ไม่เดินออก ไม่เข้ามา มองเธออยู่แบบนั้น
ดวงตาไม่มีความขุ่นมัวแบบคนสูงวัย กลับสุกใสเหลือเกิน ราวกับมองได้ทะลุปรุโปร่ง
แทบจะในชั่วพริบตา หัวใจของจงจือหว่านหยุดเต้น
เหงื่อผุดเต็มแผ่นหลัง หน้าผากก็มีเหงื่อไหลออกมา
ภายในใจของจงจือหว่านปั่นป่วน สีหน้าก็แสดงออก หน้าซีดเหมือนกระดาษ
เธอพยายามฉีกยิ้ม สีหน้าดูแย่กึ่งร้องไห้ พูดอย่างยากลำบาก “คะ…คุณปู่”
ผู้เฒ่าจงยังคงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เขาเอามือไพล่หลัง พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หว่านหว่าน ตามปู่มา”
ขณะพูดเขาก็เดินขึ้นบันไดก่อน
จงจือหว่านไม่กล้าปฏิเสธ เธอบีบมือ รีบตามขึ้นไป
ใบหน้ายังคงร้อนผ่าว สมองงุนงง
ผู้เฒ่าจงกลับมาจากบริษัทตั้งแต่เมื่อไร
เขาได้ยินไปมากน้อยแค่ไหน
จงจือหว่านแอบเหลือบมองผู้เฒ่าจง เห็นสีหน้าของเขาเรียบเฉย หัวใจที่หดเกร็งก็เริ่มผ่อนคลาย
คุณปู่ของเธอเป็นคนอารมณ์ร้อน ถ้าได้ยินคำพูดพวกนั้นของเธอจริงมีเหรอจะทนไหว
แต่พอเดินเข้าไปในห้องใต้หลังคาที่อยู่ชั้นบนสุด จงจือหว่านก็ได้ยินคำคำหนึ่ง
“คุกเข่า”
เย็นชา ไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย
จงจือหว่านหน้าซีดยิ่งกว่าเดิม ขาคุกเข่าลงอย่างควบคุมไม่ได้
ผู้เฒ่าจงได้ยินจริงด้วย!
ผู้เฒ่าจงพูดต่อ “เงยหน้ามองไปข้างหน้า”
จงจือหว่านเงยหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ ร่างกายสั่นเทา
ผู้เฒ่าจงกลับไม่มองเธอ ชี้ภาพถ่ายที่อยู่ข้างหน้า “มองรูปย่าของหลาน หลานกล้าพูดคำพูดเมื่อกี้อีกรอบไหม”
“กล้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในระยะนี้ทั้งหมดต่อหน้าย่าของหลานไหม!”
จงจือหว่านริมฝีปากสั่น แทบพูดไม่เป็นคำ “คุณปู่…”
คุณนายผู้เฒ่าจงเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว
ผู้เฒ่าจงต้องวุ่นเรื่องที่บริษัท ส่วนพ่อแม่ของจงจือหว่านก็มีเรื่องของตัวเองที่ต้องจัดการ
ดังนั้นตอนหกขวบก่อนขึ้นประถม จงจือหว่านถึงเติบโตมาข้างกายคุณนายผู้เฒ่าจง
คุณนายผู้เฒ่าจงดูแลเธอดีมาก ขออะไรก็ตามใจ
“จงจือหว่าน คราวก่อนหลานพูดไว้ว่ายังไง” เห็นท่าทางหวาดกลัวของจงจือหว่าน ในที่สุดผู้เฒ่าจงก็โมโห “ต่อมาหลานมาสำนึกผิดกับปู่ บอกว่าหลานแค่เกิดความอิจฉา ช่วงนั้นสมองเลอะเลือน ต่อไปจะไม่มีทางทำผิดอีกแล้ว”
“แต่ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น ลับหลังแอบใส่ร้ายจื่อจินให้คนนอกฟัง ทั้งยังพูดโกหกทุกคำ!”
