ทุกคนนั้นล้วนแต่ตกตะลึง อยากที่จะเห็นว่าสรุปแล้วเขานั้นเป็นชายเช่นไรที่สามารถทำให้คุณหนูใหญ่อวิ๋นเฟิ้งผู้หยิ่งทะนงนั้นอ่อนโยนต่อเขาได้มากเช่นนี้
บุรุษผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อน ถึงแม้ว่าขาทั้งสองข้างจะมิอาจเดินได้ แต่ด้วยรัศมีของความไม่เป็นรองใคร จึงทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะดูแคลน
“อวู่ซวง เมื่อข้าพบเจ้า ข้าก็ชอบพอเจ้าตั้งแต่แรกเห็น อยากที่จะแต่งงานออกเรือนกับเจ้า วันนี้เป็นงานฉลองอายุครบสามสิบปีของข้า เจ้ายินดีที่จะขอข้าแต่งงานหรือไม่ ?” สายตาของอวิ๋นเฟิ้งนั้น ลึกซึ้งอย่างที่สุด
ในตอนนี้เอง เงาร่างสีม่วงเงาหนึ่งก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้าของอวิ๋นเฟิ้ง
“แน่นอนว่าเขาคงไม่ยินยอม เจ้าเองก็อย่าได้ฝันกลางวันเลย” มู่เฉียนซียืนอยู่ตรงหน้าอวิ๋นเฟิ้ง มองนางอย่างพิจารณาในระยะใกล้ รอมายาวนาน ในที่สุดนางก็ได้เห็นหญิงผู้ที่ทำให้ท่านอาเล็กนั้นสูญเสียการมองเห็นของดวงตาทั้งสองข้างไปเสียที
อวิ๋นเฟิ้งเองก็มองสาวน้อยผู้นี้อย่างพิจารณา นางมองใบหน้าของหญิงสาวผู้นี้ที่ไร้ซึ่งการตบแต่งใบหน้า แต่กระนั้นแม้แต่ขนเพียงเส้นเดียวก็มิอาจมองเห็นได้ สตรีอายุน้อยมู่เฉียนซีมีใบหน้าที่เรียบเนียนราวกระเบื้องเคลือบก็มิปาน
ใบหน้าของนางนั้นงดงามประณีตนัก ไม่ว่านางจะแต่งหน้าเช่นไรก็มิอาจเทียบเทียมได้
เพราะนางนั้นบรรลุขั้นราชาได้อย่างรวดเร็ว ลักษณะภายนอกมองดูก็มีอายุราวสิบสองปีกว่า แต่ตัวนางเมื่อเทียบกับมู่เฉียนซีที่อยู่ตรงหน้าที่มีอายุน้อยกว่านั้น นางรู้ตัวดีว่าช่างห่างชั้นกันเหลือเกิน
อวิ๋นเฟิ้งได้แต่เก็บงำความโกรธเกรี้ยวที่กำลังหมุนตลบเอาไว้ในใจ นางยิ้ม กล่าวขึ้น “เจ้าคือหลานสาวของอวู่ซวง ซีเอ๋อร์…” “อย่ามาเรียกข้าเช่นนั้น เจ้ายังไม่คู่ควร” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างขุ่นเคือง
อวิ๋นเฟิ้งขมวดคิ้ว “อวู่ซวง หลานสาวของเจ้าอวดดีจริง ๆ!”
มู่อวู่ซวงที่เงียบขรึมมานานและไม่เห็นอวิ๋นเฟิ้งอยู่ในสายตา ในที่สุดก็เปิดปากขึ้น “หลานสาวของข้า อวดดีแล้วเจ้าจะทำไมเล่า ? ถึงต่อให้อวดดีมากกว่านี้ นางก็มีข้าคอยปกป้องอยู่”
“งานฉลองวันเกิดของเจ้าในวันนี้ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ต่อแล้ว!”
อวิ๋นเฟิ้ง “ว่าอย่างไรนะ ?!” มู่เฉียนซีถามขึ้น “หูของคุณหนูใหญ่อวิ๋นเฟิ้งมีปัญหารึ ? พวกเรานั้นมาเพื่อปั่นป่วน บัญชีที่เจ้าติดค้างไว้เมื่อกาลก่อน เจ้าคงไม่สมองเลอะเลือนจนลืมไปแล้วกระมัง!”
