“กระทู้อะไร” อิ๋งเย่ว์เซวียนอึ้งไปอีกรอบ “ช่วงนี้ฉันไม่ได้เล่นเน็ต และก็ไม่ชอบเล่นด้วย”
จงจือหว่านหันกลับมา หางตามีหยดน้ำตา
แววตาของเธอเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและประชดประชัน “หลินสี่ไม่ใช่แค่รุ่นพี่ของฉัน เขาเป็นรุ่นพี่ของเธอด้วยเหมือนกัน เธออยากจะรู้ก็เป็นเรื่องง่ายๆ”
เนื่องจากเธอกับอิ๋งเย่ว์เซวียนอายุเท่ากันทั้งยังเรียนชั้นเดียวกัน ดังนั้นตอนเด็กๆ เรียนอะไรก็มักจะเรียนด้วยกัน
ตอนแรกสุดอาจารย์ของพวกเธอยังชื่นชมที่อิ๋งเย่ว์เซวียนหัวไวมีพรสวรรค์
แต่ต่อมาไม่ว่าจะในด้านไหน ผลคะแนนของอิ๋งเย่ว์เซวียนก็ล้วนแต่สู้เธอไม่ได้
ถูกเธอข่มมาตลอด
“รุ่นพี่หลินสี่เหรอ” อิ๋งเย่ว์เซวียนขมวดคิ้ว “ตั้งแต่ฉันกลับมาฉันยังไม่ได้เจอเขาเลยนะ เธออยากจะพูดอะไรกันแน่”
“อิ๋งเย่ว์เซวียน เธอนี่มันเก่งจริงๆ ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว” จงจือหว่านยิ้ม “เธอรู้ว่าฉันต้องเป็นที่หนึ่งมาตลอด ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรเธอก็เป็นที่สอง”
“เธอนี่มันเจ้าเล่ห์ช่างวางแผนจริงๆ ไม่มีใครแผนสูงเท่าเธออีกแล้ว”
“จงจือหว่าน เกินไปแล้วนะ” พอได้ยินแบบนี้อิ๋งเย่ว์เซวียนก็เริ่มมีอารมณ์ น้ำเสียงก็เย็นชาลง
“ถ้าฉันเก่งจนเป็นที่หนึ่งได้ ฉันจะยอมให้เธอเหรอ แม่ฉันเข้มงวดเรื่องการเรียนของฉันขนาดไหน เธอไม่รู้หรือไง”
“ตอนเด็กฉันได้ที่สอง แม่ถึงขนาดไม่ให้ฉันกินข้าว ฉันจำเป็นต้องทรมานตัวเองด้วยเหรอ”
“ฉันถึงได้บอกว่าเธอเจ้าเล่ห์ไงล่ะ” จงจือหว่านยิ้มจนน้ำตาไหลออกมา “คนอื่นมองเธอไม่ออก แต่ในความเป็นจริง เธอคือคนที่เก็บซ่อนเอาไว้ได้ลึกที่สุด”
“จงจือหว่าน เธอชักจะไร้เหตุผลแล้วนะ” อิ๋งเย่ว์เซวียนโกรธแล้วจริงๆ “ที่แท้เธอก็คิดกับฉันแบบนี้ เดิมทีฉันคิดว่าเรื่องระหว่างเธอกับน้องสาวฉันเป็นการเข้าใจผิด”
“ดูจากตอนนี้ เธอคงเป็นคนแบบนั้นจริงๆ”
“อิ๋งเย่ว์เซวียน เธอนี่มันร้ายกาจจริงๆ” จงจือหว่านก็ไม่โกรธ ทั้งยังยิ้ม “เพียงแต่น่าเสียดาย ความเจ้าเล่ห์ของเธอมันไม่มีประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าความเก่งที่แท้จริง”
“อิ๋งจื่อจินเก่งกว่าเธอพันเท่าหมื่นเท่า ความสงสารที่เธอมีให้อิ๋งจื่อจิน มันเป็นเรื่องที่น่าขำสิ้นดี”
พูดจบจงจือหว่านก็ไม่มองอิ๋งเย่ว์เซวียนอีก วิ่งออกจากอาคารเรียนไป อิ๋งเย่ว์เซวียนไม่อยากคุยกับจงจือหว่านยิ่งกว่า เธอถือกระบอกน้ำแล้วเดินเข้าห้องเรียน