“ไม่รู้สึกผิดต่อคำสั่งสอนของย่าเลยเหรอ”
จงจือหว่านตัวสั่น ไม่กล้าเงยหน้า
เพราะเธอรู้ว่ามู่เฉินโจวไม่มีทางยุ่งเรื่องคนอื่น และก็ไม่มีทางเอ่ยถามเพราะอิ๋งจื่อจิน เธอถึงได้พูดคำพูดพวกนั้นอย่างสบายใจ
แต่คนอื่นไม่เหมือนกัน
ผู้เฒ่าจงรู้เรื่องทั้งหมด แค่ฟังดูก็รู้แล้วว่าเธอเจตนา
เธอแสร้งทำได้ดีมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้กลับถูกจับได้เข้าเต็มๆ
แค่ผู้เฒ่าจงนึกถึงคำพูดที่ได้ยินเมื่อครู่ก็ปวดใจ อารมณ์ฉุนเฉียวยิ่งขึ้น “ปกติอยู่ในโรงเรียนก็ทำลายชื่อเสียงของจื่อจินแบบนี้หรือเปล่า”
จงจือหว่านตะโกนออกมาทั้งน้ำตา “หนูเปล่าค่ะ!”
โรงเรียนเหรอ
นักเรียนมอปลายเกือบทั้งหมดแทบจะอยู่ข้างอิ๋งจื่อจิน แถมยังเรียกว่าเทพอิ๋ง
เธอรู้สึกว่าน่าขำ
ดูเอาสิว่ามันง่ายแค่ไหน
อาศัยหน้าตา สอบกลางภาคได้ที่หนึ่งครั้งเดียวก็ซื้อใจทุกคนได้แล้ว
รวมถึงผู้เฒ่าจง และก็รวมถึงพวกอาจารย์
“คุณปู่ ทำไมเอาแต่เข้าข้างเธอ” จงจือหว่านน้ำตาไหลไม่หยุด ร้องไห้จนเสียงดังยิ่งกว่าเดิม “เธอสำคัญกว่าหนูเหรอคะ”
“จงจือหว่าน ที่แท้หลานก็คิดแบบนี้” ผู้เฒ่าจงผิดหวังอย่างถึงที่สุด “หลานลองถามตัวเอง หลานขาดอะไรบ้าง สิบกว่าปีที่ผ่านมา คนที่ปู่เอ็นดูที่สุดคือใคร”
จงจือหว่านกัดริมฝีปากแน่น
ใช่ เมื่อก่อนผู้เฒ่าจงเข้าข้างเธอ
แต่เมื่อปลายปีที่แล้ว หลังจากที่เขาเห็นอิ๋งจื่อจิน เธอก็ไม่ใช่หลานรักเพียงคนเดียวอีกต่อไป
ตอนนั้นผู้เฒ่าจงเพิ่งกลับมา ไม่ได้มาหาเธอก่อน แต่ให้จงมั่นหวาพาอิ๋งจื่อจินกลับมาชนิดที่แทบทนรอไม่ไหว
เธอรู้ว่าอิ๋งจื่อจินถูกบังคับบริจาคเลือดให้อิ๋งลู่เวยหลายครั้ง แต่เธอไม่ได้บอกผู้เฒ่าจง
ต่อมาเธอเห็นผู้เฒ่าจงทำดีกับอิ๋งจื่อจินขนาดนั้น มองข้ามเธอ เธอก็ยิ่งรู้สึกรับไม่ได้
“จงจือหว่าน หนึ่งวันหนึ่งคืน คุกเข่าไป” ผู้เฒ่าจงมองเห็นธาตุแท้ของจงจือหว่านอย่างสิ้นเชิงแล้ว “หลานควรรู้สึกโชคดีที่เป็นหลานสาว ถ้าเป็นหลานชาย ตอนนี้ได้ถูกลงโทษด้วยกฎของตระกูลไปแล้ว”
ไม่ว่าใครในตระกูลจงที่ทำผิดก็จะต้องรับโทษตามกฎของตระกูล
ผู้เฒ่าจงออกจากห้องใต้หลังคาแล้วล๊อกประตู
ก่อนหน้านี้พ่อบ้านจงก็อยู่ด้วย เขาเดินเข้ามาในเวลานี้ “ท่านผู้เฒ่า ตอนที่คุณจื่อจินยังไม่กลับมา คุณหนูใหญ่เพียบพร้อมทุกอย่าง นี่ทำไม…”
“ฉันไม่รอบคอบเอง” ผู้เฒ่าจงเหนื่อยล้า “ช่วงเวลาไม่กี่ปีที่เธอบ่มเพาะนิสัย ฉันให้แม่ของเธอดูแลอยู่คนเดียว”
คุณนายจงก็เป็นคนที่เสแสร้งจอมปลอม
แต่งเข้ามาได้สามปีกว่าถึงจะเผยธาตุแท้ให้ผู้เฒ่าจงเห็น
แต่ตอนนั้นเธอคลอดจงจือหว่านแล้ว และก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ร้ายแรงอะไร ย่อมไม่มีทางให้เธอไปจากบ้านตระกูลจง
