ถึงแม้ตระกูลมู่จะเป็นตระกูลของแม่ทัพ แต่ช่วงหลายปีมานี้ทำธุรกิจจนก้าวกระโดดกลายเป็นอาณาจักรธุรกิจที่แข็งแกร่งที่สุดในตี้ตูมานานแล้ว
ไม่พูดถึงสี่ตระกูลเศรษฐีแห่งฮู่เฉิง พวกตระกูลทำธุรกิจในตี้ตูต่างก็ต้องเกี่ยวข้องทำธุรกิจกับตระกูลมู่ทั้งนั้น
“เฉินโจวเหรอ วันนี้เขาตามหว่านหว่านไปที่ชิงจื้อแล้ว เห็นบอกว่าจะไปเดินเล่นในโรงเรียนของทางนี้หน่อย” คุณนายจงยิ้ม “เธอเองก็รู้ เด็กหนุ่มอยู่ไม่นิ่ง พวกเราคุมเขาไม่อยู่หรอก”
“อย่างนั้นเหรอ” จงมั่นหวาแอบอึดอัดใจ “พี่สะใภ้ ช่วงหลายวันที่ผ่านมาฉันรบกวนพี่มากแล้ว ฉันคิดว่าจะรับเฉินโจวกลับบ้านตระกูลอิ๋ง”
ตระกูลจงเป็นครอบครัวของพ่อแม่เธอก็จริง แต่เธอแต่งเข้าตระกูลอิ๋งไปแล้วก็ต้องคำนึงถึงตระกูลอิ๋ง
“รับกลับไปเหรอ” สีหน้าของคุณนายจงแย่ลงทันที “ทำไมอยู่ๆ ก็จะรับกลับล่ะ ไหนว่ากลัวลูกเลี้ยงล่วงเกินเฉินโจวถึงได้ส่งมาอยู่บ้านนี้”
จงมั่นหวาทั้งกระอักกระอ่วนทั้งอับอาย “จื่อจินย้ายออกไปแล้ว ไม่มีเรื่องล่วงเกินอะไรแล้วล่ะ”
“ย้ายออกไปแล้วเหรอ” คุณนายจงตกใจ “พวกเธอรับเด็กคนนั้นมาจากอำเภอบ้านนอกไม่ใช่เหรอ ปล่อยให้ย้ายออกไปได้ยังไง”
จงมั่นหวาไม่ตอบ แค่พูดว่า “คุณนายมู่ฝากฝังเฉินโจวไว้กับฉัน ให้ไปอยู่ที่บ้านตระกูลอิ๋งจะดีกว่า”
“มั่นหวาเธอทำแบบนี้ไม่ถูกนะ” คุณนายจงก็ไม่ยอม “เสี่ยวเซวียนอยู่ต่างประเทศ บ้านตระกูลอิ๋งก็ไม่มีใครที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเฉินโจว ให้เขาไปอยู่คนเดียวจะไม่เบื่อเหรอ”
“ฉันว่าไม่สู้เอาแบบนี้ ให้หว่านหว่านอยู่เป็นเพื่อนเขาไปก่อน พอเสี่ยวเซวียนกลับมาค่อยให้เฉินโจวย้ายไปบ้านเธอก็ยังไม่สาย”
แต่งเข้าตระกูลจงได้ คุณนายจงก็ไม่ใช่คนใจดีอะไรนัก
โอกาสดีที่ได้ใกล้ชิดตระกูลมู่แบบนี้ ในเมื่อจงมั่นหวาส่งเขามา เธอจะปล่อยไปง่ายๆ ได้ยังไง
จงมั่นหวาอ้าปาก นึกหาเหตุผลดีๆ ไม่ออก ทำได้เพียงตอบรับ
“งั้นก็เอาแบบนั้น กลางเดือนมิถุนาเสี่ยวเซวียนก็กลับมาแล้ว ก็อีกไม่กี่วันเอง”
คุณนายจงขมวดคิ้วเล็กน้อย
เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ
วันนี้ก็สามสิบเอ็ดพฤษภาคมแล้ว
คุณนายจงกำลังใช้ความคิด ในใจเริ่มจับทางได้ เธอยิ้มแล้วพูดอีกครั้ง “ได้ งั้นก็ตามนั้น”
…
เวลาเที่ยง
ตอนกินข้าวเวินทิงหลานกินแค่ข้าวเปล่า ไม่แตะต้องกับข้าวแม้แต่น้อย
ราวกับเขากลับไปอยู่ในเกราะคุ้มกันอีกครั้ง ปฏิเสธการมีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอกทั้งหมด
ช่วงสองวันนี้สภาพอารมณ์ของเวินทิงหลานดูแปลกไป แม้เขาจะพยายามเก็บซ่อนอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่อิ๋งจื่อจินก็ไม่มีทางมองไม่ออก
เธอเคยเรียนการสังเกตสีหน้า ต่อให้เป็นเพียงเสี้ยววินาทีเธอก็จับสังเกตได้
