นี่เป็นครั้งที่สองที่เกิดสัญญาณเตือนภัยแบบนี้นับตั้งแต่ที่ตระกูลฟางสร้างคฤหาสน์นี้ที่แถบชานเมืองของหนิงชวน
ครั้งแรกเป็นตอนที่ตระกูลฟางไปมีเรื่องกับตระกูลหนึ่งของตี้ตู
ตระกูลนั้นแค่ส่งลูกน้องมาไม่กี่คนก็จัดการยามทั้งหมดในคฤหาสน์จนล้มระเนระนาดได้
ถึงแม้สุดท้ายจะเปิดระบบป้องกัน แต่ตระกูลฟางก็ยังคงนองเลือดครั้งใหญ่
ถึงขั้นที่น้องชายของเขายังได้สูญเสียแขนจากเหตุการณ์ครั้งนี้
แต่หลังจากที่เปิดระบบป้องกัน ตระกูลในตี้ตูตระกูลนั้นก็ไม่ได้เสียเปรียบ
ระบบป้องกันนี้ฟางจื้อเฉิงได้จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อจ้างให้บริษัทเทคโนโลยีของเมืองนอกมาติดตั้ง
เนื่องจากสมัยหนุ่มๆ เขามีเรื่องกับคนอื่นไปทั่ว
พอคนคนนี้ถึงวัยกลางคนได้เสวยสุขก็เริ่มมีศัตรูตามมาคิดบัญชี มีระบบป้องกันก็ช่วยให้รับมือง่ายขึ้น
มีตั้งแต่ระดับหนึ่งถึงระดับห้า ระดับห้าต่ำสุด ระดับหนึ่งสูงสุด
เตือนภัยระดับหนึ่งจะมีการใช้อาวุธ
ฟางจื้อเฉิงกดปุ่มนี้ไปเพราะความหวาดกลัวอย่างรุนแรง
หลังกดเสร็จเขาก็นึกเสียใจ
เด็กสาวคนเดียว ต่อให้สู้เก่งแค่ไหน ยังจะควรค่าให้ใช้ระบบป้องกันของคฤหาสน์ด้วยเหรอ
ใช้การเตือนภัยระดับหนึ่งแต่ละครั้งเขาจะต้องเสียหายเกือบล้าน
ฟางจื้อเฉิงกลุ้มใจที่ตัวเองขี้ขลาดเกินไป เมื่อครู่ถึงได้ตกใจมาก
แต่เขากดไปแล้ว ยกเลิกไม่ได้
ความหวาดกลัวภายในใจฟางจื้อเฉิงหายไปหมดอย่างสิ้นเชิง เขามองเด็กสาวด้วยสายตาเย็นชา
แต่พอสังเกตดูดีๆ เขากลับอึ้ง
เด็กสาวอยู่ในชุดลำลองแขนสั้นเรียบง่าย สวมกางเกงขายาวสีดำ ไม่มีสิ่งแต่งแต้มอะไร
ผมยาวของเธอถูกเกล้าสูง เผยให้เห็นลำคอยาวระหง
ผิวพรรณขาวผ่อง ขาวจนเปล่งประกายออร่า
ใบหน้าของเธอยังคงเย็นชา แต่ความเย็นชาแบบนี้กลับไม่อาจข่มความงามที่ชวนหลงใหลแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้สะดุดตาเสียด้วยซ้ำ
ฟางจื้อเฉิงแทบหยุดหายใจ
เขาเคยไปตี้ตูหลายครั้ง เคยเห็นพวกคุณหนูไฮโซของตี้ตูมามากมาย
คุณหนูเหล่านั้นเป็นสตรีไฮโซอย่างแท้จริง ได้รับการอบรมเลี้ยงดูจากตระกูลเก่าแก่ร้อยปี
ไม่เหมือนตระกูลฟางที่มีประวัติแค่ไม่กี่สิบปี เป็นเพียงเศรษฐีหน้าใหม่ในสายตาเหล่าตระกูลมหาเศรษฐีในตี้ตู
บุคลิกของคุณหนูไฮโซในตี้ตูเหล่านั้นใช่ว่าสาวสวยธรรมดาหรือดาราที่สวยสง่าในวงการบันเทิงจะเทียบได้
แน่นอนว่าฟางรั่วถงยิ่งห่างชั้นอีกไกล
แต่ฟางจื้อเฉิงยังไม่เคยเจอคุณหนูของตี้ตูคนไหนที่จะเทียบกับเด็กสาวตรงหน้าคนนี้ได้
เธอแค่ยืนอยู่ตรงนั้น แค่กวาดสายตามองมา
ก็เหมือนมีคมดาบฟาดลงมา
ชวนให้สะพรึงกลัว
คุณหนูไฮโซของตี้ตูล้วนเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ ย่อมไม่มีความโหดเหี้ยมเย็นชาแบบนี้ติดตัว
แต่ฟางจื้อเฉิงกลับเริ่มสนใจ
เขามีคนรู้จักในตลาดมืด ถ้าเขาสามารถเอาเด็กสาวคนนี้ขายให้พวกคนที่สนใจได้ เงินร้อยล้านเข้าบัญชียังจะน้อยไป!
