เป็นผลตรวจจากศูนย์ตรวจดีเอ็นเอโรงพยาบาลอันดับหนึ่งในฮู่เฉิง ความน่าเชื่อถือสูงมาก
อิ๋งเทียนลี่ว์โล่งอก
โชคดีที่เอกสารตรวจดีเอ็นเอยังอยู่ เขาไม่ต้องไปทำใหม่อีกรอบ
เขาเปิดเอกสารฉบับนี้ สีหน้าตะลึง รู้สึกเหลือเชื่อ
ไม่เหมือนกับที่เขาคิด เอกสารผลดีเอ็นเอฉบับนี้ไม่ใช่ผลตรวจระหว่างอิ๋งจื่อจินกับจงมั่นหวาและอิ๋งเจิ้นถิง แต่เป็นของอิ๋งเย่ว์เซวียน
อักษรสีดำบนกระดาษขาวชัดเจน
[ข้อสี่ วิเคราะห์ผลตรวจ]
ดำเนินการพิสูจน์ดีเอ็นเอตามกฎของเมนเดลและการประยุกต์ใช้ต่างๆ จาก STR เก้าตำแหน่ง เช่น DBS1179 ซึ่งเป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่สืบทอดกันมาของมนุษย์ อัตราความเป็นไปได้ที่ไม่ใช่มารดาคือ 0.99999999989
จากผลลัพธ์ที่กล่าวมา ตำแหน่งยีนของเด็กที่ถูกตรวจสามารถพบได้จากยีนของมารดาที่ถูกตรวจ
จากการคำนวณ ดัชนีความเป็นแม่ลูกเท่ากับ 1.2876×109
[ข้อห้า สรุปผล]
จากการพิสูจน์ดีเอ็นเอของศูนย์ตรวจดีเอ็นเอพบว่า อิ๋งเย่ว์เซวียนเป็นบุตรสาวของจิ่งหงเจิน
ด้านล่างเป็นตราประทับสีแดง
‘ยืนยันความถูกต้อง’ ทำให้ดวงตาของอิ๋งเทียนลี่ว์เบิกโพลง
เขาไม่ได้เรียนด้านชีววิทยา เขาไม่เข้าใจการวิเคราะห์ในข้อสี่
แต่เขาไม่มีทางไม่เข้าใจการสรุปผลตรวจดีเอ็นเอ
อิ๋งเทียนลี่ว์เม้มริมฝีปาก สายตาเลื่อนลงด้านล่าง เห็นลายเซ็นที่อยู่ตรงมุมขวาล่าง
ผู้ตรวจ : ลู่หลิง
อิ๋งเทียนลี่ว์รู้จักคนที่ชื่อลู่หลิงคนนี้ เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาลอันดับหนึ่ง
ย้ายมาจากตี้ตู ฝีมือทางการแพทย์ล้ำเลิศมาก มีชื่อเสียงโด่งดังในวงการแพทย์ระดับนานาชาติ
แต่เมื่อสามปีก่อนลู่หลิงเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิต
ตอนนั้นเมืองฮู่เฉิงยังได้จัดงานไว้อาลัยให้เขาโดยเฉพาะ ทางตี้ตูก็มีคนของตระกูลใหญ่มาร่วมไว้อาลัย
ส่วนเอกสารผลตรวจดีเอ็นเอฉบับนี้ในเมื่อออกมาจากมือของลู่หลิง ถ้าอย่างนั้นช่วงเวลาที่ตรวจก็ต้องเป็นเมื่อสามปีก่อน
พอนึกถึงตรงนี้อิ๋งเทียนลี่ว์ก็เปิดหน้าถัดไป เขาเห็นวันที่
วันที่ตรวจ : 24/10/2016
อิ๋งเทียนลี่ว์นวดขมับ ไม่ว่าอย่างไรก็ทำใจให้สงบไม่ได้
นี่ก็หมายความว่าอิ๋งเจิ้นถิงกับจงมั่นหวาเจอตัวแม่แท้ๆ ของอิ๋งเย่ว์เซวียนตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อนแล้ว ทั้งยังได้ทำการตรวจดีเอ็นเอ แต่ก็ยังคงเลี้ยงดูอิ๋งเย่ว์เซวียนไว้ในตระกูลอิ๋ง