คนในห้องต่างสังเกตเห็นอารมณ์ของเธอที่ดูแปลกไป เสียงทะเลาะของทั้งสองคนก็ไม่ได้เบา มีเพื่อนหลายคนได้ยิน มีคนพูดปลอบ “เย่ว์เซวียน ไม่ต้องโมโหไปหรอก จงจือหว่านทำตัวเองจนเละไปหมดแล้ว เธออย่าเก็บเอาคำพูดพวกนั้นมาคิดจริงนะ”
อีกคนพูดขึ้น “ใช่ๆ ตอนนั้นจงจือหว่านก็กล่าวหาอิ๋งจื่อจินแบบนี้ พวกเราโดนหลอกจริงๆ”
อิ๋งเย่ว์เซวียนกลับไปที่นั่งของตัวเองแล้วพูดขึ้น “ก็ไม่ได้อยากโมโห แต่ควบคุมไม่ได้”
เธอหยิบปากกา ครุ่นคิด จากนั้นก็วางลงแล้วถอนหายใจ เธออยากเอาพวกแบบฝึกหัดไปให้อิ๋งจื่อจิน แต่ก็ไม่ได้เจอเลยสักครั้ง ไว้รอหาโอกาสให้อิ๋งเทียนลี่ว์นัดอิ๋งจื่อจินออกมา พวกเธอจะได้คุยกันดีๆ
เธอยังไม่เคยได้ขอโทษอย่างจริงจัง
…
ยามบ่ายแสงแดดแรงกล้า ฟ้าโปร่งยาวหมื่นลี้
เครื่องบินส่วนตัวลำหนึ่งบินขึ้นจากสนามบินของฮู่เฉิง
บนเครื่องบินลำนี้มีผู้โดยสารสองคนนอกเหนือจากนักบินและพนักงานบริการ
ภายในเครื่องบินตกแต่งอย่างหรูหรา ไม่ต่างอะไรจากห้องชุดในโรงแรม
มีห้องรับแขก ห้องอาหาร ห้องสุขาแยกต่างหาก หรือแม้กระทั่งห้องอาบน้ำและห้องครัว
ฟู่อวิ๋นเซินยกมือกดปุ่มที่อยู่ข้างๆ
เบาะเก้าอี้สองตัวที่อยู่ตรงกลางก็หมุนกลายเป็นเตียง
อิ๋งจื่อจินนั่งที่โซฟา ยกแก้วน้ำผลไม้พลางหันมา “ยังไม่ได้บอกเลยนะว่าจะไปไหน”
“จุดซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าของสมาพันธ์ลับ” ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบตาขึ้น “มีของแปลกใหม่อยู่ไม่น้อย อยากให้เธอลองไปดู แต่ก็อันตรายพอควรเดี๋ยวไปถึงก็เกาะพี่ชายไว้ให้ดี”
พอได้ยินแบบนี้อิ๋งจื่อจินก็เงียบไปชั่วขณะ เธอเปิดโทรศัพท์มือถือ อ่านข้อความที่สิบส่งมาให้ จับศีรษะ ถอนหายใจเบาๆ อย่างเธอนี่เรียกว่ารู้ทั้งรู้ว่าในภูเขามีเสือก็ยังจะก้าวเข้าไป
ถึงแม้เธอจะไม่คิดใช้ชีวิตเกษียณแล้ว แต่ก็ยังไม่คิดจะเจอพวกเขาเร็วๆ นี้
ตอนนี้ญาณพยากรณ์กับวิทยายุทธ์ของเธอยังฟื้นคืนกลับมาได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบจากจุดสูงสุด บางเรื่องเลี่ยงได้ก็เลี่ยง ความยุ่งยากก็จะน้อยลง
ช่างเถอะ
อย่างไรเสียพวกเขาก็จำเธอไม่ได้หรอก
สมัยศตวรรษที่สิบหกยังไม่มีอินเตอร์เน็ต สำนักงานใหญ่ของสมาพันธ์ลับเป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งในยุโรป ไม่สะดุดตา
คำเรียกว่านักล่าก็ได้ถือกำเนิดมาตั้งแต่ตอนนั้น
นักล่าหรือเรียกอีกอย่างว่านักฆ่า มีเป้าหมายมากมาย
