ชื่อกับสถานที่ฟังดูคุ้นหู ทำให้เท้าของคุณนายมู่หยุดชะงัก
เธอขมวดคิ้ว เริ่มครุ่นคิดว่าตัวเองเคยได้ยินชื่อ ‘จื่อจิน’ มาจากที่ไหน
เวลานี้มู่เฉิงได้เดินเข้าไปด้านในแล้ว ในเวลาไม่กี่วินาทีก็หายไปไม่เห็นแม้แต่เงา
หากยังไม่ถูกเรียก คุณนายมู่ก็ไม่กล้าอยู่ที่นี่นาน เธอรีบสาวเท้าเดินออกทั้งที่ยังไม่ทันได้คิดอะไรมาก หลังจากที่กลับถึงห้องของตัวเอง คุณนายมู่ก็นั่งคิดอยู่นาน ในที่สุดก็นึกออก
ลูกเลี้ยงคนนั้นที่ตระกูลอิ๋งรับเลี้ยง ดูเหมือนจะชื่อจื่อจินไม่ใช่เหรอ แต่ชื่อของลูกเลี้ยงออกมาจากปากของมู่เฉิงได้เหรอ เท่าที่ฟังดู เหมือนมู่เฮ่อชิงต้องการจะไปหาด้วยตัวเอง
คุณนายมู่รู้สึกไม่มีความเป็นไปได้แม้แต่น้อย แต่เธอเป็นคนรอบคอบมาตลอด ไม่มีทางปล่อยเบาะแสแม้เพียงเล็กน้อยไป หลังจากครุ่นคิดอยู่นานคุณนายมู่ก็โทรไปที่ฮู่เฉิง
เธอไม่ได้โทรไปถามตระกูลอิ๋ง แต่โทรหามู่เฉินโจวโดยตรง อย่างไรเสียเธอก็ต้องการข้อมูลที่แม่นยำ หากตระกูลอิ๋งพูดเกินจริง เธอก็จะตัดสินใจไม่ได้
พอได้ยินชื่อ ‘อิ๋งจื่อจิน’ มู่เฉินโจวก็อึ้งไปชั่วขณะก่อน
“เธอเหรอ” จากนั้นน้ำเสียงของเขาก็เย็นชาลงไปมาก “ตัวเธอก็ไม่มีอะไรมากครับ คนที่หนุนหลังก็มีตระกูลจงกับตระกูลฟู่”
ตระกูลจง คุณนายมู่รู้ว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร อิ๋งจื่อจินเป็นลูกเลี้ยงของตระกูลอิ๋ง แต่ผู้เฒ่าจงกลับดีต่อเธอมาก เรื่องของตระกูลอื่น แต่ไหนแต่ไรเธอไม่มีเวลาจะไปสนใจ
แต่ตระกูลฟู่เหรอ คุณนายมู่นึกถึงสมัยที่มู่เฮ่อชิงหนุ่มๆ เคยอยู่ที่ฮู่เฉิงระยะหนึ่ง ค่อนข้างผูกพันกับตระกูลฟู่
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นมู่เฉินโจวก็พูดต่อ “ตระกูลฟู่มีคุณชายหลายคน หนึ่งในนั้นคุณชายลำดับที่เจ็ดเป็นคนเสเพล แต่เป็นคนโปรดของผู้เฒ่าฟู่มากที่สุดก็เลยทำตัวค่อนข้างอวดดีครับ”
เรื่องที่เขาจากตี้ตูมาฮู่เฉิงไม่ใช่ความลับอะไร ลือกันไปทั่วแวดวงไฮโซของฮู่เฉิงนานแล้ว
มู่เฉินโจวไม่ชอบเข้าสังคม แต่เขาก็ไม่ได้ต่อต้าน จึงรู้จักพวกคุณหนูคุณชายอยู่ไม่น้อย และก็ย่อมได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในห้างเซ็นจูรี่ตอนนั้น กล้าออกคำสั่งแม้กระทั่งกับพี่ชายพี่สะใภ้ใหญ่ของตัวเอง แบบนี้คือถูกผู้เฒ่าฟู่ตามใจจนเสียคนแล้ว
เขาไม่สนใจอยากรู้จักคนแบบนี้
ส่วนอิ๋งจื่อจิน มู่เฉินโจวก็รู้สึกแบบนั้น