“ข้า…”
“ในตอนนั้นมู่อวู่ซวงมีตาหามีแววไม่ กลับไม่ยอมขอแต่งข้า ไม่ยอมมองข้า ข้าจึงทำได้เพียงต้องทำให้ตาเขาบอดก็เท่านั้น แต่ตอนนี้เขาก็หายดีแล้วมิใช่หรือไร ?” อวิ๋นเฟิ้งกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ทุกคนต่างพากันส่งเสียงเอะอะ นึกไม่ถึงเลยว่าคุณหนูใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นเยียนเคยก่อเรื่องนี้ขึ้น
เขาไม่ชอบนางก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่นางกลับทำลายดวงตาของเขาเสีย ช่างเหมาะสมกับความประพฤติที่เป็นอันธพาลตามแบบฉบับของสำนักอวิ๋นเยียนเสียจริง
“ผู้ใดก็ได้มาเอาตัวมู่อวู่ซวงไป เตรียมจัดงานแต่งงานเขากับข้า”
ถึงแม้ว่าจะห่างเหินมาเนิ่นนาน แต่นางก็ยังคงไม่ปล่อยวางเช่นเดิม
ในความคิดนาง มู่อวู่ซวงนั้นช่างสมบูรณ์แบบเสียจริง ไม่ว่าชายใดก็ไม่อาจเทียบเทียมได้ วันนี้นางจะต้องครอบครองมู่อวู่ซวงให้ได้
อวิ๋นเฟิ้งมองมู่อวู่ซวงด้วยแววตาปรารถนา
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “อวิ๋นเฟิ้ง เจ้าเลิกคิดเพ้อฝันถึงเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ได้แล้ว เจ้าไม่มองตัวเองบ้างรึว่ามีส่วนไหนของเจ้าที่คู่ควรแกท่านอาเล็กของข้า รูปลักษณ์ก็สู้ท่านอาข้าไม่ได้ พรสวรรค์นั้นยิ่งชัดเจนว่าห่างชั้น” ในขณะนั้น อวิ๋นเฟิ้งถึงกับเป็นใบ้กล่าวอะไรไม่ออก
“ข้าเป็นคุณหนูใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นเยียน หากเพียงข้าชอบเข้าแล้ว เช่นนั้นก็หนีไม่พ้นแน่ หากว่าเจ้าอยากมีชีวิตรอดออกไปจากสำนักอวิ๋นเยียน ทางที่ดีที่สุดคือให้มู่อวู่ซวงยอมเสียแต่โดยดี”
มู่เฉียนซี “เจ้าเลิกคิดเรื่องนี้เสียเถอะ! ท่านอาเล็กของข้าไม่แต่งกับเจ้าเป็นแน่ วันนี้ข้ามาอวยพรแก่เจ้า ในขณะเดียวกันก็มาท้าทายเจ้าด้วย”
“ความแค้นในวันนั้น ข้า… มู่เฉียนซีต้องการทวงแค้นของท่านอาเล็กคืนกลับมาด้วยตนเอง คุณหนูใหญ่อวิ๋นเฟิ้ง เจ้ายินยอมรับคำท้าสู้หรือไม่ ?!”
อวิ๋นเฟิ้งยิ้มเยือกเย็น “เจ้าเป็นเพียงสาวน้อยผู้หนึ่ง กลับกล้าที่จะท้าทายข้า ช่างมีความกล้าที่ไม่เลว ข้า…”
ในตอนที่อวิ๋นเฟิ้งกำลังจะตอบตกลงนั้น เจ้าสำนักอวิ๋นเยียนพุ่งออกมาอย่างกะทันหันพร้อมกล่าวขึ้น “ช้าก่อน เฟิ้งเอ๋อร์!”