“ผมไม่เป็นไร” เวินทิงหลานได้ยินเธอถามก็จับตะเกียบแน่น “ใกล้ถึงวันสอบเข้ามหา’ลัยแล้ว เลยค่อนข้างกดดัน”
อิ๋งจื่อจินเงียบไปเล็กน้อย
ถึงแม้โดยรวมสภาพจิตใจของเวินทิงหลานจะฟื้นฟูแล้ว แต่เขาก็ยังคงปิดกั้นตามความเคยชิน ไม่ยอมพูดอะไรทั้งนั้น
ตอนนั้นที่เธอถูกงูกัด เวินทิงหลานแบกกึ่งลากเธอไปโรงพยาบาล ตัวเองขาพลิกอาการรุนแรงแต่กลับไม่พูดสักคำ
“มีเรื่องอะไรก็บอกพี่ได้” อิ๋งจื่อจินวางแอปเปิ้ลให้เขาหนึ่งผล “เก็บไว้ในใจไม่ดีต่ออาการป่วยของนาย”
“ผมไม่เป็นไรจริงๆ” เวินทิงหลานก้มหน้า “พี่ไปพักผ่อนเถอะ ก่อนหน้านี้พี่เพิ่งเกิดอุบัติเหตุ ผมสบายดี”
อิ๋งจื่อจินไม่ได้ถามต่อ เธอรู้ว่าถ้าถามต่อจะได้ผลในทางตรงกันข้าม
เธอหยิบตะเกียบแล้วคีบกับข้าวให้เขา
กลับเป็นเวินทิงหลานที่พูดทำลายความเงียบขึ้นหลังจากกินข้าวไปหนึ่งคำ “พี่ ต่อไปพี่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลอิ๋งแล้วจริงๆ เหรอ”
“อืม ไม่มีแล้ว” อิ๋งจื่อจินนั่งพิงเก้าอี้อย่างเอื่อยเฉื่อย “มีเรื่องไปทั่วได้แล้ว”
สีหน้าของเด็กหนุ่มตะลึงเล็กน้อย
“ขอบคุณที่เตือน” อิ๋งจื่อจินครุ่นคิด “นับแต่พรุ่งนี้ไปนายออกไปวิ่งกับพี่วันละห้ากิโล ร่างกายจะได้แข็งแรง”
เวินทิงหลานอยากจะบ้า
เขาไม่ควรพูดกับพี่สาว
ซวยเฉยเลย
…
เวินทิงหลานกลับไปที่ห้องเรียนอย่างเซ็งๆ หยิบหมอนกับที่อุดหูที่อิ๋งจื่อจินเตรียมไว้ให้แล้วเริ่มพักผ่อน
อิ๋งจื่อจินยืนอยู่ที่หน้าห้องคลาสเด็กอัจฉริยะมอหกสักพัก เรียกหัวหน้าห้องมา
หัวหน้าห้องก็เป็นผู้ชาย ท่าทางนอบน้อม “สวัสดีครับพี่”
ถึงแม้นักเรียนชั้นมอหกจะโตกว่าอิ๋งจื่อจิน แต่พวกเขาชินกับการเรียกพี่ตามเวินทิงหลานแล้ว
อีกทั้งพวกเขาก็รู้เรื่องสอบกลางภาคของชั้นมอห้า ข้อสอบของคลาสเด็กอัจฉริยะเกิดเหตุการณ์ประหลาดที่มีคนได้คะแนนเต็ม
อย่าว่าแต่เรียกพี่เลย ให้เรียกอาจารย์แม่พวกเขาก็ยินดี
ขอแค่ได้เคล็ดลับอะไรบ้าง
อิ๋งจื่อจินเหลือบมองเวินทิงหลาน พูดเสียงเบา “รบกวนหน่อย เราไปคุยกันทางนั้น”
หัวหน้าห้องเกาหัวแล้วเดินตามไป
“ช่วงสองสามวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า” อิ๋งจื่อจินถาม “เสี่ยวหลานดูแปลกไป”
“พี่ครับ อย่าบอกทิงหลานว่าผมบอกพี่นะ” หัวหน้าห้องลังเลแล้วเอ่ยปาก “พี่รู้เรื่องที่ทางโรงเรียนมีโควตาสัมภาษณ์ของมหาวิทยาลัยนอร์ตันสามสิทธิ์ใช่หรือไม่”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “พูดต่อสิ”
“สิทธิ์สัมภาษณ์พวกนี้ตกลงกันไว้แล้วว่าจะให้สองสิทธิ์กับคลาสนานาชาติ อีกหนึ่งสิทธิ์ให้คนที่ได้ที่หนึ่งของชั้นปี ก็คือทิงหลาน” หัวหน้าห้องพูดต่อ “ยังไงซะสอบข้อสอบของสามโรงเรียนเขาก็ได้คะแนนเต็มหมด”