“ฮัลโหล” ฟางจื้อเฉิงกลืนน้ำลาย นิ้วที่สั่นอยู่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดเบอร์ “ผมมีสินค้าชั้นยอด รับรองว่าท่านจะต้องพอใจ!”
“แต่เธอค่อนข้างพยศ เกรงว่าท่านจะต้องลงมือด้วยตัวเองถึงจะกำราบได้”
ฟางจื้อเฉิงเคยทำเรื่องแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว แถมยังสมหวังตลอด
เขาแสยะยิ้ม หลบอยู่ตรงที่ปลอดภัยที่ไม่โดนอาวุธ
จากนั้นเขาก็กดอีกเบอร์หนึ่ง
ครั้งนี้โทรหาคนในห้องรักษา
“เร่งมือหน่อย มีคนมาช่วยไอ้เด็กนั่นแล้ว การผ่าตัดของถงถงห้ามเกิดข้อผิดพลาดเด็ดขาด ไม่ต้องรอแล้ว เริ่มทำตอนนี้เลย”
“ทำเสร็จก็จัดการไอ้เด็กนั่นซะ”
หลังจากที่สั่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ฟางจื้อเฉิงก็ยังคงเต็มไปด้วยความสงสัย
ถึงแม้เขาจะยังไม่รู้ว่าเด็กสาวที่บุกเข้ามาในคฤหาสน์ตระกูลฟางคนนี้เป็นใคร แต่จากข้อมูลที่ปรากฏ เธอน่าจะเป็นพี่สาวของเวินทิงหลาน
หนิงชวนห่างจากฮู่เฉิงหกร้อยกิโลเมตร เธอมาถึงไวขนาดนี้ได้ยังไง
อีกทั้งเธอรู้ได้อย่างไร
แต่นี่มันไม่สำคัญแล้ว
ฟางจื้อเฉิงขี้เกียจคิดเรื่องพวกนี้ เขารออีกเดี๋ยวคนรับซื้อมาก็จะขายอิ๋งจื่อจินได้ในราคาดี
…
อีกด้านหนึ่ง
เจ้าหน้าที่หกคนของหน่วยอีจื้อยังคงขับรถมุ่งหน้ามาที่คฤหาสน์ของตระกูลฟางอยู่
พวกเขาไม่ใช่จอมยุทธ์ แค่หลังจากที่ผ่านการฝึกสภาพร่างกายก็ดีกว่าคนทั่วไป
พอลงจากเฮลิคอปเตอร์ ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้พูดอะไร อิ๋งจื่อจินก็หายตัวไปแล้ว
ถึงแม้สมาชิกของหน่วยอีจื้อจะไม่เคยคลุกคลีกับวงการจอมยุทธ์ แต่อยู่ตี้ตูมานานขนาดนั้นอย่างน้อยก็ต้องเคยได้ยินข่าวลือของพวกจอมยุทธ์อยู่บ้าง
หัวหน้าทีมค่อยๆ สูดลมหายใจเข้า “อีกเดี๋ยวจะต้องจัดการลบภาพกล้องวงจรปิดทั้งหมดบนถนนทุกเส้นทิ้ง เรื่องแบบนี้ห้ามปล่อยให้แพร่ออกไป”
ฮู่เฉิงยังพอว่า อาจไม่มีใครเชื่อ
แต่ถ้าลือไปถึงตี้ตูแบบนั้นก็จะแตกต่างออกไปแล้ว
อาจมีอันตรายถึงชีวิต
“หัวหน้า ไม่ต้องรอให้หัวหน้าบอกหรอกครับ” สมาชิกคนอื่นพยักหน้า “แต่ผมยังอยากรู้ว่าถ้าคุณอิ๋งสู้กับหัวหน้าใหญ่ ใครจะเก่งกว่ากัน”