เพียงแต่เขารู้สึกผิดหวังมากกว่า
“อิ๋งจื่อจินอยู่กับเขา แต่ผลการเรียนของเธอในโรงเรียนค่อนข้างดี เป็นที่ชื่นชอบพอสมควรครับ”
ฟังถึงตรงนี้คุณนายมู่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก พอจะเข้าใจสถานการณ์แล้ว ตัวเองไม่ได้มีความสามารถอะไร อาศัยพึ่งพาคนอื่น สุดท้ายก็อวดดีอยู่ได้ไม่นานหรอก คนแบบนี้จะคู่ควรเกี่ยวข้องกับตระกูลมู่ได้อย่างไร
…
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ ค่อยๆ โน้มลงสู่ทะเล
คนที่มายังเกาะนี้ก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะโซนล่ารางวัล คนที่เข้าๆ ออกๆ มีเยอะมาก
อิ๋งจื่อจินมองไปรอบๆ ไม่เจอสมุนไพรที่เธอต้องการจึงไม่ได้อยู่ที่นี่นานนัก
หลังจากที่แยกกับอวิ๋นซานเธอก็ถอดหน้ากากที่ฟู่อวิ๋นเซินให้มาออก จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นอีกโฉมหน้า ถึงแม้การแปลงโฉมของเธอจะเป็นเพียงการแต่งหน้า แต่กลับสามารถปิดบังเครื่องตรวจสอบได้
ตอนไปมหาวิทยาลัยนอร์ตันเธอก็จงใจทำบัตรประจำตัวขึ้นมาหลายใบเป็นการเฉพาะ ทำให้ผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
ทว่าผ่านไปสองชั่วโมงแล้วสองพี่น้องตี้อู่เย่ว์กับตี้อู่เฟิงก็ยังคงเดินตามหลังเธอไม่ไปไหน
แต่เธอก็ไม่ได้ไล่พวกเขา
“จริงสิพี่สาว พี่ชื่ออะไรเหรอ” ในที่สุดตี้อู่เย่ว์ก็นึกเรื่องที่สำคัญขึ้นมาได้ “ฉันไม่เคยเห็นพี่สาวที่เกาะนี้เลย เพิ่งมาใหม่เหรอคะ”
อิ๋งจื่อจินไม่ตอบ แต่เงยหน้าขึ้น “พวกเธออยู่ที่นี่มานานเท่าไรแล้ว”
บนเกาะมีคนที่อาศัยอยู่ประจำ แถมยังมีจำนวนไม่น้อยอีกด้วย
แต่ถ้าต้องการบัตรอนุญาตอาศัยอยู่บนเกาะก็ต้องมีแต้มสะสมการใช้งานในเว็บบอร์ดเอ็นโอเคเกินหนึ่งแสนขึ้นไป
แต้มสะสมการใช้งานเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย สะสมได้ช้ามาก แต่ใช้ทีกลับหมดไปอย่างรวดเร็ว
“ไม่นานๆ แค่สองเดือนเอง” ตี้อู่เย่ว์ส่ายมือแล้วถอนหายใจอย่างเศร้าๆ “แต่นานขนาดนี้แล้วฉันยังเก็บเงินค่าเดินทางกลับบ้านไม่พอเลย”
เธอพูดเสียงเศร้า “พี่ คนที่นี่หลอกยากจริงๆ ไม่เหมือนตอนพวกเราอยู่ตี้ตู คนโง่พวกนั้นหลอกแปบๆ ก็ได้แล้ว เงินแสนเข้ากระเป๋าสบายๆ”
ตี้อู่เฟิงปัดเสื้อผ้าของตัวเองที่ไม่ต่างอะไรกับขอทาน ท่าทางสุขุมยากจะคาดเดา ไม่พูดอะไร