การสอบสามโรงเรียนก็คือการสอบระดับมัธยมปลายร่วมกันของโรงเรียนสามอันดับแรกในประเทศจีน
ข้อสอบย่อมมีความยากในระดับสูง แต่ก็ยังห่างชั้นกับข้อสอบของคลาสเด็กอัจฉริยะมากนัก
“ช่วงเวลาสอบสัมภาษณ์ของมหาวิทยาลัยนอร์ตันคือไม่กี่วันหลังจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งก็อีกไม่นานแล้ว ทิงหลานยังได้เตรียมตัวเรื่องนี้มานานแล้วด้วย” หัวหน้าห้องเริ่มโมโห “แต่ปรากฏว่าไม่กี่วันก่อนหน้านี้ อาจารย์ของคลาสนานาชาติที่เพิ่งถูกไล่ออกได้กลับมา บอกว่าสิทธิ์สอมสัมภาษณ์นี้จะไม่มีทางให้ทิงหลาน เพราะ…”
อิ๋งจื่อจินพูดต่อประโยคของเขาให้จบ “เพราะฉันเป็นพี่สาวของเขา”
“พี่ เรื่องนี้ไม่โทษพี่หรอกครับ” หัวหน้าห้องร้อนใจ “เป็นเพราะเจ้าคนแซ่เฮ่อนั่นไม่รู้จักแยกแยะ จิตใจคับแคบ เสียดายแทนทิงหลาน…”
ด้วยไอคิวของเวินทิงหลาน เข้ามหาวิทยาลัยนอร์ตันก็เหมาะสมแล้ว
แต่ถ้าไม่ได้สิทธิ์เข้าสอบสัมภาษณ์ ต่อให้มีพรสวรรค์ก็ไม่มีประโยชน์
เอาแค่เมื่อวานคลาสเด็กอัจฉริยะชั้นมอหกรวมตัวกันประท้วง เฮ่อสวินก็ยังคงไม่สนใจ
ถึงแม้สิทธิ์สอบสัมภาษณ์ของมหาวิทยาลัยนอร์ตันจะมาจากทางโรงเรียน แต่ถ้าจะไปมหาวิทยาลัยนอร์ตันก็ต้องให้เฮ่อสวินเป็นคนพาไป
เขาไม่ยอม เวินทิงหลานก็ไปไม่ได้
อีกทั้งเรื่องสำคัญที่สุดไม่ใช่แค่ว่าถูกยึดสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ไป แต่เฮ่อสวินพูดต่อหน้าเวินทิงหลานว่าเป็นเพราะเขาคือน้องสาวของอิ๋งจื่อจิน ก็เลยไม่ให้สิทธิ์นี้กับเขา ถึงกระทบกระเทือนจิตใจของเวินทิงหลานอย่างรุนแรง
คลาสเด็กอัจฉริยะชั้นมอหกต่างก็รู้อาการป่วยของเขา ปกติจะระมัดระวังกันมากเวลาเข้าหาเขา
เวินทิงหลานเด็กกว่าพวกเขาสองปี ถือเป็นการดูแลน้องชาย
“เข้าใจแล้ว” อิ๋งจื่อจินไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “พวกนายก็อย่าให้เขารู้ ฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง”
“วางใจได้ครับพี่ พวกเราจะปลอบทิงหลาน” หัวหน้าห้องลังเลเล็กน้อย “พี่อย่าไปหาคนแซ่เฮ่อนั่นเลยครับ ทิงหลานต้องไม่อยากเห็นพี่มีเรื่องกับเขาแน่ ถึงไม่ได้บอกพี่”
“อืม เข้าใจแล้ว” อิ๋งจื่อจินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ขอบใจนะที่เล่าให้ฟังกลับไปเถอะ ตั้งใจอ่านหนังสือสอบล่ะ”
พอได้ยินแบบนี้ทันใดนั้นหัวหน้าห้องก็ถอยหลังไปสามก้าว
หยิบปากกาหนึ่งด้ามออกมาจากกระเป๋านักเรียน สองมือประนม ไหว้อิ๋งจื่อจินสามครั้ง
อิ๋งจื่อจินกำลังคิดเรื่องอื่น ตอนที่สังเกตเห็นท่าทางของเขา เขาก็ไหว้เสร็จแล้ว
หัวหน้าห้องสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็วิ่งหายไป “ฮ่าๆ คนโง่อย่างพวกนายจบเห่แล้ว วันนี้ฉันได้บูชาเทพอิ๋งด้วยโว้ย ฉันสอบเข้ามหา’ลัยได้คะแนนดีแน่ๆ!”