หัวหน้าทีมครุ่นคิด “มันก็ไม่แน่หรอกนะ หัวหน้าใหญ่เพียบพร้อมไปด้วยความสามารถ ทีมอื่นที่ติดตามเขาก็ยังไม่แน่ใจเลย”
ถึงแม้เนี่ยอี้จะเป็นผู้บัญชาการของหน่วยอีจื้อ แต่ช่วงหลายปีมานี้ก็ไม่ได้อยู่ในประเทศ
“ยังอีกนานแค่ไหน” หัวหน้าทีมดูเวลา พูดเร่ง “เร่งความเร็วหน่อย” หน่วยอีจื้อก็มีแต่คนฝีมือดีเหมือนไอบีไอ ดูแลเมืองใหญ่ระดับนานาชาติอย่างตี้ตูกับฮู่เฉิงต้องใช้กำลังคนที่มีความสามารถ
แต่ถึงแม้พวกเขาจะไม่เคยมาหนิงชวน ก็ไม่ได้หมายความว่าบรรดาตระกูลในหนิงชวนจะไม่ได้อยู่ในการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยอีจื้อ
ไม่ว่าจะมองในแง่ไหน เอาแค่ตระกูลฟางลักพาตัวคนมาโดยพลการก็เท่ากับทำผิดกฎหมายแล้ว
ทำได้อย่างคล่องแคล่วขนาดนี้หากไปสืบดูจะต้องพบความผิดปกติอยู่ไม่น้อยแน่นอน
“เหยียบมิดคันเร่งแล้วครับ อีกสามนาทีถึง” คนที่ขับรถจ้องข้างหน้าเขม็ง “รถเก่าขนาดนี้ ต่อให้คุณอิ๋งเดินปกติก็ยังตามไม่ทันเลยครับ”
สามนาทีต่อมาในที่สุดทั้งหกคนก็มาถึงคฤหาสน์ของตระกูลฟาง
พวกเขาไม่มีเวลาสนใจพวกยามที่นอนโอดโอยอยู่ตรงทางเข้า รีบวิ่งเข้าไปข้างใน
จนกระทั่งมาถึงหน้าตัวบ้าน
พอเห็นสภาพเละเทะตรงหน้า สีหน้าของหัวหน้าก็เปลี่ยน “ตระกูลฟางตัวดี กล้าติดตั้งของพวกนี้เลยเหรอ!”
นี่มันเป็นข้อห้ามขั้นเด็ดขาดเลยนะ!
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบพูดขึ้น “หัวหน้า คุณอิ๋งอยู่นั่น”
คนอื่นๆ ต่างมองไป
เห็นอิ๋งจื่อจินยืนอยู่ใต้ต้นไม้ มือข้างหนึ่งจับฟางจื้อเฉิงดันไว้กับลำต้น
ยกตัวเขาขึ้นมาอย่างง่ายดาย
ส่วนฟางจื้อเฉิงท่าทางหวาดกลัวสุดขีด
เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาใช้การเตือนภัยระดับหนึ่งแล้ว ระบบป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของคฤหาสน์ก็ยังขวางเด็กสาวคนนี้ไม่ได้
อิ๋งจื่อจินไม่มองฟางจื้อเฉิง
เธอได้ยินเสียงวิ่ง พอหันไปก็เห็นสมาชิกทั้งหกคน “มาเร็วดีนี่ ฉันยกที่นี่ให้พวกคุณจัดการ”
“คุณอิ๋งวางใจได้ครับ” หัวหน้าทีมสีหน้าเคร่งเครียด แต่กลับรู้สึกผิดเหลือเกิน
พวกเขามาช้าไปอย่างน้อยก็สิบกว่านาที
พวกเขาเดินเข้าไปหา รับฟางจื้อเฉิงมาจากมือของอิ๋งจื่อจินแล้วเอาเชือกมัดไว้
ฟางจื้อเฉิงถูกถีบขาหนึ่งที “อยู่นิ่งๆ!”