“พี่สาว อย่าถือสาเลยนะคะ” ตี้อู่เย่ว์กุมขมับ “พี่ชายฉันสมองไม่ปกติ รู้สึกตัวช้าน่ะค่ะ”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “เธอยังมีพี่น้องอีกสองคนเหรอ”
ถึงแม้ตี้อู่เย่ว์จะมีนิสัยเปิดเผย แต่ก็ไม่ใช่คนโง่จริงๆ
ไม่อย่างนั้นเธอไม่มีทางเก็บแผงทำนายดวงอย่างรวดเร็วแบบนี้
“มีค่ะ” ตี้อู่เย่ว์ชูนิ้วทำท่านับ “ฉันยังมีพี่ชายอีกคนชื่อตี้อู่ฮวากับน้องสาวชื่อตี้อู่เสวี่ย”
อิ๋งจื่อจินมองเธอ
วิธีการตั้งชื่อแบบนี้มันไร้หลักการอย่างไม่ต้องสงสัย
“ฉันกับพี่ชายถูกปู่เอามาทิ้งไว้ที่นี่” ตี้อู่เย่ว์ไม่ได้ปิดบัง “ปู่อยากให้พวกเรามาฝึกฝนที่นี่ พี่สาว ถ้าไม่ใช่เพราะพี่สาวใจกว้างโอนมาให้พวกเราห้าร้อย วันนี้ฉันกับพี่ชายคงได้อดตายแน่นอน”
อิ๋งจื่อจินเงียบไปชั่วครู่
เธอนึกถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้ว
ครั้งล่าสุดที่เธออยู่บนโลกมนุษย์ อยู่ที่ประเทศจีนไม่ถึงสามปี ก่อนจากไปยังได้เดินเล่นอยู่บ้าง ตอนนั้นเป็นสมัยที่ยังมีฮ่องเต้ แต่ก็ใกล้ถึงช่วงหมดยุคของจักรพรรดิแล้ว เธอรับลูกศิษย์ไว้หลายคน ถ่ายทอดความสามารถบางอย่างของตัวเองให้ไป
หนึ่งในนั้นก็คือตี้อู่เซ่าเสียน
ศาสตร์ทำนายดวงชะตาไม่ใช่แค่เรียน อ่านตำราโจวอี้หรือตำราเหมยฮวาอี้ซู่ก็จะสามารถเข้าใจได้ ไม่ต่างจากวิทยายุทธ์หรือแพทย์แผนโบราณที่ต้องใช้พรสวรรค์ด้วย
ตี้อู่เซ่าเสียนมีพรสวรรค์สูงมากในด้านการทำนายดวงชะตา ถึงขั้นที่ว่าสามารถทำนายเรื่องใหญ่ของบ้านเมืองได้
แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเพราะล่วงรู้อนาคตหรือแก้ไขเวรกรรม ทำให้อายุขัยของผู้ทำนายสั้นลงไปมาก ตอนที่เธอเจอตี้อู่เซ่าเสียนครั้งแรกก็เห็นอายุขัยของเขาสามสิบหกปี
อายุขัยเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ยากมาก โดยเฉพาะกับคนที่ทำนายดวงชะตา
ถ้าผู้ทำนายต้องการแก้อายุขัยของตัวเอง แบบนั้นอายุขัยของคนใกล้ชิดก็จะลดลง ทั้งยังจะประสบเคราะห์กรรม
ด้วยเหตุนี้โดยทั่วไปผู้ทำนายจะไม่มีทางทำแบบนั้น
แต่ตอนที่เธอไปจากโลกนี้ตี้อู่เซ่าเสียนยังมีอายุแค่ยี่สิบต้นๆ เรื่องหลังจากนั้นเธอก็ไม่รู้แล้ว และตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถทำนายเรื่องที่เกิดขึ้นมานานขนาดนั้นได้
อิ๋งจื่อจินหันหน้าไป “เคยได้ยินชื่อตี้อู่เซ่าเสียนไหม”
“ตี้อู่เซ่าเสียนเหรอ คุ้นๆ แฮะ” ตี้อู่เย่ว์เกาหัว สะกิดแขนของตี้อู่เฟิง “พี่ ใครอะ พอจะนึกออกไหม”
