“อืม อักษรแบบจ้วน” อิ๋งจื่อจินเอามือเท้าคาง “เอามันเป็นสัญลักษณ์กันลอกเลียนแบบแล้วกัน”
เลขาสาวเข้าใจแล้ว
โดยทั่วไปนักออกแบบจะมีการทิ้งลูกเล่นเล็กน้อยไว้ในผลงานการออกแบบของตัวเอง ซึ่งก็มีเพียงเจ้าของผลงานเท่านั้นที่เข้าใจ
เมื่อก่อนมีนักออกแบบคนหนึ่งตั้งใจปักอักษรลงบนชุดที่ตัวเองออกแบบ
แต่ปกติจะมองไม่ออก มีเพียงภายใต้สถานการณ์ที่มืดสนิทเท่านั้น อักษรถึงจะเรืองแสง
เลขาสาวยังคงสงสัย “ทำไมถึงเป็นอักษร ‘ปีศาจ’ เหรอคะ”
ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวอะไรกับคอนเซ็ปต์ออกแบบทั้งสี่ชุดนี้
“ชื่อที่เมื่อก่อนตั้งขึ้นส่งเดช” อิ๋งจื่อจินค่อยๆ บิดขี้เกียจ น้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย “ก็เลยเอามาใช้ ไม่ต้องคิดมาก”
เลขาสาวรู้จักดูสถานการณ์จึงไม่ได้ถามต่อ “บอสคะ บอสจะไปงานเดินแบบด้วยไหมคะ”
“ไม่ดีกว่า” อิ๋งจื่อจินหาวออกมา “หาใครสักคนไปแทนแล้วกัน”
เลขาสาวชินกับนิสัยบอสของตัวเองแล้ว “งั้นชื่อของนักออกแบบก็ใช้ชื่อ ‘ปีศาจ’ นี่เหรอคะ”
ผลงานเข้าประกวดจำเป็นต้องมีชื่อกำกับ
“คุณไปจัดการเอาแล้วกัน” อิ๋งจื่อจินพยักหน้าเล็กน้อย “ฉันขอดูละครหน่อย”
เลขาสาวเดินออกไป
สักพักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง
อิ๋งจื่อจินไม่ได้เงยหน้า ยังคงมองคอมพิวเตอร์ “เข้ามา”
ประตูถูกเปิดออก ซังเย่าจือเดินเข้ามา ยังคงแต่งตัวเต็มยศ
เขายืนลังเลอยู่ที่เดิม อยู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าควรใช้สรรพนามเรียกอะไรดี
จนถึงตอนนี้ซังเย่าจือก็ยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมเพียงชั่วพริบตาอิ๋งจื่อจินถึงกลายเป็นซีอีโอของชูกวงมีเดีย
ราวกับมองความลังเลของเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่ง อิ๋งจื่อจินเหลือบตาขึ้น “เรียกอะไรก็ได้ ก็แค่คำแทนตัว ไม่เป็นไร”
“คุณอิ๋ง” ซังเย่าจือชะงักเล็กน้อยแล้วถึงพูดต่อ “ผมจะมาบอกหน่อยน่ะครับว่าก่อนออกจากซิงเฉินผมได้ถ่ายละครไว้เรื่องหนึ่ง กำลังจะออกอากาศแล้วครับ”
“ฉันรู้” อิ๋งจื่อจินเงยหน้า “ละครสมัยยุคหมินกั๋ว ซิงเฉินให้คุณดันนักแสดงหญิงในสังกัด แถมยังจงใจทำให้เป็นคู่จิ้น”
ซังเย่าจือถอนหายใจยิ้มเศร้า “ประมาณนั้นครับ ผมเลยคิดว่าจะทำให้ทางบริษัทลำบากหรือเปล่าครับ”
นับตั้งแต่เขาเป็นราชาภาพยนตร์ก็มีบทหนังบทละครส่งมาให้จำนวนมาก
ผู้จัดการส่วนตัวบอกว่า ในเมื่อเขาตัดสินใจเข้าวงการภาพยนตร์ แบบนั้นก็ต้องถ่ายละครให้น้อยลง