“เฝ้าหว่านหว่านไว้” ผู้เฒ่าจงถอนหายใจ “ฉันกลัวเธอจะทำอะไรที่ตัวเธอเองต้องเสียใจไปตลอดชีวิต พอถึงตอนนั้นใครก็ช่วยเธอไม่ได้แล้ว”
…
ตอนที่อิ๋งจื่อจินลงจากเครื่องบินเป็นเวลาหกโมงเย็นของทางนี้
สนามบินห่างจากเมืองนอร์ตันไปอีกหลายสิบกิโลเมตร เธอเรียกรถนั่งไป
อิ๋งจื่อจินรู้ว่านับตั้งแต่เธอลงจากเครื่องบินครั้งนี้ได้มีคนจับตาดูเธออยู่ไม่น้อย
บอกว่าจับตาดูเธออาจจะไม่ตรงพอ ควรเป็นมีคนมากมายจับจ้องเธออยู่
อย่างไรเสียเธอก็โพสต์ในเว็บบอร์ดเอ็นโอเคไปแล้วว่าจะมารับที่มหาวิทยาลัยนอร์ตันด้วยตัวเอง
ถ้างั้นก่อนเข้ามหาวิทยาลัยนอร์ตันเธอก็จะถูกจับตาดูตลอดทาง
มีคนมากมายกำลังตามหาเธอจริงๆ
มีคนที่มีชีวิตอยู่ได้นานจริงๆ และก็มีหลายคนที่บอกต่อกันมาในตระกูลจากรุ่นสู่รุ่น
แบบที่ว่าปู่เล่าให้หลานฟัง ความปรารถนาตกทอดที่ต้องการฆ่าเธอให้ได้
อิ๋งจื่อจินหันหน้าไปมองเงาสะท้อนใบหน้าที่แปลกตาบนกระจกหน้าต่างรถ รู้สึกไม่ค่อยพอใจ
ระหว่างที่เธอเดินออกจากสนามบินได้เปลี่ยนโฉมมาสามครั้งแล้ว
ถึงแม้จะมีญาณพยากรณ์อยู่ แต่ก่อนที่จะฟื้นคืนอย่างสมบูรณ์ ใช่ว่าเธอจะพยากรณ์ใครก็ได้
คนที่อยากได้ชีวิตเธอล้วนไม่ธรรมดาทั้งนั้น
โทรศัพท์มือถือสั่น อิ๋งจื่อจินเหลือบมองสายที่โทรมา
เบอร์ถูกซ่อนไว้
แต่ถ้าโทรเข้าเครื่องของเธอ ซ่อนไปก็ไม่มีประโยชน์
รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนอร์ตันโทรมา
ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยนอร์ตัน นอกจากอธิการบดีแล้วก็มีแค่รองอธิการบดีที่มีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้
ร่างกายของเขาก็เคยผ่านการเล่นแร่แปรธาตุ ความสามารถในการแตกเซลล์แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปมาก สามารถมีชีวิตอยู่ได้สามร้อยกว่าปี
มหาวิทยาลัยนอร์ตันก่อตั้งอย่างเป็นทางการขึ้นในปี 1754 เมื่อก่อนเธอกับพวกเขาก็เคยร่วมงานกัน
“ฮัลโหล ถึงไหนแล้วครับ” รองอธิการบดีข่มความตื่นเต้น “ผมนั่งรถใต้ดินไปรับคุณแล้วนะ”
“ใกล้แล้วค่ะ” อิ๋งจื่อจินหาว “ขอเตือนหน่อย พวกเราถูกดักฟัง”
บทสนทนาสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้
รองอธิการบดีที่กำลังนั่งรถใต้ดินยืนขึ้นทันที เดินเข้าไปหาศาสตราจารย์คนหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “ลองสืบหน่อยว่ามีคนแฮ๊กโทรศัพท์มือถือผมหรือเปล่า”
ไม่น่านะ
ถ้ามี เป็นไปไม่ได้ที่โทรศัพท์ของเขาจะไม่แจ้งเตือน
นิ้วของศาสตราจารย์เคาะบนแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็ว สีหน้าเปลี่ยนไปทันที “รองอธิการครับ มีคนแฮ๊กโทรศัพท์ของท่านจริงครับ แต่ไม่ทราบที่มา ระบุพิกัดไม่ได้ครับ แต่…”
