พวกเขานั้นมาจากสำนักนิกายระดับหนึ่งอย่างสำนักอวิ๋นเยียน ยากันพิษที่ติดตัวมานั้น แท้จริงแล้วมีอยู่ไม่น้อย แต่ทว่าเมื่อเผชิญกับพิษที่แปลกประหลาดของมู่เฉียนซี ผลของยานั้นก็แย่ลงอย่างเห็นได้ชัด จึงทำให้พวกเขาทรมานอย่างมิอาจกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้
อวิ๋นฮวากล่าวขึ้น “สาวน้อยที่โหดเหี้ยม ข้ามองคนผิดไปจริง ๆ”
มู่เฉียนซียิ้มเย้ยหยัน “เจ้าสวะอันดับหนึ่งแห่งทวีปเซี่ยโจว เจ้าตาบอดเองแล้วมาโทษข้าได้อย่างไรกัน ?!”
ผู้นำตระกูลมู่ไม่เคยเป็นกระต่ายน้อยสีขาวที่ไร้พิษภัยมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ทั้งหมดที่เขาเห็นเป็นดีเช่นนั้นก็เป็นความปรารถนาของอวิ๋นฮวาเอง
— ตูม! ตูม! ตูม! —
พวกเขานั้นโดนพิษ และพลังวิญญาณบางส่วนยังคงถูกเรียกถูกดึงออกมาไม่หยุด สัตว์ศักดิ์สิทธิ์สองตัวได้ปล่อยพลัง ทำให้พวกเขานั้นยากที่จะรับมือ
“ท่านใต้เท้าอวิ๋นต้องหาวิธีขอรับ มิเช่นนั้นพวกเราคงทนไม่ไหวแล้ว”
“ท่านหลานของใต้เท้าอวิ๋น พวกเราต้องหาทางแก้พิษนะขอรับ”
ในตอนนี้ก็เป็นเวลาที่ไฟลนคิ้วเข้าเสียแล้ว พวกเขาเองก็รีบร้อนใจเสียจนแทบไม่ไหว
พิษกำลังส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งของพวกเขา สุดท้ายแล้วทำให้พวกเขาไม่สามารถจัดการได้แม้แต่สาวน้อยที่ระดับเพียงราชาแห่งภูตผู้หนึ่ง
— ฟึ่บ! —
เข็มยาเข็มหนึ่งบินเฉียดหูของเขาไป อีกนิดเดียวก็เกือบที่จะขูดผิวหนังเขาเป็นแผลอยู่แล้ว
อวิ๋นฮวากล่าว “แม่สาวน้อย ตลอดทางมานี้ข้าดูแลเจ้าดีเช่นนั้น เจ้ายังจะเลือกล้างแค้นทดแทนคุณอีกหรือ ?”
มู่เฉียนซีพยักหน้าไปตามนั้น “ใช่! ตลอดเส้นทางนี้เจ้าดูแลข้าเป็นอย่างดี ทว่าตอนนี้ข้าก็กำลังตอบแทนเจ้าอย่างดีอยู่ไม่ใช่หรืออย่างไร ?”
“ตอบแทน… สิ่งนี้เจ้าก็ยังสามารถเรียกว่าตอบแทนได้” สีหน้าแววตาของอวิ๋นฮวาแข็งกร้าวราวกับเหล็กกล้า
“เจ้าไม่คิดเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ข้าคิดว่าใช่ก็พอแล้ว” มุมปากของมู่เฉียนซีค่อย ๆ เผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา กระบี่มังกรเพลิงร้องคำรามอีกครั้งและออกจากฝักแล้วในเวลานี้
“มังกรเพลิงสังหาร!”