แต่ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือผู้จัดการส่วนตัวต่างก็อยู่ใต้อาณัติของซิงเฉินเอนเตอร์เทนเมนต์
อีกทั้งยังมีเรื่องคนในครอบครัว ซิงเฉินให้เขาทำอะไรเขาก็ต้องทำ
ดังนั้นไม่ว่าเขาจะถ่ายหนังหรือถ่ายละคร หรือบางครั้งถูกเชิญไปเป็นโค้ชในรายการวาไรตี้ ก็ล้วนแต่จะถูกทางซิงเฉินขอให้ช่วยดันดาราคนอื่นในสังกัดด้วย
ก่อนหน้าละครเรื่องนี้เขายังเคยถูกเชิญไปเป็นโค้ชร้องเพลงในรายการวัยรุ่นสร้างฝัน 101
กลุ่มที่เขาเป็นโค้ชให้ก็มีเด็กฝึกของซิงเฉินเอนเตอร์เทนเมนต์
เพียงแต่เด็กฝึกคนนี้ความสามารถไม่ได้เรื่อง ถึงแม้ซิงเฉินจะเล่นตุกติกตอนแฟนคลับโหวตคะแนนแล้ว สุดท้ายก็ยังดันให้เด็กคนนี้เดบิวต์ไม่ได้อยู่ดี
ส่วนครั้งนี้ที่ถูกดันให้เป็นคู่จิ้น แฟนคลับของเขาก็ทุกข์ทรมานพอสมควร
“ไม่ลำบาก” อิ๋งจื่อจินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “คุณเซ็นสัญญาระดับเอ เดิมทีบริษัทก็ต้องแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้คุณอยู่แล้ว วางใจได้ ละครเรื่องนั้นของคุณมีหลายช่องเจรจาขอซื้อ รวมถึงแพลตฟอร์มคลิปวิดีโอ”
“คำนวณแบบไม่เข้าข้างตัวเองก็หลายสิบล้าน ไม่ขาดทุน”
นี่ก็คือพลังเรียกทรัพย์ของราชาภาพยนตร์ชั้นแนวหน้า
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ชื่อเสียงของซังเย่าจือเพิ่มขึ้นไปอีกระดับเพราะเรื่องก่อนหน้านี้ แฟนคลับก็เหนียวแน่นยิ่งกว่าเมื่อก่อน
ซังเย่าจือพยักหน้า ครุ่นคิดแล้วพูดต่อ “คุณอิ๋งครับ มีดาราในวงการจำนวนไม่น้อยมาถามผมว่าหมอเทวดาที่ผมเจอคือใคร แต่ผมไม่ได้บอกครับ”
“ฉันรักษาคนโดยดูจากพรหมลิขิต” แววตาของอิ๋งจื่อจินวูบไหวเล็กน้อย “มีวาสนาต่อกันย่อมได้เจอ”
ถึงแม้ซังเย่าจือจะรู้สึกว่าเรื่องตายแล้วฟื้นเป็นเรื่องเหลวไหล แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ
แล้วนับประสาอะไรกับที่วงการบันเทิงจะมีคนเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่บ้าง
เขารู้สึกว่าอิ๋งจื่อจินช่วยฉุดเขามาจากความตายก็ย่อมต้องแลกด้วยบางอย่างแน่นอน
“พอไหว” อิ๋งจื่อจินเหลือบมองเขา “ของคุณช่วยง่าย”
ช่วยคนทั่วไปเป็นเรื่องสบายๆ สำหรับเธอ ขอเพียงแต่ชะตายังไม่ขาดอย่างสิ้นเชิง
“งั้นก็ขอบคุณคุณอิ๋งล่วงหน้าครับ” ซังเย่าจือพยักหน้า “ถ้ามีอะไรจะสั่ง ผมจะทำให้ได้แน่นอนครับ”
“มีอยู่อย่าง” อิ๋งจื่อจินพูดเสียงขรึม “บริษัทมีชุดอยู่เซตหนึ่ง เป็นชุดของผู้ชายสองชุด ไว้ถึงเวลาต้องการให้คุณช่วยโปรโมตหน่อย แต่ก็แล้วแต่คุณ ไม่บังคับ”
“เรื่องเล็กครับ” ซังเย่าจือยิ้ม “ผมบอกแล้วว่าถ้าคุณอิ๋งต้องการอะไรพูดมาได้เต็มที่ ขอเพียงแต่เป็นเรื่องที่ผมทำให้ได้”