บุตรสาวของตนไม่รู้ชัดเจนถึงความสามารถของแม่สาวน้อยมู่เฉียนซีผู้นี้ ส่วนเขาผู้ที่บาดเจ็บและเกือบตายเพราะนาง ไฉนเลยจะไม่รู้ซึ้ง
ทุกคนนั้นล้วนตกตะลึง คุณหนูใหญ่สามารถบรรลุขั้นจักรพรรดิได้ตั้งแต่อายุยังน้อย สาวน้อยผู้นี้มิใช่คู่ต่อสู้ของนางแน่นอน ทว่าเหตุใดเจ้าสำนักอวิ๋นถึงได้มีท่าทีที่หวาดกลัวเป็นหนักหนาเช่นนั้นกัน ?
เจ้าสำนักอวิ๋นเยียนกล่าวขึ้น “ผู้นำตระกูลมู่ ประลองยุทธ์นั้นสามารถประลองได้ แต่ห้ามใช้สัตว์พันธสัญญา และห้ามมิให้ผู้อื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยเป็นเช่นไร ?”
มู่เฉียนซีรู้แผนการของเจ้าเฒ่าผู้นี้ดี นางกล่าวตอบ “นั่นเป็นเรื่องแน่นอน ข้ามิใช้หรอกสัตว์พันธสัญญา เช่นนั้นคุณหนูใหญ่อวิ๋นเฟิ้งก็ต้องมิใช้เช่นกันใช่หรือไม่ ?”
“แน่นอน!”
เจ้าสำนักอวิ๋นเยียนมีความมั่นใจในบุตรสาวของตน ไม่มีสัตว์พันธสัญญา ไม่มีคนช่วยเหลือ มู่เฉียนซีจะเก่งกาจสักเพียงใด ก็เป็นแค่เพียงสาวน้อยราชาแห่งภูตเท่านั้น
อวิ๋นเฟิ้ง “ข้ายอมรับคำท้าของเจ้า ในเมื่อวันนี้เป็นวันเกิดของข้า เช่นนั้นสู้กันสักคราเพื่อเป็นที่ตื่นตาแก่ผู้ร่วมงานก็ไม่เลว ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นว่าทั้งทวีปเซี่ยโจวนั้น มีเพียงแต่ข้าที่คู่ควรกับมู่อวู่ซวง”
“และมู่อวู่ซวงก็สามารถแต่งงานได้เพียงกับข้าผู้นี้ผู้เดียว”
อวิ๋นเฟิ้งมั่นใจเป็นที่สุด และยังมีความบ้าคลั่งที่ต้องการจะครอบครอง นั่นทำให้สายตาที่อบอุ่นของมู่อวู่ซวงส่อแววของการฆ่าฟันออกมา แต่ทว่าซีเอ๋อร์หลานสาวเขากล่าวไว้ว่า ทั้งหมดนั้นปล่อยให้นางจัดการ เขาจึงหยุดยั้งไม่ออกมือ
อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสำนักอวิ๋นเยียนประลองกับอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งทวีปเซี่ยโจว มาตอนนี้หลานสาวของเขานั้นเป็นเพียงแค่ก้อนกรวดก้อนเล็ก ๆ ที่ใต้เท้านางเท่านั้น
มู่เฉียนซีและอวิ๋นเฟิ้ง ทั้งสองมาถึงเวทีประลองขนาดใหญ่ของสำนักอวิ๋นเยียนแล้ว
งานเลี้ยงยังไม่เริ่มขึ้น แต่กลับมีเรื่องที่น่าชมให้ดูเสียก่อน เหล่าบรรดาแขกทั้งหลายก็ได้เข้ามาที่บริเวณรอบ ๆ เวทีเพื่อร่วมชมการประลองด้วยความตื่นเต้นสนใจ พวกเขาเองก็ใคร่ที่จะเห็นนักว่าอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งเซี่ยโจวที่เป็นตำนานกล่าวขานราวเทพนั้นจะเก่งกาจสักเพียงใด บนเวทีประลองยุทธ์ หญิงสาวทั้งสองเจิดจรัสเป็นอย่างมาก
ผู้หนึ่งมาในอาภรณ์สีแดงที่ดูหยิ่งยโสราวกับนกกระจอกที่บินร่อนอยู่กลางอากาศ อีกผู้หนี่งมาในอาภรณ์สีม่วงทั้งตัว ดูสูงส่งทว่าแฝงความเกียจคร้านในนิสัย และหยิ่งผยองราวกับสายลมที่ปลิวพัด
สายตาของมู่เฉียนซีจ้องมองอวิ๋นเฟิ้งอย่างเย็นยะเยือก นางกล่าวขึ้น “แค้นเมื่อครานั้น วันนี้พวกเรามาสะสางกันให้ละเอียดเน้น ๆ!”