— ครืนนนนน! —
เป็นเพราะโดนพิษจึงสูญเสียการควบคุมพลังวิญญาณ อวิ๋นฮวาหลบไม่พ้นการโจมตีในครั้งนี้ของมู่เฉียนซี
ในตอนนี้เอง ผ้าคลุมยาวที่ขาวสะอาดหมดจดของเขาถูกมังกรเพลิงเผาเสียจนเป็นรูอยู่หลายแห่ง แม้แต่เส้นใยสีเขียวนั้นก็ถูกเผาไปไม่น้อย
“เจ้า…” อวิ๋นฮวาจ้องมองมู่เฉียนซีด้วยความโกรธอย่างที่สุด เขานั้นแทบจะอดไม่ได้ที่จะฉีกมู่เฉียนซีเป็นชิ้น ๆ
แต่ในเวลานี้ ฝ่ายของพวกเขานั้นอ่อนแอเป็นอย่างมาก พวกเขานั้นไม่เข้าไปสู้ตายกับนางอย่างไร้เหตุผลเป็นแน่
อวิ๋นฮวาไม่โจมตีมู่เฉียนซีอีกต่อไป แต่เขากลับเอามือยื่นออกไปจับตัวหนานเชาเอาไว้แทน
หนานเชากล่าวออกมาด้วยความตกใจ “ใต้เท้าอวิ๋น ท่าน…”
“หุบปาก!”
สถานการณ์ในตอนนี้ย่ำแย่นัก กลุ่มคนของพวกเขาจะโดนมู่เฉียนซีเก็บกวาด เขาจึงต้องรีบหนีออกไปให้ไว
วิธีการหนีเอาชีวิตรอดที่เร็วที่สุดคือการหนีไปยังแท่นพิธีบูชา เข้าไปในเจดีย์เทพหนานอู้
มู่เฉียนซีนั้นรู้แผนการของเขาจึงได้ตามไป เมื่อเห็นว่ามู่เฉียนซีเข้ามาใกล้ อวิ๋นฮวารีบร้อนกล่าวขึ้น “กันนางเอาไว้! ข้าจ่ายด้วยราคาทั้งหมดที่มี กันนางเอาไว้!”
แม้ว่าพวกเขาจะถูกพิษ แต่ทว่าก็ยังสามารถพอที่จะฝืนรั้งมู่เฉียนซีที่เป็นระดับราชาเอาไว้ได้
หนานเชาตะโกนขึ้น “ใต้เท้าอวิ๋น ไม่เอา! ข้ายังไม่ได้พักผ่อนเพียงพอ”
“พลังวิญญาณบนตัวข้านั้นไม่ไหว มีไม่พอ…”
อวิ๋นฮวาในตอนนี้นั้นไม่ได้มีความอดทนมากเท่าไหร่นัก เขากล่าวขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “เจ้านี่พูดไร้สาระมากความจริง ๆ!”
เขาหิ้วหนานเชาขึ้นไปบนแท่นบูชา ทันทีที่กระบี่เล่มยาวเริ่มขยับ มันก็ได้กรีดบนบาดแผลที่หนานเชาได้รับบาดเจ็บอยู่แล้วจนเป็นแผลลึกเห็นกระดูก
“อ๊าก!” หนานเชาร้องออกมาปานว่าหัวใจแหลกปอดฉีกอย่างไรอย่างนั้น อวิ๋นฮวาช่างใจเหี้ยมเสียจริง แผลที่ลึกเช่นนี้หากไม่รักษาให้ดี มือของเขาคงได้พิการเป็นแน่
เลือดสดไหลไปที่ปากทางเข้าของแท่นพิธีอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่รู้ว่าเลือดไหลออกไปเท่าไรแล้ว แต่แท่นพิธีนั้นกลับไม่มีการตอบสนองแม้แต่น้อย
การสูญเสียของผู้อาวุโสแห่งสำนักอวิ๋นเยียนนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ อวิ๋นฮวากล่าขึ้นอย่างเย็นชาว่า… “เจ้าเป็นสวะก้อนหนึ่งจริง ๆ!”