ตอนนั้นวาติกันของทางยุโรปได้มีการว่าจ้างนักล่าจำนวนมากให้ไปไล่ฆ่าแม่มดและนักเวทย์ทั้งหมด
นี่เป็นเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ถูกเรียกว่า ‘การล่าแม่มด’ หรือที่เรียกว่า ‘การพิพากษาแม่มด’
แต่อันที่จริงพวกเธอไม่ถือว่าเป็นแม่มด และก็ไม่ได้มีเวทมนตร์วิเศษเลิศเลอแบบที่เขียนในหนังสือ ก็แค่มีความสามารถที่เหนือกว่าคนทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้น
หลังจากที่แม่มดกับนักเวทย์ถูกฆ่า หมอดูที่แท้จริงก็น้อยลงเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่ไม่มีเหลือ นี่เป็นคำทำนายสุดท้ายที่เธอทิ้งไว้ที่ยุโรป คำทำนายแบบนี้มีผลลัพธ์ที่แน่นอน เปลี่ยนแปลงไม่ได้
หลังจากที่เข้าสมาพันธ์ลับ สมาพันธ์ลับจะทำการประเมินศักยภาพของนักล่าเหล่านี้แล้วจัดอันดับ สิบอันดับแรกของแต่ละชาร์ตล้วนมีความสามารถเป็นที่ประจักษ์
เพียงแต่เมื่อก่อนไม่มีชาร์ตนักแม่นปืน อย่างไรเสียในตอนนั้นปืนก็ยังไม่ได้ถูกคิดค้นขึ้นมา
ความเจริญก้าวหน้าหลายร้อยปีก็ได้ทำให้เกิดการจัดอันดับมากขึ้นเรื่อยๆ
สมาพันธ์ลับก็ได้อาศัยอินเตอร์เน็ตขยายขอบเขตไปอีกขั้นเช่นกัน
อิ๋งจื่อจินค้นจำนวนบัญชีผู้ใช้งานของพื้นที่ปิดเว็บบอร์ดเอ็นโอเค มีมากถึงหนึ่งแสนแปดหมื่นคน!
แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรบนโลกที่มีเจ็ดพันล้านก็ถือว่าน้อยมาก
แต่สมาชิกที่เข้าร่วมสมาพันธ์ลับจะต้องได้สัมผัสกับความลับในเชิงลึกทั้งหลายของโลกใบนี้เช่น จุดจมหายของแผ่นดินโบราณแอตแลนติส หรือการมีอยู่อย่างแท้จริงของวิชาเล่นแร่แปรธาตุ ความลับเหล่านี้ถูกจงใจปกปิดเอาไว้ ไม่มีทางแพร่งพรายต่อคนทั่วไป
แต่ใครจะรู้ได้ว่าหนึ่งแสนแปดหมื่นคนนี้จะเก็บรักษาความลับไปได้นานแค่ไหน
อิ๋งจื่อจินหลุบตาลงครุ่นคิด
อันที่จริงเธอไม่รู้ว่าทำไม สิบ ถึงเปิดเว็บบอร์ดให้สมาชิกของสมาพันธ์ลับ
หากว่ากันตามเหตุผล ยิ่งมีคนรู้ความลับพวกนี้มากเท่าไรก็จะยิ่งเลวร้าย
สิบ เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสมาพันธ์ลับ หนึ่งในคนที่เก็บรักษาความลับของโลก ไม่มีทางไม่เข้าใจเหตุผลข้อนี้
“เยาเยา ใช้เวลาเดินทางห้าชั่วโมง” ฟู่อวิ๋นเซินเดินเข้ามาชี้ที่เตียง
เขายื่นผ้าปิดตากับที่อุดหูให้เธอ
พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ โทนเสียงอ่อนโยนเช่นเคย “พักผ่อนไปก่อน เดี๋ยวถึงแล้วเรียก”
…
