หลังจากพูดจบฉือ กูเหยียน ก็ผละออกมาจาก ฟาง เจิ้งจือ
นางกระโจนขึ้นไปบนอากาศพร้อมผิวปากนกตัวสีขาวขนาดใหญ่บินมารับร่างนางทันที
ฉือกูเหยียน กระโดดลงไปบนหลังของมัน ก็จะบินหายไปไกลทันที
ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อมองไปที่จุดเล็กๆบนขอบฟ้าฟาง เจิ้งจือ ยืนนิ่ง
จากนั้นเขาก็เต็มไปด้วยความหงุดหงิด นางพูดอะไรของนาง…?
ฟางเจิ้งจือ อยากให้นางพูดใหม่ แต่นางไม่อยู่แล้ว
เมื่อมองดูรอบๆฟาง เจิ้งจือก็พบว่าใบหน้าของทุกคนก็เต็มไปด้วยความสงสัยเช่นกัน ดูดูอะไรของนางกัน? ข้าเห็นแค่นกโง่ตัวหนึ่งเท่านั้น!
…
สำหรับศิษย์ศาลาหยินหยางฟาง เจิ้งจือ นั้นราวกับเป็นคนที่ตายไปแล้ว
ดังนั้นไม่ว่าฟาง เจิ้งจือ จะพูดอะไรออกมาก็ไม่ได้สำคัญอีก
จับตัวเขา!
โม่ยูออกคำสั่งทันที เหล่าศิษย์ต่างเคลื่อนที่ไปใกล้ ฟาง เจิ้งจือ ด้วยความระมัดระวัง
ข้าหวังว่าเจ้าจะรักษาคำสัญญาไม่อย่างนั้นพวกเจ้าต้องเสียใจแน่นอน! ฟาง เจิ้งจือ มองที่เต๋าซิน ก่อนจะส่งร่างเต๋าฮุนให้เหล่าศิษย์
แม้มันจะเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับแต่เขาได้ตัดสินใจแล้ว เขาไม่มีทางเลือกอื่น
นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือ…
ศาลาหยินหยางไม่คิดจะให้โอกาสเขาในการโจมตี หรือคิดจะปล่อยตัว ฟาง เจิ้งจือ สมกับที่พวกเขาเป็นหนึ่งในห้าสำนักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จริงๆ
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้งอากาศวันนี้ดีจริงๆ ท้องฟ้าไร้เมฆ ดวงอาทิตย์สาดส่อง
อย่างไรก็ตามมันเป้นวันที่ฟาง เจิ้งจือ พบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิต…ความตาย
…
ณปราสาทใจกลางบึงขนาดใหญ่
ภายในห้องโถงมีหญิงสาวนางหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้หยกเงียบๆ
แม้นางจะงดงามแต่นางก็เป็นอสูร!
เจ้าอสูรไป่จือ!