เดิมทีเขาคิดว่าพ่อแม่ของอิ๋งเย่ว์เซวียนตายไปแล้วด้วยซ้ำ
ดูจากตอนนี้แม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่
อิ๋งเทียนลี่ว์พลิกดูต่อ แต่กลับไม่เจอเอกสารตรวจดีเอ็นเอของอิ๋งจื่อจิน
เขาค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก เอาผลตรวจดีเอ็นเอของอิ๋งเย่ว์เซวียนวางกลับที่เดิม
เขายืนขึ้น พิงกำแพง มองเพดานเงียบๆ
สิบกว่านาทีต่อมาถึงลงไปชั้นล่าง ไปที่ห้องนอนของจงมั่นหวา
อิ๋งเทียนลี่ว์หลุบตาลง เคาะประตู “แม่ครับ”
ภายในห้องนอน
พอจงมั่นหวาได้ยินเสียงอิ๋งเทียนลี่ว์ที่ยอมสนใจเธอแล้วก็ลุกขึ้นทันที เปิดประตูแล้วยิ้มให้ “เทียนลี่ว์ มีเรื่องอะไรให้แม่ช่วยเหรอ”
“ผมพูดไม่กี่ประโยคก็ไปแล้วครับ” สีหน้าของอิ๋งเทียนลี่ว์เย็นชา “แม่ครับ ตอนนั้นที่พวกแม่รับเสี่ยวเซวียนกลับมา ไม่ได้ตรวจดีเอ็นเอตั้งแต่แรกเหรอครับ”
พอได้ยินคำพูดนี้สมองของจงมั่นหวาก็ตื้อไปชั่วขณะ “เทียนลี่ว์ ลูกพูดอะไรกัน ทำไมต้องตรวจดีเอ็นเอด้วย”
“ผมรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว” อิ๋งเทียนลี่ว์เห็นเธอมีสีหน้าแบบนี้ก็โมโหจนแสยะยิ้ม “แม่ครับ มาถึงขนาดนี้แล้วแม่ยังคิดจะปิดบังผมอีกเหรอ หืม?”
จงมั่นหวานึกไม่ถึงว่าอิ๋งเทียนลี่ว์จะรู้เรื่องแล้ว เธอเม้มริมฝีปาก พยายามฝืนยิ้ม “แม่ไม่ได้ตั้งใจปิดบังลูก ก็แค่ไม่รู้จะพูดยังไง”
“งั้นตอนนี้พูดมาได้แล้วครับ” สายตาของอิ๋งเทียนลี่ว์ดุดัน “ตอนที่คุณแม่ได้ตัวเด็กมาไม่ตรวจดีเอ็นเอเลยเหรอครับ”
“เสี่ยวเซวียนไม่ใช่เด็กที่ถูกตามหาจนเจอ” พอถูกบีบคั้นมากขึ้นเรื่อยๆ จงมั่นหวาก็ทำได้เพียงเล่าเรื่องเมื่อก่อน “เสี่ยวเซวียนเป็นเด็กที่พ่อกับแม่รับเลี้ยง”
“เป็นเด็กที่ถูกรับมาเลี้ยงเหรอครับ” อิ๋งเทียนลี่ว์ตะลึงเล็กน้อย “สรุปว่าไม่เพียงแต่แม่จะตามหาจื่อจินกลับมาไม่ได้ ยังตั้งใจรับเลี้ยงเด็กอีกคนเพื่อแทนที่เธอเหรอครับ”
เดิมทีเขาคิดว่าตอนแรกสุดเจอเด็กทารกผิดตัว
“แทนที่อะไรกัน” จงมั่นหวาทนฟังคำพูดนี้ไม่ได้ สีหน้าเย็นชาลง “เสี่ยวเซวียนก็คือเสี่ยวเซวียน ไม่มีใครมาแทนใครได้”
พอเห็นสีหน้าของอิ๋งเทียนลี่ว์แย่ลงเรื่อยๆ น้ำเสียงของเธอก็อ่อนลง “เหตุการณ์ในตอนนั้น หายังไงก็หาไม่เจอ ลูกยังเด็ก ไม่รู้ว่าข้างนอกมีคนจับตาดูตระกูลอิ๋งตั้งเท่าไร ถ้าข่าวฉาวนี้แพร่ออกไป ตระกูลอิ๋งยังจะมีทุกวันนี้ได้เหรอ”