สีหน้าของเขาค่อนข้างพิลึก “เขาแฮ๊กไม่สำเร็จ ถูกขวางไว้ครับ”
รองอธิการบดีงง
ผ่านไปสักพักเขาก็ได้สติกลับมา เข้าใจแล้วว่าใครทำ
สองร้อยกว่าปีที่บอสใหญ่คนนี้หายตัวไป โลกมนุษย์จากยุคอุตสาหกรรมได้ก้าวเข้าสู่ยุคเทคโนโลยี
พวกเขาเรียนเทคโนโลยีใหม่มานานมาก ผสมผสานกับวิชาเล่นแร่แปรธาตุ ด้วยเหตุนี้เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนอร์ตันถึงได้ล้ำกว่าโลกภายนอก
บอสใหญ่ของสมาพันธ์แฮ๊กเกอร์นิรนามแค่แฮ๊กเข้ามาพวกเขาก็จับได้แล้ว
นึกไม่ถึงว่า…ระดับฝีมือการพลิกแพลงใช้เทคโนโลยีขั้นสูงจะล้ำไปมากขนาดนี้
เป็นคนเมื่อศตวรรษก่อนเหมือนกัน ทำไมพวกเขาถึงได้อ่อนหัดแบบนี้
รองอธิการบดีทำหน้าเศร้า “เฮ้อ ต้องถูกด่าอีกแล้ว”
…
เวลาทุ่มครึ่งท้องฟ้าของเมืองนอร์ตันก็มืดสนิท
เฮ่อสวินก็มาถึงแล้ว เขาพานักเรียนทั้งสามคนเข้าไปในตู้โทรศัพท์ที่ใหญ่มาก
ภายในตู้โทรศัพท์มีโทรศัพท์อยู่เครื่องหนึ่ง แต่กลับไม่ได้เอาไว้ใช้โทร
เฮ่อสวินหยิบบัตรผ่านของตัวเองที่เหลือใบสุดท้ายออกมารูด
เกิดเสียงดังสนั่น ทันใดนั้นพื้นใต้เท้าก็เคลื่อนลง
ตู้โทรศัพท์เคลื่อนลงด้านล่างเหมือนลิฟต์
นักเรียนสามคนทั้งตกใจทั้งสงสัย “อาจารย์เฮ่อ นี่ก็คือเส้นทางไปมหาวิทยาลัยนอร์ตันเหรอครับ”
“อืม เดี๋ยวยังต้องนั่งรถใต้ดิน” เฮ่อสวินดูเวลา “รถออกเวลาทุ่มครึ่ง มาถึงที่นี่ตอนทุ่มห้าสิบ หากพลาดรอบนี้พวกเราก็จะเข้าไปไม่ได้แล้ว”
นักเรียนทั้งสามคนเข้าใจแล้ว
มิน่าคนนอกถึงไม่รู้ว่ามหาวิทยาลัยนอร์ตันอยู่ที่ไหน ใครจะไปคิดว่าตรงนี้จะมีทางเข้าที่พรางเป็นตู้โทรศัพท์
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงใต้ดิน ที่นี่ไม่แตกต่างจากสถานีรถไฟใต้ดินทั่วไป
เบื้องหน้าเป็นรางรถ ด้านบนยังมีชื่อสถานี
สิบห้านาทีต่อมาก็มีเสียงดัง รถใต้ดินมาแล้ว
เฮ่อสวินอึ้งไปเล็กน้อย
มหาวิทยาลัยนอร์ตันเคร่งครัดเรื่องเวลามาตลอด ทำไมครั้งนี้รถไฟใต้ดินถึงมาเร็วห้านาที
เขาเดินเข้าไปด้วยความสงสัย แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่ขบวนรถห้ามไว้ “นักศึกษาเฮ่อใช่ไหม รถขบวนนี้รองอธิการบดีใช้วิ่งมารับคนโดยเฉพาะ อีกเดี๋ยวขบวนรถของนักศึกษาอย่างพวกคุณถึงจะมา”
“มะ ไม่เป็นไรครับ” เฮ่อสวินรู้สึกขายหน้า เขาถอยกลับไป
ในใจกลับอารมณ์พลุ่งพล่าน
ใครกันที่รองอธิการบดีถึงกับมารับด้วยตัวเอง
เขาอยู่ที่มหาวิทยาลัยนอร์ตันมาหลายปีขนาดนี้ยังไม่เคยเจอรองอธิการบดี
ทันใดนั้นนักเรียนชายที่อยู่ข้างๆ ก็จับเสื้อของเฮ่อสวิน พูดเสียงสั่นเครือ “อาจารย์เฮ่อ ดูสิครับนั่นใช่…ใช่พี่สาวของเวินทิงหลานหรือเปล่า”
เฮ่อสวินขมวดคิ้ว หันมองไป