หลังจากเขาออกไปก็ไปเจอผู้จัดการส่วนตัว
ผู้จัดการส่วนตัวรีบเดินเข้ามาหา “เย่าจือ เป็นไงบ้าง ได้เจอซีอีโอของชูกวงไหม”
“เจอแล้ว” ซังเย่าจือก็ไม่คิดจะพูดออกไปว่าเป็นอิ๋งจื่อจิน “พี่เอาแอ๊กเคานท์เล็กแฝงเข้าไปในกลุ่มแฟนคลับแล้วเป็นไงบ้าง”
เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมผู้ชายอกสามศอกอย่างเขาถึงมีแฟนคลับกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นแม่ยก
พอพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของผู้จัดการส่วนตัวก็ชะงัก
เขาถอนหายใจ หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “ไม่มีประโยชน์ นายดูเอาเองแล้วกัน”
ซังเย่าจือเปิดดู เป็นอีกครั้งที่เจอบนหน้าจอเต็มไปด้วยคำว่าลูกจ๋า “…”
…
ชิงจื้อ
เดิมทีอิ๋งเย่ว์เซวียนเป็นนักเรียนของคลาสเด็กอัจฉริยะ
หลังจากที่ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ยุโรปมาหนึ่งปี พอเธอกลับมาก็ยังคงอยู่ที่คลาสเด็กอัจฉริยะ
“อิ๋ง…เย่ว์เซวียน” พวกเพื่อนๆ ทักทายเธอ “เธอไม่อยู่หนึ่งปี พวกเราคิดถึงเธอมากเลยนะ”
อิ๋งเย่ว์เซวียนเป็นคนความรู้สึกไวมาตลอด เธอย่อมสังเกตเห็นว่า เพื่อนๆ เรียกเธอเปลี่ยนไป
สงสัยอยู่ในใจ แต่ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ
เธอเอาของฝากที่เตรียมไว้แบ่งให้ทุกคน
พอพวกเพื่อนๆ ได้รับของฝากก็ดีใจกันมาก
นักเรียนชายที่นั่งโต๊ะเดียวกันเห็นอิ๋งเย่ว์เซวียนกำลังขีดๆ เขียนๆ ในสมุด เขาจึงถามด้วยความสงสัย “เย่ว์เซวียน นี่อะไรเหรอ”
“ฉันเอาเอกสารการเรียนกลับมาจากโรงเรียนเอลาน เตรียมไว้ให้น้องสาวหนึ่งชุด” อิ๋งเย่ว์เซวียนยิ้ม “แต่มันเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด น้องสาวฉันไม่เข้าใจ ฉันก็เลยจะแปลให้”
พอคำพูดนี้ออกมาทั้งห้องก็เงียบสนิท
สายตาทั้งหมดไปกองรวมกัน เจือไปด้วยความตกใจ
อิ๋งเย่ว์เซวียนอึ้ง “มีอะไรเหรอ มีอะไรผิดปกติเหรอ”
“เย่ว์เซวียน ไม่จำเป็นหรอก” มีเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้น “อิ๋งจื่อจินไม่จำเป็นต้องใช้ของพวกนี้”
“เธอพูดเรื่องตลกอะไร” อิ๋งเย่ว์เซวียนขมวดคิ้ว “ก็เพราะน้องสาวฉันจำเป็นต้องใช้ ฉันเลยเอากลับมา”
ถ้าผลการเรียนของอิ๋งจื่อจินก้าวหน้าขึ้น จงมั่นหวาคงไม่มีอคติขนาดนั้น
จงจือหว่านยิ้ม ไม่เตือนเธอ คำพูดแฝงไว้ซึ่งการประชดประชัน “ทำไมฉันได้ยินมาว่าอิ๋งจื่อจินย้ายออกจากบ้านพวกเธอแล้วล่ะ เธอยังเห็นยัยนั่นเป็นน้องอยู่อีกเหรอ”