เสียงหัวเราะชั่วร้ายของเขาดังสะท้อนอยู่ตรงทางเดินอาคารเรียน
อิ๋งจื่อจิน “…”
มิน่าเวินทิงหลานถึงบอกว่าเพื่อนในห้องโง่กันหมด
เธอว่าก็คงงั้น
…
หลังจากที่เฮ่อสวินถูกชิงจื้อไล่ออกเขาก็เช่าคอนโดส่วนตัวพักอยู่ข้างๆ ชิงจื้อ
เพียงแต่สภาพคอนโดแห่งนี้แย่กว่าห้องพักที่ทางโรงเรียนจัดสรรให้เยอะมาก เฮ่อสวินอยู่ห้องพักของทางโรงเรียนจนชินแล้ว เขาไม่ชินกับที่นี่ ไม่มีแม้แต่คนที่รับหน้าที่ทำอาหาร
แต่ช่วยไม่ได้ เขายังไปจากที่นี่ไม่ได้จนกว่าการสอบสัมภาษณ์ของมหาวิทยาลัยนอร์ตันจะจบลง
ลิฟต์ของคอนโดแห่งนี้เสีย นิติคอนโดก็ไม่ส่งคนมาซ่อมสักที
วันนี้เขาไปซื้อกับข้าวที่ซูเปอร์มาร์เก็ต ยังต้องขึ้นบันไดสิบแปดชั้นอีก
ตอนที่เฮ่อสวินจ่ายเงินที่ซูเปอร์มาร์เก็ต เขาอารมณ์เสียขั้นสุด
เขาถือถุงใส่ของเดินออกด้วยสีหน้าเย็นชา
พอเดินออกจากประตูซูเปอร์มาร์เก็ตก็ถูกเตะหนึ่งที
การเตะครั้งนี้กระแทกไปถึงช่วงท้อง โดนจุดเจ็บปวดที่สุดอย่างแม่นยำ
ใช้แรงเต็มที่ไม่ปรานีแม้แต่น้อย
“โครม” เฮ่อสวินล้มหงายหลังไปกระแทกประตูกระจกของซูเปอร์มาร์เก็ต
ถูกจู่โจมกะทันหัน ต่อให้เฮ่อสวินจะนิสัยดีแค่ไหนดวงตาก็เริ่มฉายแววโกรธ
เขาจับประตูกระจกค่อยๆ ลุกขึ้น พอเงยหน้าก็เห็นเด็กสาวยืนย้อนแสงอยู่
โครงหน้าเลือนราง สีหน้าเย็นชา
ไม่เจอกันครึ่งเดือนกว่า เฮ่อสวินอึ้งไปเล็กน้อย
“คุณรู้ว่าเวินทิงหลานเป็นน้องชายของฉันก็เลยยึดสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ของเขาไปงั้นเหรอ แถมยังพูดแบบนั้นกับเขาด้วย”
ตัดการถามตอบอย่างเป็นทางการตอนนั้นไป นี่เป็นครั้งแรกที่อิ๋งจื่อจินพูดกับเขาเยอะขนาดนี้
แต่สายตาของเธอกลับไม่ได้อยู่ที่ตัวเขา ราวกับมองเขาเป็นอากาศ ความเย็นชาแผ่ซ่าน
อยู่ๆ เฮ่อสวินก็รู้สึกว่าตัวเองน่าสมเพช
แต่ต่อมาเขาก็แอบสะใจ
“โกรธมากเหรอ” เฮ่อสวินไม่รู้สึกว่าผิดตรงไหน “ใช่ เธอสมควรโกรธ เพราะฉันเอาสิ่งที่น้องชายเธอควรได้รับไป แต่นี่ก็คือกฎการอยู่รอดในสังคม”
“อะไรที่ไม่ใช่ของตัวเองก็ย่อมจะถูกแย่งไป”
ถึงขนาดที่เฮ่อสวินหัวเราะเบาๆ อาศัยความที่ร่างกายสูงกว่ามองต่ำ
เวลานี้ในที่สุดเขาก็กลับมามีความอวดดีอีกครั้ง “ถ้าเธอมีความสามารถจริงงั้นก็หาสิทธิ์สอบสัมภาษณ์มหา’ลัยนอร์ตันของคณะระดับ ดี มาให้น้องชายเธอสิ”
“แต่เธอไม่มี แม้แต่มหาวิทยาลัยนอร์ตันอยู่ตรงไหนเธอก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ”
ในที่สุดอิ๋งจื่อจินก็มองเขา “ใครบอกคุณว่าฉันจะให้เขาเข้าคณะระดับ ดี”