ใบหน้าของหนานเชาที่เสียเลือดมากเกินไปซีดเผือด เขากล่าวขึ้น “ข้า… ข้าไม่ไหวแล้วจริง ๆ ใต้เท้าอวิ๋น ได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถอะ!”
“แค่ก ๆ ๆ” อวิ๋นฮวาโบกมือ เขาโยนยาเม็ดหลายเม็ดเข้าไปในปากของหนานเชา
ไม่นานนักพลังวิญญาณของหนานเชาก็เพิ่มขึ้นมาอย่างมาก “ต้องเป็นเพราะพลังวิญญาณของเจ้าไม่เพียงพอเป็นแน่ หากเพิ่มเติมพลังวิญญาณไปทดแทนเสียหน่อย ก็คงจะสามารถเปิดมันออกได้”
พลังวิญญาณอันน่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมาจนเกือบทำลายเส้นลมปราณของเขา เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลออกมาจากหน้าผากของเขา เขานั้นทุกข์ทรมานอย่างที่สุด
ถึงแม้ว่ายาเม็ดนั้นจะสามารถเพิ่มพูนพลังวิญญาณของเขาได้ถึงขั้นสูงสุด แต่รอจนถึงเมื่อยาหมดฤทธิ์แล้ว เขาก็จะกลายเป็นผู้พิการไปโดยสมบูรณ์
หนานเชามองอวิ๋นฮวาด้วยดวงตาประหนึ่งจิตใจแตกสลาย ปากก็กล่าว “อวิ๋นฮวาใจร้ายนัก! ใจร้ายจริงๆ!”
เมื่อเจอคำว่ากล่าวจากเขา อวิ๋นฮวากลับไม่คิดเห็นด้วย ถึงแม้ว่าวิธีการของเขาจะเป็นวิธีการที่สุดโต่ง แต่สุดท้ายกลับเห็นผล
เจดีย์เทพหนานอู้ที่สงบเงียบมานาน เวลานี้พลันระเบิดเกิดเสียงดังสนั่นขึ้นมา
— ตูม! —
แท่นพิธีค่อย ๆ เคลื่อนอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นเส้นทางเส้นทางหนึ่งเบื้องหน้านั้น
— ตุบ! —
อวิ๋นฮวาโยนหนานเชาที่กึ่งเป็นกึ่งตายทิ้งไปด้านข้างราวกับทิ้งขยะ เขามองไปที่คนอื่น ๆ และกล่าวขึ้นว่า “ทางเข้าเปิดออกแล้ว ไม่ต้องไปพัวพันกับสาวน้อยผู้นั้นแล้ว พวกเรารีบเข้าไปเร็ว”
“ขอรับ!”
ขณะที่พวกเขากําลังจะวิ่งเข้าไป เงาร่างสีขาวหลายร่างก็พุ่งผ่านมา จักรพรรดิเซี่ยกล่าวอย่างเย็นชา “หากเจ้าต้องการเข้าไปในเจดีย์เทพหนานอู้แห่งนี้ เช่นนั้นก็ต้องถามข้าก่อนว่าข้ายินยอมหรือไม่”
สีหน้าของอวิ๋นฮวามืดครึ้มลง “จักรพรรดิเซี่ย เจ้าเองก็มีชีวิตรอดมาจนถึงที่นี่ด้วยรึ ? แต่ข้าจะไม่ยอมให้เจ้ามาทำลายเรื่องดี ๆ ของข้า”
จากนั้น คนของสำนักอวิ๋นเยียนก็ได้ต่อสู้กับกลุ่มคนของจักรพรรดิเซี่ย
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “อู๋ตี้ เสี่ยวหง ให้พวกเขาสู้กันไป พวกเราไปกันดีกว่า” กล่าวจบเงาร่างสีม่วงวิ่งพุ่งเข้าไปในทางลับที่แท่นพิธี
อวิ๋นฮวาสบถขึ้นทันที “เจ้ามันสมควรตาย!”