แต่เป็นห่วงขนาดนี้ อิ๋งเย่ว์เซวียนไม่รู้เหรอว่าอิ๋งจื่อจินสอบกลางภาคได้ที่หนึ่งของชั้นปี
อิ๋งเย่ว์เซวียนน่าสมเพชจริงๆ
ผู้เฒ่าจงลำเอียงไปถึงไหนแล้ว อิ๋งเย่ว์เซวียนยังไม่แสดงท่าทีอะไรสักนิด
เธอเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าอิ๋งเย่ว์เซวียนจะทำอะไร เธอคงต้องทำด้วยตัวเอง
รอตีสนิทตระกูลมู่ได้เมื่อไร สถานะของเธอก็จะสูงขึ้นมาก
…
สำหรับนักเรียนห้องสิบเก้า วันเรียนเสริมเป็นวันที่มีความสุข เพราะนี่ก็แสดงว่าพวกเขาจะได้ฟังพ่ออิ๋งสอนหนังสือได้มากหน่อย
สอบปลายภาคครั้งนี้ห้องสิบเก้าก็พุ่งขึ้นไปอยู่หกอันดับแรก ทำให้อาจารย์ฝ่ายวิชาการดีใจมากจนกินหมั่นโถวมากขึ้น
อิ๋งจื่อจินเดินลงมาจากโพเดียมแล้วเช็ดมือ
“พ่ออิ๋ง ตอนเย็นไปปาร์ตี้กันไหม” ซิวอวี่โอบบ่าเธอ “ยังไงก็ว่างๆ”
“วันนี้ไม่ได้” อิ๋งจื่อจินสะพายกระเป๋าเป้ มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า พยักหน้าเล็กน้อย “ฉันจะเอายาไปส่ง”
ถึงแม้บาดแผลของฟู่อวิ๋นเซินจะหายเร็วกว่าคนอื่น แต่ร่างกายก็ยังไม่กลับมาแข็งแรงเท่าไร
เธอรู้ว่าฟู่อวิ๋นเซินไม่ได้พักที่คฤหาสน์ตระกูลฟู่ เขาอยู่คอนโดส่วนตัวใจกลางเมือง
ไม่ไกลจากชิงจื้อเท่าไร ระยะทางยี่สิบนาที
ถึงแม้จะเป็นคอนโดส่วนตัว แต่ระบบรักษาความปลอดภัยก็เข้มงวดมาก และก็มีดาราหลายคนอยู่ที่นี่
ฟู่อวิ๋นเซินให้คีย์การ์ดเอาไว้เพื่อให้เธอเข้าออกได้สะดวก
อิ๋งจื่อจินกวาดตามองรอบๆ เดินเข้าประตูขึ้นลิฟต์ไป
เธอใช้กุญแจไขเปิดประตู วางกระเป๋าเป้บนโซฟา จากนั้นก็เดินไปที่ห้องนอนด้านใน
ประตูห้องนอนเปิดอยู่
ฟู่อวิ๋นเซินพิงกำแพง มือถือโทรศัพท์ หันมองนอกหน้าต่าง กำลังคุยโทรศัพท์
ใบหน้าด้านข้างของเขางดงาม หล่อดุจเทพบุตร
เขามักจะอ่อนโยนเสมอ ต่อให้เป็นหมาหรือแมวก็ตาม เขาก็มักจะเอาพวกมันมาช่วยทำแผลให้อย่างใจเย็น
ยากที่จะจินตนาการว่าคนที่อยู่กับความมืดมิดมานานยังสามารถอ่อนโยนได้ถึงเพียงนี้
แต่เวลานี้รอบตัวของเขากลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายความอาฆาตโอบล้อมเอาไว้
ดวงตาดอกท้อที่แต่ไหนแต่ไรโค้งมนอยู่เสมอ เวลานี้ถูกฉาบด้วยความเย็นชา
ราวกับเป็นดาบแหลมคมที่หลอมอยู่ท่ามกลางกองเพลิง ชวนให้หวาดหวั่น พร้อมที่จะตัดคอได้ทุกเมื่อ
เขาแค่ยืนอยู่ตรงนั้น คล้ายภูเขาลูกใหญ่ แรงกดดันมหาศาล
อิ๋งจื่อจินรู้ว่าเขาน่าจะยุ่งอยู่ มือของเธอชะงัก เตรียมถอยออก
แต่กลับได้ยินคำพูดหนึ่งดังออกมาจากโทรศัพท์มือถือสีดำรุ่นโบราณอย่างชัดเจน
ไม่อยากได้ยินคงยาก
“ผู้บัญชาการครับ ทางไอบีไอเริ่มรับสมัครคนแล้ว ผู้บัญชาการจะไม่มาดูจริงๆ เหรอครับ”