และนอกจากนางมีหญิงสาวอีกคนที่สวมชุดสีขาวยาวผมสีดำเงางามพร้อมกัลใบหน้าที่คล้ายไป่จือเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับไป่จือ นางให้บรรยากาศที่ต่างออกไปเป็นอย่างมาก
นางคือหยุน ชิงวู มีข่าวหนึ่งที่เจ้าน่าจะสนใจมันมาก ในที่สุดไป่จือก็เปิดปาก
ท่านแม่พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่ศาลาหยินหยางใช่หรือไม่? หยุนชิงวู ถามกลับอย่างเงียบสงบ
ดูเหมือนว่าเจ้าจะได้รับข่าวนี้แล้วเช่นกัน ไป่จือถามกลับ
ในเมื่อข้าเลือกที่จะเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แน่นอนว่าข้าต้องเตรียมการอะไรไว้บ้างแล้ว หยุนชิงวู เปิดปากอีกครั้ง
ฮ่าฮ่าแล้วเจ้าคิดยังไงกับสถานการณ์เช่นนี้ล่ะ? ไป่จือหัวเราะออกมาเบาๆ
ฟางเจิ้งจือ แม้เขาจะฉลาดมาก แต่ครั้งนี้เขาแพ้จริงๆ! หยุนชิงวูกล่าวอย่างมั่นใจ
หืมพูดต่อสิ
เพราะแต่เดิมของเขานั้นไร้ผู้สนับสนุนไร้อำนาจหนุนหลัง มันทำให้เส้นทางที่เขาเลือกเดินนั้นเต็มไปด้วยความลำบาก เห็นได้จากการเข้าร่วมการทดสอบแห่งเต๋าในอาณาจักรเซี่ย แม้ว่าเขาจะฉลาดแต่เขาก็ต้องพบกับอุปสรรคมากมายจากทั้งองค์รัชทายาท และราชาต้วน…
พูดต่อไป ไป่จือดูให้ความสนใจมากขึ้น
อย่างไรก็ตามในช่วงเวลานี้ถือว่าเขาแข็งแกร่งมาก! หยุนชิงวู หยุดพูดสักครู่ ราวกับนางกำลังนึกถึงเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้น
ตอนไหนกัน? ไป่จือรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
หลังจากสงครามที่แดนใต้เขาได้รับการสนับสนุนจากนิกายเงา ข้าก็ไม่กล้าแตะต้องเขาเท่าไร เพราะตอนนั้นเขาก้มีสายข่าวเป็นของตัวเอง แม้เขาจะมาลักพาตัวหนึ่งในสิบหัวหน้าดินแดนปีศาจจากเมืองเงาเลือดไป ข้าก็ไม่ได้ในพูดอะไรแม้แต่น้อย หยุนชิงวู พูดอย่างเยือกเย็น
เขาแข็งแกร่งขนาดนั้น? ไป่จือแปลกใจเล็กน้อย
ใช่เขาไม่เพียงแต่ฉลาดแต่เขามักจะทำในสิ่งที่คนคาดไม่ถึงด้วย ด้วยเหตุนี้ข้าต้องวางแผนมากกว่าหนึ่งปีก่อนที่จะเข้าไปที่เมืองหลวงอาณาจักรเซี่ย ไม่เพียงแค่นั้น เขายังกล้าเข้าเมืองหลวงตอนกลางวัน และใช้พลังของเขาจัดการองค์รัชทายาท! หยุนชิงวูตอบ
มากกว่าหนึ่งปีงั้นรึ?น่าสนใจ ในที่สุดไป่จือก็พยักหน้า
สิ่งเดียวที่เขาขาดคือคนที่เป็นหูเป็นตาให้เขาหลังจากเข้ามาในแดนศักดิ์สิทธิ์เขาสูญเสียสายข่าวและข้อมูล ต้องบอกว่าเซียนสวรรค์พักพิงนั้นระวังตัวเกินไป
หึ?ทำไมเจ้าพูดแบบนั้น?
ถ้าข้าเดาไม่ผิดหลังจากฟาง เจิ้งจือ เข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้สั่งให้นิกายเงาให้ข้อมูล ฟาง เจิ้งจือ! หยุนชิงวูตอบ
เจ้าหมายความว่าเซียนสวรรค์พักพิงนั้นสงสัยในขีดจำกัดความสามารถของฟาง เจิ้งจือ?
ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นแต่เพราะ ฟางเจิ้งจือ ไม่ได้ตกลงจะเข้าร่วมนิกายเงา ข่าวและข้อมูลต่างๆเป็นความลับสุดยอดชองนิกายเงา ไม่มีใครให้เขาเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้น ถ้าเขายังไม่ได้เข้าร่วมนิกายเงา.