“ไม่ได้นะ!” ฟางจื้อเฉิงกลัวก็ส่วนกลัว “พวกแกห้ามไปรบกวนการผ่าตัดของถงถงนะ!”
อิ๋งจื่อจินค่อยๆ สูดลมหายใจเข้า เดินเข้าไปข้างในต่อ
…
ภายในห้องรักษา
ฟางรั่วถงที่ถูกปลุกรู้สึกหงุดหงิด “ไหนว่าค่อยผ่าตัดพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ”
“เกิดเรื่องนิดหน่อยครับ คุณท่านเลยให้ผมรีบผ่าตัดให้คุณก่อน” หมอส่วนตัวรู้สึกผิด “คุณหนูรออยู่ที่นี่ก่อนนะครับ”
ฟางรั่วถงอดทนไม่อาละวาด เธอเหลือบมองทางเวินทิงหลาน ตรงนั้นมีบอดี้การ์ดสองคน “พวกเขาจะทำอะไร”
“หักขาครับ” หมอส่วนตัวไม่เงยหน้า กำลังมองเครื่องตรวจ “ป้องกันเขาหนี”
“อ่อ” พอฟางรั่วถงได้คำตอบก็ไม่ได้ถามอีก เธอแค่ยิ้ม “งั้นเขาก็หัวรั้นพอตัวนะ ถูกหักขาแล้วยังไม่ร้อง”
เธอเบื่อจนหาวออกมา ง่วง อยากนอน
หมอส่วนตัวเตรียมอุปกรณ์ทั้งหมดเสร็จสรรพก็เตรียมเอาไขกระดูก
แต่ทันใดนั้นเองได้เกิดเสียงดัง ปัง ประตูที่ปิดสนิทถูกถีบออก
บอดี้การ์ดสองคนที่กำลังเตรียมจะหักขาขวาของเวินทิงหลานรีบหันขวับ ตวาดเสียงออกไป “ใครน่ะ!”
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้มองให้ชัดๆ ว่าเป็นใครก็ถูกถีบอัดเข้ากำแพง
แรงที่เท้ามหาศาล ไม่ได้ยั้งแม้แต่น้อย ทั้งสองคนหมดสติไปทันที
สายตาของอิ๋งจื่อจินมองไปที่ขาซ้ายของเวินทิงหลานที่ถูกหักไปแล้ว สายตาเย็นชาสุดขั้ว
เวินทิงหลานอึ้ง เห็นได้ชัดว่านึกไม่ถึงว่าเธอจะมาในเวลานี้
ราวกับเขานึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าเปลี่ยนไปทันที พยายามจะลุกขึ้น “พี่มาได้ยังไง ไปสิ รีบไป!”
ทว่าพอเขาขยับตัวก็รู้สึกเจ็บปวดตรงน่องขาซ้ายเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
อิ๋งจื่อจินพยายามสะกดอารมณ์ เธอจับบ่าของน้องชายเพื่อไม่ให้เขาขยับ “ไม่ต้องกลัว พี่อยู่ตรงนี้”
ร่างกายของเวินทิงหลานแข็งทื่อ ขอบตาเริ่มแดง
ก่อนหน้านี้ถึงแม้จะโดนหักขา เขาก็ไม่รู้สึกอะไร
แต่ไหนแต่ไรมาเขาร้องไห้ไม่เป็น ไม่ใช่เพราะเขาเป็นผู้ชาย แต่เป็นเพราะเขารู้ว่าร้องไห้ไปก็ไม่มีประโยชน์
เวินทิงหลานก้มหน้า พูดเสียงเบา “พี่ ผมไม่ได้กลัว ผมกลัวว่าพี่จะ…”
อิ๋งจื่อจินไม่สนใจหมอส่วนตัวที่กำลังตะลึงอยู่
เธอนั่งลง เอามือจับขาของเขาแล้วกดเล็กน้อย “อาจเจ็บหน่อย อดทนนะ”