หลายวันแล้วข่าวคราวยังไม่เงียบหายไป
จงจือหว่านไม่กล้าไปโรงเรียน
เธอกลัวจะได้ยินเรื่องพวกนั้น และก็กลัวจะเห็นพวกนักเรียนชี้มาที่เธอพลางซุบซิบ
“แม่คะ หนูไม่รู้จริงๆ ว่าเรื่องมันจะกลายเป็นแบบนี้” จงจือหว่านเอาสองมือปิดหน้า ร้องไห้เสียใจมาก
“หนูก็แค่อยากช่วยครอบครัวของพวกเรา”
เพียงแต่เธอใจร้อนเกินไป เธอน่าจะรออีกสักหน่อย
“ทั้งสองเรื่องบานปลายไปใหญ่โต ก็เป็นความผิดของลูกจริงๆ” คุณนายจงขมวดคิ้วแน่น “แต่พวกเราก็ยังพอมีหนทางให้แก้ไข”
จงจือหว่านสะอื้นไห้พูดเสียงเบา “แก้ไขยังไงเหรอคะแม่ แม่ไม่รู้หรอกว่าพวกเพื่อนๆ ในโรงเรียนพูดถึงหนูว่าอย่างไร หนูทนรับไม่ไหวแล้ว หนูจะเป็นบ้าตายแล้ว หนูอยากลาออก”
“ลาออกเหรอ” คุณนายจงเสียงขรึม “ถ้าลูกลาออก นั่นต่างหากที่จะหมดหนทางแล้วจริงๆ”
“แต่หนู…” จงจือหว่านนึกถึงสายตาที่พวกเพื่อนๆ มองเธอ จากนั้นก็เริ่มร้องไห้สติแตกอีกครั้ง “พวกเขารู้เรื่องที่หนูทำแล้ว หนูจะอยู่ต่อไปได้อย่างไรคะ”
“ก็เหมือนกับที่ปู่ของลูกพูด พวกเราไปที่ชูกวงมีเดียก่อน ขอโทษนักออกแบบของพวกเขา ขอให้ยกโทษให้” คุณนายจงพูดอย่างใจเย็น “ลูกยังเด็ก พวกเขาไม่มีทางคาดคั้นเอาถึงตาย ส่วนเรื่องเทศกาลศิลปะ…”
เธอทำสีหน้าดูถูก “ลูกเลี้ยงนั่นออกจากตระกูลอิ๋งไปแล้ว ไม่มีแม้แต่คนหนุนหลัง จะทำอะไรได้”
จงจือหว่านอึ้ง “แม่คิดจะ…”
“ลูกรออยู่ข้างๆ” คุณนายจงส่ายมือ “เรื่องนี้แม่จัดการเอง เอาเบอร์ของเด็กคนนั้นมาให้แม่”
จงจือหว่านเม้มริมฝีปาก กดดูบันทึกการสนทนาในเครื่องโทรศัพท์บ้านแล้วหาเบอร์มือถือของอิ๋งจื่อจิน คุณนายจงโทรออก
สิบวินาทีต่อมาก็มีคนรับสาย
“อิ๋งจื่อจิน ฉันเป็นแม่ของจงจือหว่าน” คุณนายจงเข้าประเด็นทันที “เรื่องตอนงานเทศกาลศิลปะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน เธอเข้าใจไหม”
อิ๋งจื่อจินที่อยู่ปลายสายเพิ่งไปถึงจุดหมาย เธอเห็นเป็นเบอร์ของคฤหาสน์ตระกูลจงก็เลยรับ พอได้ยินแบบนี้สีหน้าของเธอก็เรียบเฉย พูดเสียงเย็นชา “ป่วยก็ไปรักษา” พูดจบก็จะกดวางสาย
คุณนายจงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้กาลเทศะได้ถึงเพียงนี้ จึงหมดความอดทนเป็นแค่เด็กกำพร้ากล้าหักหน้าเธอเลยเหรอ
คิดว่าแค่วาดอักษรได้ตัวเองก็เก่งเสียเต็มประดาอย่างนั้นเหรอ
“เธอมีพ่อที่มาจากบ้านนอกใช่ไหมล่ะ” ทันใดนั้นคุณนายจงก็ยิ้ม ทำตัวยโสข่มขวัญเต็มที่ “ดูเหมือนจะยังมีน้องชายด้วยอีกคน ได้ยินว่าน้องชายเธอป่วยด้วยนี่”