“แม่กับพ่อคำนึงถึงครอบครัว ทำไมลูกถึงไม่เข้าใจแม่บ้าง”
“ชื่อกับวันเกิดถูกเอาไปหมด นี่ยังไม่เรียกว่าแทนที่อีกเหรอครับ” อิ๋งเทียนลี่ว์สูดลมหายใจเข้าลึก “แม่ยังปิดบังผม ถึงขั้นให้เธอเป็นคลังเลือด แม่ยังใช่แม่ของเธออยู่หรือเปล่า ทำออกมาได้ยังไง”
เขาหยุดเล็กน้อย ยิ้มประชด “ผมลืมไป เมื่อวันก่อนผมอ่านข่าวมีแม่คนหนึ่งซ้อมลูกสาวตัวเองจนเข้าห้องไอซียู เกือบช่วยชีวิตไว้ไม่ได้ พอเทียบกัน แม่ก็ไม่ต่าง”
ถูกลูกชายแท้ๆ พูดแบบนี้ใส่ จงมั่นหวาก็โกรธหน้าดำหน้าแดง
เธอตบโต๊ะ โมโหจนตัวสั่น “วันนี้ลูกแค่อยากมาพูดกับแม่แค่นี้เหรอ”
“ไม่พูดแล้วครับ” อิ๋งเทียนลี่ว์คลายเนกไท สีหน้าเย็นชายิ่งกว่าเดิม “แม่เป็นแม่ของผม ต่อให้ผมจะโกรธแม่แค่ไหนก็ไม่มีทางลงมือ”
“แต่มีอยู่นิดหน่อย ผมไม่มีทางประนีประนอมกับแม่ ต้องประกาศสถานะของจื่อจินออกไป”
“ไม่ได้!” พอฟังถึงตรงนี้น้ำเสียงของจงมั่นหวาก็กระแทกกระทั้น “แม่กับพ่อพูดไปแล้วว่ามีแค่เสี่ยวเซวียนที่เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลอิ๋ง เสี่ยวเซวียนก็เป็นน้องสาวของลูกเหมือนกัน ถ้าประกาศออกไป เสี่ยวเซวียนจะทำยังไง จะไม่ถูกหัวเราะเยาะเหรอ”
สีหน้าของอิ๋งเทียนลี่ว์ชะงัก รู้สึกผิดหวังเหลือเกิน “เธอได้รับไปมากพอแล้ว ผมก็ไม่ได้บอกว่าเธอไม่ใช่น้องสาวของผม”
ความผูกพันสิบหกปีไม่ใช่ของปลอม
“ได้ เอาสิ” จงมั่นหวาโมโหจนแสยะยิ้ม “ก็ลองดูว่าถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากแม่กับพ่อ ลูกจะประกาศยังไงได้ ยังจะบอกว่าเสี่ยวเซวียนเป็นน้องสาว ลูกอยากให้เสี่ยวเซวียนโดนขับออกจากแวดวงคุณหนูไฮโซอย่างนั้นเหรอ”
อิ๋งเทียนลี่ว์เลิกโมโหแล้ว เขาพยักหน้าเล็กน้อย “เข้าใจแล้วครับ ตอนนั้นแม่ก็พูดกับคุณตาแบบนี้เหมือนกัน”
เขาไม่ได้มองหน้าของจงมั่นหวาอีกว่ามีสีหน้าแย่ขนาดไหน ปิดประตูทันที
พอออกมาจากบ้านตระกูลอิ๋ง อิ๋งเทียนลี่ว์ก็โทรศัพท์
“รบกวนด้วยครับ ช่วยผมสืบหาคนที” เขาพูด “จิ่งหงเจิน จิ่งตัวที่แปลว่าบ่อน้ำ หงสีแดง เจินจากรัชศกเจินกวน”
ไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไร
อิ๋งเทียนลี่ว์พูดตอบ “ครับ เท่าไรผมก็ยอมจ่าย ช่วยผมตามหาคนคนนี้ให้เร็วที่สุดด้วยครับ”
…
อีกด้านหนึ่งของมหาสมุทร
สนามบิน
ตอนที่ตี้อู่เย่ว์เจออิ๋งจื่อจินอีกครั้ง ขาก็แทบเซ “อื้อหือ! พี่สาว พี่เปลี่ยนโฉมหน้าแล้ว!”