อืมพูดต่อ
อีกเรื่องคือแดนศักดิ์สิทธิ์มีความซับซ้อน รวมถึงอำนาจของทั้งห้าสำนัก ในเมื่อ ฟาง เจิ้งจือ พึ่งเข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์ เซียนสวรรค์พักพิงคิดว่าเขายังขาดประสบการณ์ เขาจึงไม่กล้าฝากนิกายเงาไว้กับ ฟาง เจิ้งจือ เขาตั้งใจจะให้ ฟาง เจิ้งจือ เจออุปสรรคสักสองถึงสามครั้งก่อนถึงจะสามารถมากฝากฝังนิกายเงาไว้กับ ฟาง เจิ้งจือได้ หยุนชิงวูอธิบาย
มันก็ดูสมเหตุผลสมผลแต่จากที่ข้ารู้ ฟาง เจิ้งจือ ได้ตกลงจะเข้าร่วมกับนิกายเงาหลังจากที่เขาได้ฆ่าเซียนไปห้าคนที่ใต้ศาลาเต๋าสวรรค์ ดังนั้นเซียนสวรรค์พักพิงก็ไม่น่าจะลังเลอีก ไป่จือพูดขึ้นหลังจากเงียบไปสักพัก
นี่ถือว่าเป็นความผิดอันร้ายแรงของเซียนสวรรค์พักพิงเขาลังเลที่จะให้ ฟางเจิ้งจือ ไปที่ศาลาหยินหยาง เพื่อป้องกันเรื่องนั้นเขาจึงไม่ให้ ฟาง เจิ้งจือ เข้าถึงข้อมูลสำคัญ เขารอ รอให้ เหยียน ซิว ตาย และรอให้ ฟาง เจิ้งจือ เข้าสู่ระดับเซียน แต่เขาดันลืมเรื่องมิตรภาพระหว่าง ฟาง เจิ้งจือ และ เหยียน ซิว
เจ้ากำลังจะบอกว่าความพ่ายแพ้ของฟาง เจิ้งจือ เป็นเพราะเซียนสวรรค์พักพิง?
ก็ไม่ใช่ทั้งหมดแต่ถ้าเซียนสวรรค์พักพิงให้ข้อมูลสำคัญว่าในศาลาหยินหยาง ผู้ที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่เต๋าฮุน แต่เป็นเต๋าซิน เขาคงไม่ทำเรื่องผิดพลาดรุนแรงเช่นนี้ เขาน่าจะมีโอกาสทำสำเร็จอย่างน้อย30% อย่างไรก็ตามไม่สามารถว่าเซียนสวรรค์พักพิงทั้งหมดได้ เพราะต่อให้เป็นคนอื่นก็ไม่มีใครกล้าฝากนิกายเงาไว้ในมือของ ฟาง เจิ้งจือ เขาไม่อยากเสี่ยงมอบนิกายเงาให้ ฟาง เจิ้งจือ ดูแล เพราะเขารู้ว่า ฟาง เจิ้งจือ ต้องการเพียงสิ่งเดียวคือช่วย เหยียน ซิว! หยุน ชิงวู ส่ายหัว
แล้วถ้าเป็นเจ้าจะทำยังไง? ไป่จือถามขึ้นมาด้วยความสนใจ
ข้าคงเชื่อในตัวเขา หยุนชิงวุวตอบโดยไม่ลังเล
หึ?ทำไม?
ทุกอย่างมีความเสี่ยงอยู่เสมอยิ่งมากผลลัพธ์ก็ยิ่งคุ้มค่า ตัวข้านั้นสนแค่ว่าผลที่ได้จะคุ้มหรือไม่
ฮ่าฮ่า…งั้นที่เจ้ามอบศิลาเซียนทั้งสิบสามชิ้นให้ฟาง เจิ้งจือ ล่ะ? ไป่จือ หัวเราะเมื่อได้ยินสิ่งนี้
ใช่ หยุนชิงวูไม่ปฏิเสธ
การที่เจ้ากล้าเสี่ยงกับเขาขนาดนี้แสดงว่าเจ้าคงคิดว่าเขาจะไม่ตายแบบนี้ใช่ไหม? ไป่จือหัวเราะออกมาเสียงดังอีกครั้ง
ท่านแม่ตั้งใจเรียกหาข้อเพราะจะถามเรื่องนี้งั้นหรือ?
