช่ว่าหลานสาวตัวปลอมของคุณทำขายหน้าจนจั๋วหลานหันเดินออกไป แฟนคลับของคุณเลยกำลังดีใจหรอกนะ”
“ก็มีแค่ความเป็นไปได้นั้นแล้ว” รอยยิ้มของอิ๋งลู่เวยกว้างยิ่งกว่าเดิม “ไป พวกเราไปดูเรื่องสนุกกันดีกว่า”
ระยะทางจากหลังเวทีไปหน้าเวที อิ๋งลู่เวยเดินเร็วมาก กลัวว่าจะพลาดตอนสำคัญ
ดังนั้นตอนที่เธอเดินถึงประตูทางเข้า เสียงปรบมือก็ยังคงอยู่
อิ๋งลู่เวยเสยผม มองไปที่เวที คิดว่าจะขึ้นไปดีหรือไม่
แต่พอมองไปก็ราวกับเห็นอะไรที่น่ากลัว เลือดในกายเธอประหนึ่งไหลย้อนกลับ!
เห็นเด็กสาวกำลังเล่นเปียโน อิ๋งลู่เวยมีสีหน้าเหลือเชื่อ
รอยยิ้มของเธอค้างเติ่งทันที ใบหน้าก็เริ่มซีดลงทีละนิด
เธอไม่เคยฟังเพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์ ย่อมไม่รู้ว่าเพลงนี้คือเพลงอะไร
แต่นี่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการฟังออกว่าเพลงนี้ยากขนาดไหน ยากและน่าตะลึงยิ่งกว่าเพลงตะวันกับจันทรา
เธอแค่ฟังไม่กี่วินาทีนี้ อารมณ์ก็ถูกเสียงเปียโนพาไปแล้ว
ร่างกายของอิ๋งลู่เวยโงนเงน
มันเรื่องอะไรกัน
เธอเป็นคนสอนอิ๋งจื่อจินเล่นเปียโนด้วยตัวเอง
เพียงแต่เธอจงใจสอนส่งเดช เธอก็แค่ไม่อยากให้อิ๋งจื่อจินเป็นศิลปะไม่ว่าจะแขนงไหนก็ตาม
คิดว่าตระกูลอิ๋งเข้าง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ
กลับมาอยู่ตระกูลอิ๋งกลับจะเป็นการเริ่มต้นฝันร้ายของอิ๋งจื่อจินเสียด้วยซ้ำ
เธอก็แค่อยากให้อิ๋งจื่อจินเข้าสู่ห้วงแห่งความสิ้นหวังทีละน้อย ทางที่ดีต้องตายไปอย่างทุกข์ทรมาน
แต่ทำไมอิ๋งจื่อจินถึงเล่นได้ดีกว่าเธอ!
อิ๋งลู่เวยเริ่มยืนไม่มั่นคง เบื้องหน้าก็เริ่มวูบวาบ
สมองขาดอากาศ ลำคอแห้งผาก
ท่ามกลางความหวาดกลัว อิ๋งลู่เวยเห็น เด็กสาวราวกับสังเกตเห็นสายตาของเธอ ละสายตาจากเปียโนสีทองมองมาที่เธอแวบหนึ่ง
สายตานี้เรียบเฉย ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
ไม่ได้ภาคภูมิใจ และไม่ได้เย้ยหยัน
คล้ายกับจักรพรรดิที่อยู่บนจุดสูงสุดมองสรรพสิ่งที่เล็กนิดเดียวด้วยสีหน้าราบเรียบ
แต่เพียงชั่วขณะนั้นกลับทำให้อิ๋งลู่เวยแทบสติแตก
เธอตัวสั่น ล้มพิงประตู แข้งขาอ่อนแรง
ไม่ได้!
ไม่ได้เด็ดขาด!
นี่เป็นคอนเสิร์ตของเธอ จะปล่อยให้อิ๋งจื่อจินเหยียบย่ำได้ยังไง
อิ๋งลู่เวยผลักผู้จัดการส่วนตัวที่กำลังอึ้งอยู่เหมือนกัน จากนั้นได้วิ่งไปที่ห้องควบคุมเสียง
ผู้จัดการส่วนตัวได้สติกลับมาทันที รีบวิ่งตามไป “ลู่เวย!”