ผ่านไปสามสิบวินาทีเต็มๆ ตี้อู่เฟิงถึงมีท่าทางตอบสนอง
เขาพูดช้าจนตี้อู่เย่ว์อยากอัดเขา “บรรพบุรุษ”
“อ๋อใช่ๆ บรรพบุรุษ!” พอได้ยินแบบนี้ตี้อู่เย่ว์ก็นึกออกแล้ว “เขาเป็นปู่ทวดของปู่ทวดของฉัน ฉันก็ไม่รู้ว่าปู่ทวดรุ่นไหน แต่ตายตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ เฮ้อ ช่างเถอะ ยังไงซะครอบครัวเราก็ไม่เคยอายุยืนยาว ปู่ฉันก็ลงจากเตียงไม่ไหวแล้ว”
เธอกะพริบตา “พี่สาว ทำไมพี่สาวรู้จักชื่อบรรพบุรุษของบ้านเราล่ะ”
ถึงแม้ในตี้ตูตระกูลตี้อู่จะมีชื่อเสียงพอๆ กับตระกูลเนี่ยและตระกูลมู่
แต่ในความเป็นจริงช่วงสิบกว่าปีมานี้คนที่รู้จักตระกูลตี้อู่มีน้อยลงเรื่อยๆ ทั้งยังมีคนจำนวนมากคิดว่าพวกเขาเป็นพวกหลอกลวง
เธอกับตี้อู่เฟิงเป็นลูกหลานสายตรงของตระกูลตี้อู่ ซึ่งก็คือผู้สืบทอดจากสายของตี้อู่เซ่าเสียน
“ทำนายออกมาได้”
“…”
ตี้อู่เย่ว์มุมปากกระตุก “พี่สาวชักเหมือนหมอดูเข้าไปทุกทีแล้วนะ”
“พอไหว” หลังจากแน่ใจแล้ว สีหน้าของอิ๋งจื่อจินก็ผ่อนคลายลงไปมาก เธอยังพูดอย่างใจกว้าง
“ถ้าพวกเธออยากกลับประเทศจีน ฉันช่วยพาไปส่งให้ฟรีๆ ได้”
…
เมืองฮู่เฉิง ประเทศจีน
หลังจากครั้งก่อนที่ถูกขังอยู่สิบห้าวันเต็มๆ อีกทั้งยังถูกอิ๋งเทียนลี่ว์พูดเตือน จงมั่นหวาจึงสงบเสงี่ยมไประยะหนึ่ง
แต่ต่อให้จงมั่นหวาจงใจปกปิดเรื่องนี้ เรื่องที่เธอถูกขังคุกก็ลือไปจนหลายคนรู้ ทำให้ช่วงหลายวันมานี้พวกสตรีไฮโซที่เมื่อก่อนเคยประจบเธอพากันเดินหนีเมื่อเห็นเธอ
จงมั่นหวาไม่เคยโดนดูถูกขนาดนี้มาก่อน
แต่อิ๋งเทียนลี่ว์ก็ไม่สนใจเธอ
ช่วงสองสามวันนี้เธอจึงระบายความทุกข์กับอิ๋งเย่ว์เซวียน
ต่อให้เป็นอิ๋งเย่ว์เซวียนได้ฟังคำพูดของจงมั่นหวาก็รำคาญเหมือนกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้
“แม่คะ น้องไม่มาโรงเรียน หนูเคยไปหาแล้ว แม่ทำไว้ขนาดนั้นแล้วอย่าไปกวนน้องเลยค่ะ” อิ๋งเย่ว์เซวียนพยายามอดทน ยังคงพูดด้วยท่าทีเคารพ “แม่เลิกอคติขนาดนั้นสักทีได้ไหมคะ หลายเรื่องที่แม่รู้มาก็น่าจะฟังคนอื่นเขาพูดมาอีกที”
“ใช่ แม่รู้ แม่ผิดเองที่มีอคติ แต่โทษแม่ได้เหรอ” พอพูดถึงเรื่องนี้จงมั่นหวาก็เสียใจ “นั่นลูกแท้ๆ ของแม่ แต่กลับสู้ลูกไม่ได้สักอย่าง แม่สอนอะไรก็ทำไม่ได้ แม่อยากให้ลูกสาวได้ดีมันผิดเหรอ”
มือของอิ๋งเทียนลี่ว์ที่จับประตูอยู่ข้างนอกหยุดชะงัก