จักรพรรดิเซี่ยพึมพำกับตนเอง “ช่างไร้ยางอายเสียจริงที่ทิ้งข้าไว้เช่นนี้!”
— ตูม! —
ขณะที่ด้านบนนั้นต่อสู้กันอย่างมิอาจปลีกออกมาได้ มู่เฉียนซีก็เดินลงไปเสียแล้ว
บันไดในขั้นแรกนั้นไม่รู้ว่าจะต้องเดินต่อไปอีกนานเท่าไรถึงจะสิ้นสุด รอบด้านมืดเสียจนมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าของตนเอง เมื่อเดินไปได้สักพัก ที่ด้านหน้าก็ปรากฏประตูราง ๆ ขึ้นสามบาน
ประตูทั้งสามรูปทรงเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน มู่เฉียนซีต้องเลือกแล้ว นางกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “อู๋ตี้ เสี่ยวหง พวกเจ้าคิดว่าควรเลือกประตูบานไหนดี ?”
เสี่ยวหงกล่าวว่า “ข้าเชื่อว่านายท่านจะต้องเลือกได้บานที่ดีที่สุดแน่นอน”
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเช่นกัน” อู๋ตี้กล่าวสำทับ
มู่เฉียนซียกมือขึ้น “อืม… ประตูที่ด้านซ้ายก็แล้วกัน”
— ปัง —
เมื่อมู่เฉียนซีสัมผัสประตูบานนั้น นางก็รู้สึกได้ถึงพลังที่ดึงนางเข้าไป นางเหมือนได้เข้าไปในโลกที่เคลือบไปด้วยแก้ว และมีเสียงส่งออกมาจากเครื่องจักรกลไก
เสียงนั้นกล่าวว่า “กระดูกอายุสิบหกปี ราชาแห่งภูตระดับสอง พรสวรรค์ระดับขั้นวิเศษ มิใช่สายเลือดของเผ่าเทพหนานอู้ สามารถรับการทดสอบสามแบบของเจดีย์เทพได้ เจ้ายอมรับหรือไม่ ?”
มู่เฉียนซีถามขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าผู้ที่ไม่ใช่สายเลือดของเผ่าเทพหนานอู้ จะไม่สามารถรับการทดสอบอย่างหลังสุดได้รึ ?”
“มันก็ไม่แน่นอนเสมอไป หากว่าการทดสอบตอนต้นสามแบบ เจ้าได้ผลการทดสอบที่สูง ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่สายเลือดของเผ่าเทพหนานอู้ เจ้าก็สามารถรับการทดสอบอย่างหลังได้ แต่ทว่าในเวลาเกือบพันปีมานี้ มีคนเช่นนี้เกิดขึ้นมาน้อยมากก็เท่านั้น”
มู่เฉียนซีกล่าว “เช่นนั้นก็ตกลง ข้าจะทำการทดสอบตอนต้นสามแบบของเจดีย์เทพ”
“การทดสอบตอนต้นสามแบบไม่มีอันตรายถึงความตาย จะไม่มีการบาดเจ็บเกิดขึ้น”
“ขอบคุณอย่างมากที่เตือน…” ดูเหมือนว่าเครื่องจักรกลไกที่คอยดูแลเจดีย์เทพนี้ค่อนข้างมีมนุษยธรรม
แต่เมื่อมู่เฉียนซีได้รับการทดสอบที่โหดร้าย นางนั้นอยากจะเก็บเอาความคิดเช่นนี้กลับไปเป็นอย่างมาก!
มีแสงวาบขึ้นแสงหนึ่งและได้ดึงเอามู่เฉียนซีเข้าไปในนั้น จากนั้นเครื่องจักรกลไกก็ส่งเสียงออกมาอีกครั้ง
“ยินดีต้อนรับสู่การทดสอบตอนต้นแบบแรก…”
.