อวิ๋นเฟิ้งหัวเราะ “หึ ๆ มู่เฉียนซี เห็นแก่หน้าของอวู่ซวง ข้าจะไม่เอาชีวิตเจ้า แต่เจ้าก็อย่าได้โอหังไปนัก ที่ข้าทำเช่นนั้นกับอวู่ซวงในตอนนั้น ก็เพราะว่าข้ารักเขา” ทำให้ดวงตาของท่านอาสูญเสียการมองเห็นทั้งสองข้าง แล้วยังมีหน้ามากล่าวว่าทำไปเพราะความรัก สายตาของมู่เฉียนซีเวลานี้ยิ่งเพิ่มความเย็นยะเยือกขึ้นมาอีกหลายส่วน นางนั้นจะต้องทำให้อวิ๋นเฟิ้งเสียใจที่ได้เกิดมาอยู่บนโลกใบนี้
“เริ่มได้!” เจ้าสำนักอวิ๋นเยียนกล่าว
ทันใดนั้น พลังวิญญาณบนร่างของอวิ๋นเฟิ้งพุ่งพรวดออกไป ช่างเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวสมกับระดับจักรพรรดิอย่างแท้จริง
“นางเป็นจักรพรรดิแห่งภูตจริง ๆ!” “จักรพรรดิแห่งภูตที่อายุสามสิบปี ไม่เสียทีที่คุณหนูใหญ่อวิ๋นเฟิ้งเป็นถึงอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสำนักอวิ๋นเยียน”
ในขณะเดียวกันนั้น มู่เฉียนซีเองก็ได้นำกระบี่มังกรเพลิงของตนเองออกมา นางก็ไม่ได้ซ่อนเร้นพลังความสามารถของตนเอาไว้เช่นกัน
“โอ้!” เหล่าบรรดาผู้ชมล้วนสูดอากาศเข้าไปในปอดเฮือกหนึ่ง
“ราชาแห่งภูตระดับเก้า เข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่! สาวน้อยผู้นี้อายุเพียงไม่เท่าไร กลับเป็นถึงราชาแห่งภูตระดับเก้า!!!”
ขณะนั้นเอง ใครบางคนลอบเอาหินตรวจอายุขึ้นมาวัดอายุมู่เฉียนซีแล้วจึงกล่าวขึ้น “นะ… นางเพิ่งอายุสิบหกปี เพิ่งจะพ้นภาวะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไม่นาน”
เวลานี้สีหน้าของอวิ๋นเฟิ้งนั้นได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ นางที่ฝึกฝนจนได้ก้าวเข้าสู่ขั้นจักรพรรดิแห่งภูตทั้ง ๆ ที่อายุสามสิบปี เมื่อเทียบกับผู้ที่อายุสิบหกปีผู้หนึ่งที่เป็นราชาแห่งภูตระดับเก้าแล้วนั้น เหลืออีกเพียงก้าวเดียว มู่เฉียนซีก็จะเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ แต่ทว่าความต่างชั้นระหว่างคนทั้งสองนั้น มิใช่เล็กน้อยเหมือนดั่งก้อนกรวด
เดิมที่ที่อิจฉาอยู่แล้ว เวลานี้ยิ่งตกตะลึงเสียจนสายตาทั้งหมดของนางมองตกทอดไปอยู่ที่บนร่างของมู่เฉียนซี
อวิ๋นเฟิ้งกำหมัดแน่น เรื่องนี้มิอาจจะให้อภัยได้!
ในตอนนี้เอง อวิ๋นปู้ป้ายก็ได้วิ่งลนลานเข้ามาหาก่อนจะกล่าวว่า “พี่ใหญ่! พี่ใหญ่ประลองไม่ได้ ประลองไม่ได้อย่างเด็ดขาด!”
.