“ก็แค่หน้ากาก” อิ๋งจื่อจินพูด “ถ้าอยากได้ยกให้เธอได้”
“เอาๆๆ” ตี้อู่เย่ว์ดีใจมาก เธอถูมือ “งั้นฉันขอหน้ากากเซี่ยมั่นอวี่ได้ไหม ฉันชอบรูปหน้าของเธอมากเลย”
ตี้อู่เฟิงค่อยๆ หันไปมองน้องสาว “เธอกำลังฝัน”
“พวกเธอขึ้นเครื่องบินก่อน” อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “ฉันกำลังรอคน”
เธอบอกฟู่อวิ๋นเซินแล้ว เขายอมให้พาไปอีกสองคนได้
ตรงนี้ไม่ได้มีเครื่องบินแค่ลำเดียว อวิ๋นซานกับอวิ๋นอู้ขึ้นอีกลำ
อวิ๋นอู้จะไปที่ตี้ตูพอดี จึงถือโอกาสพาตี้อู่เย่ว์กับตี้อู่เฟิงกลับไปด้วย
ตี้อู่เย่ว์ยังอาลัยอาวรณ์ “พี่สาว พวกเราต้องแยกกันแล้ว ขอฉันรู้ชื่อพี่สาวได้หรือเปล่า”
อิ๋งจื่อจินเงียบไปชั่วขณะ “ฉันแซ่อิ๋ง”
“อิ๋งเหรอ” ตี้อู่เย่ว์เกาหัว พูดพึมพำ “เหมือนจะไม่เคยได้ยินว่ามีตระกูลไหนแซ่อิ๋งนะ”
ในสายตาของเธอ อิ๋งจื่อจินเก่งขนาดนี้ แถมยังอายุน้อย จะต้องได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาจากตระกูลใหญ่แน่นอน
ส่วนสี่ตระกูลเศรษฐีแห่งฮู่เฉิง ตี้อู่เย่ว์เคยได้ยินแค่ตระกูล ‘ฟู่’
ตระกูลอิ๋งยังไม่มีคุณสมบัติมากพอได้เข้าหู
“งั้นพี่สาว ฉันจะรอพี่ที่ตี้ตูนะ” ตี้อู่เย่ว์โบกมือ “ยังไงซะพวกเราก็มีวีแชท ติดต่อกันได้ตลอด”
พอฟังถึงตรงนี้อิ๋งจื่อจินก็เลิกคิ้ว “ความสัมพันธ์ที่ใช้เงินเป็นตัวประคับประคองเหรอ”
ช่วงไม่กี่วันมานี้บทสนทนาระหว่างเธอกับตี้อู่เย่ว์มีแค่สองแบบ
โอนเงิน
ได้รับเงินแล้ว
จบ
“ฉันรับรองว่าจะต้องคืนให้แน่” ตี้อู่เย่ว์กระแอมสองที เธอกะพริบตาปริบๆ “พี่สาว ฉันจะดูดวงเรื่องความรักให้นะ จากพื้นดวงบอกว่าระยะนี้พี่ต้องคว้าโอกาสเรื่องความรักเอาไว้ให้ดี”
พูดจบก็เหมือนกลัวถูกตี เธอรีบวิ่งเข้าไปในห้องโดยสาร
ตี้อู่เฟิงเดินตามด้านหลังด้วยความเร็วที่ช้ามาก
อิ๋งจื่อจินกลับไม่ได้สนใจคำพูดของตี้อู่เย่ว์มากนัก
ชะตาของเธอ ถ้าทำนายจริงอาจตายได้
แต่ไหนแต่ไรมาเธอมองไม่เห็นอนาคตของตัวเอง
เว้นเสียแต่คนอื่นทำอะไรที่เกี่ยวพันมาถึงเธอ เธอถึงจะมองเห็น
พยากรณ์ได้ทั้งโลก แต่กลับไม่รวมถึงตัวเอง
อิ๋งจื่อจินหาวออกมา ยืนพิงต้นมะพร้าวรอ
สิบนาทีต่อมาริต้า เบวินก็มาถึง
เธอสวมแว่นกันแดด ยังคงอยู่ในชุดหนังสีดำ ไม่ได้แคร์ว่าแดดจะร้อนขนาดไหน “ตรงเวลาดีนี่”
อิ๋งจื่อจินหันหน้ามา ไม่ได้ทักทาย “ต้องการซื้อดอกหนิงเสินเหรอ”
“ใช่” ริต้าตอบ “ฉันบอกเธอตามตรงเลยนะ พวกเราเจอตัวนักปรุงยาพิษอันดับหนึ่งแล้ว เธอบอกว่าฉันต้องเอาดอกหนิงเสินไปด้วยถึงจะยอมให้พบ”