…
อิ๋งจื่อจินละสายตา แต่สายตาของเธอกลับไม่ได้อยู่ที่เปียโน
ท่อนนี้เธอคุ้นเคยมาก หลับตาเล่นมาตลอด
บอกว่าสถานะของเพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์สูงกว่าเพลงตะวันกับจันทรานั้นไม่ผิด
เพลงตะวันกับจันทราเป็นเพลงแรกของเธอ ยังไม่ถือว่าสมบูรณ์แบบ
ส่วนเพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากอ้างอิงคัมภีร์ไบเบิล มูลค่าจึงเพิ่มขึ้นทันที
ดวงตาของอิ๋งจื่อจินหลุบต่ำลง นิ้วยาวไล่ผ่านตั้งแต่โซนเสียงสูงลงไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายไปหยุดอยู่ที่เสียงหนึ่ง
แสดงถึงการสิ้นสุดของบทเพลงนี้
จั๋วหลานหันถือไมโครโฟนอยู่ในมือแล้ว กำลังจะพูด
แต่เธอได้ค้นพบอย่างน่าตกใจว่า เด็กสาวยังไม่มีทีท่าจะลุกขึ้น
อิ๋งจื่อจินพับแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย นิ้ววางไปบนแป้นเปียโนอีกครั้ง
ครั้งนี้เธอไม่ได้เล่นเพลงโซนาต้าที่บรรยายเรื่องราว แต่เล่นเพลงเซเรนาต้า[2]
นี่เป็นเพลงสไตล์บรรยายความรู้สึก
เพียงชั่วเวลาไม่นาน ความตื่นเต้นเร้าอารมณ์ที่มาจากบทเพลงโซนาต้าได้ถูกจังหวะของเพลงเซเรนาต้านี้ขับกล่อมจนสงบลง
“…”
สีหน้าของจั๋วหลานหันตะลึงมาก
เพลงนี้เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน
[โห! ยังมีอีก! นี่คงไม่ใช่เพลงบทเพลงแห่งฟลอเรนซ์ที่ไม่เคยเล่นที่ไหนใช่ไหม!]
[ต้องใช่บทเพลงแห่งฟลอเรนซ์แน่ๆ ถึงแม้จะไม่เคยมีคนเล่นมาก่อน แต่โน้ตบทเพลงแห่งฟลอเรนซ์ก็ประมาณนี้เลย]
บาร์ตไม่เป็นลมแล้ว เขารีบค้นเอกสารฉบับหนึ่งจากในโทรศัพท์มือถือ
นี่เป็นโน้ตเพลงที่ไม่สมบูรณ์ หายไปหลายจุด และไม่ใช่โน้ตที่ง่ายๆ
“ใช่บทเพลงแห่งฟลอเรนซ์! บทเพลงแห่งฟลอเรนซ์จริงๆ!” บาร์ตแทบคลั่ง “เธอเล่นโน้ตที่หายไปออกมาได้ด้วย!”
นอกจากวีร่า โฮลท์ซที่ตายไปสามร้อยปีแล้ว ก็ไม่มีนักเปียโนคนไหนหยิบบทเพลงแห่งฟลอเรนซ์ขึ้นมาเล่นอีก
ไม่ใช่เพราะว่ายากจนถึงขั้นที่ไม่มีใครเล่นได้ แต่เป็นเพราะโน้ตหายไปหลายจุด เติมไม่ได้
เขาเองก็เคยลองเติมแต่ก็ไม่สำเร็จ
แต่ตอนนี้…
สมองของบาร์ตเหลือเพียงความคิดเดียว
วงการดนตรีสั่นสะเทือน!
…
ณ ห้องควบคุมเสียง
สตาฟที่ดูแลอุปกรณ์ก็ตะลึงกับคอนเสิร์ตเช่นกัน แต่ละคนกำลังอิน
พวกเขาไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีคนวิ่งเข้ามาในเวลานี้
“รีบปิดไลฟ์สด!” อิ๋งลู่เวยเป็นบ้าไปแล้ว “ปิดเดี๋ยวนี้ ปิดเสียงทั้งหมด ได้ยินไหม!”
[1]โซนาต้า เพลงเดี่ยวสำหรับเครื่องดนตรี
[2]เซเรนาต้า เพลงที่แต่งเพื่อบรรเลงแด่คนรัก เพื่อน หรือบุคคลอื่นๆ ใช้เล่นในช่วงค่ำ