แล้วคำตอบของเจ้าคืออะไรล่ะ?
ท่านแม่ไม่ต้องกังวลข้าจะไม่ไปที่เก้าขุนเขาหรอก เหตุผลล่ะ?
มันยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม
เจ้ากำลังจะบอกว่าเจ้าจะดูฟาง เจิ้งจือ ตายไปเฉยๆใช่ไหม? ดวงตาของไป่จือกลายเป็นแหลมคมทันที นางราวกับสามารถมองทะลุหัวใจของคนได้
หยุนชิงวูไม่ตอบนางเพียงนั่งอยู่ที่เดิมเงียบๆ
ราวกับว่านางกำลังคิดและรอยู่
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากครู่หนึ่งไป่จือก็ถอยสายตาของนาง จากนั้นางก็ส่ายหัวและมองไปที่หยุนชิงวู อืม เจ้าไปได้แล้ว
งั้นข้าขอตัวก่อน หยุนชิงวูพยักหน้าและจากไปทันที
…
ณหอคอยหลิงหยุน
ที่นี่ราวกับเป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ดอกไม้ใบหญ้าเบิกบานตลอดเวลาราวกับเป็นฤดูใบไม้ผลิ น้ำใสสะอาดไหลลงมาจากภูเขา
ข้างใต้น้ำตกเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่
มีหญิงสาวนางหนึ่งยืนเท้าเปล่าอยู่ริมทะเลสาบชุดของนางเป็นสีแดงดั่งเพลิง แต่มันกลับขาดรุ่งริ่งราวกับใส่มานานแล้ว
ทันใดนั้นเอง…
ร่างสีม่วงได้ร่อนลงมาจากขอบฟ้าหยุดยืนที่ข้างทะเลสาบ
ท่านหญิงคังเยว่! ผู้คนรอบๆที่เห็นต่างทำความเคารพนางทันที
พวกเจ้าไม่ต้องมากพิธี คังเยว่โบกมือพร้อมกับหันไปมองหญิงสาวในชุดสีแดง ชุดของเจ้าขาดแล้ว เดี๋ยวข้าจะหาชุดใหม่มาให้เปลี่ยน
ไม่จำเป็นถ้าข้าเปลี่ยนชุดใหม่เดี๋ยวเขาจะจำข้าไม่ได้ นางหันไปมองคังเยว่พร้อมกับส่ายหน้า
ที่จริงวันนี้ข้าจะมาบอกเจ้าว่าเขาตายแล้ว คังเยว่ดูเหมือนจะไม่สนใจความคิดของหญิงสาวในชุดสีแดงเท่าไรนัก
หญิงสาวในชุดแดงไม่ได้พูดอะไรนางแค่เงยหน้ามองท้องฟ้า จ้องมองไปยังก้อนเมฆที่ล่องลอยอยู่
ดูเหมือนเจ้าจะไม่เชื่อข้า คังเยว่เปิดปากอีกครั้งจากนั้นก็นั่งลงบนก้อนหิน แต่มันเป็นเรื่องจริง ฟาง เจิ้งจือ ได้เดินทางไปที่ศาลาหยินหยางเพื่อช่วยเหยียน ซิว ข้าได้ยินว่าเขาเกือบทำสำเร็จแล้ว
ริมฝีปากของหญิงสาวในชุดสีแดงสั่นเล็กน้อยราวกับต้องการจะพูดบางอย่าง อย่างไรก็ตามนางไม่ได้พูดอะไรขณะหันไปมองคังเยว่
แต่น่าเสียดายที่เขาทำไม่สำเร็จแม้นิกายเงาจะช่วยเขาในการต่อสู้ แต่โชคชะตาได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ข้าคิดไม่ถึงว่าคนไร้ยางอายแบบเขาจะเลือกใช้ชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเหยียน ซิว เจ้าไม่คิดว่าเขาโง่งั้นหรือ? คังเยว่ พึมพัมราวกับกำลังพูดกับตัวเองอยู่
……………………………………..