มู่เฉียนซีกล่าว “เช่นนั้นเจ้าก็ปล่อยพวกเราออกไป”
“ได้ เอ่อ… เจ้าได้กุญแจเจดีย์เทพไปแล้ว จากนี้ไปเจดีย์เทพก็จะอยู่กับเจ้า เจ้าพาข้าไปด้วยได้หรือไม่ ?” เครื่องกลไกวิญญาณกล่าวถามขึ้น
“ข้านั้นไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีใครที่สามารถพาหอฉงโหลวบนเมฆาไปด้วยได้ เจ้าไม่กลัวที่จะแตกสลายกลายเป็นซากหรอกรึ ?”
เครื่องกลไกวิญญาณกล่าว “ใช่แล้ว ไม่มีใครที่สามารถพาตัวข้าไปได้ แต่ว่าพวกเจ้านั้นไม่เหมือนกับผู้อื่น หากท่านผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นยอมช่วยเหลือ ข้าก็…”
ก่อนที่หอฉงโหลวบนเมฆาจะกล่าวจบ พลันปรากฏแสงสีฟ้าแสงหนึ่งห่อหุ้มหอฉงโหลวบนเมฆาเอาไว้ การอาบน้ำให้หอฉงโหลวบนเมฆาด้วยการใช้พลังหุ้มมันไว้เช่นนี้ นั่นทำให้มันสบายตัวยิ่งนัก ขณะเดียวกัน อาถิงนั้นจะระเบิดออกมาแล้ว “โหย! เจ้านี่มันช่างมั่วซั่วจริง ๆ”
“ตัวข้ายังยากที่จะช่วยเหลือตัวเอง กลับจะให้ข้ามาช่วยเจ้านี่อีก ไม่! ข้าไม่อนุญาต”
แสงสีเขียวพุ่งทะยานขึ้นไปบนขอบฟ้า อาถิงกล่าวขึ้น “กระแสเวลาย้อนกลับ!”
ทว่ามู่เฉียนซีไม่ได้รู้สึกว่าเวลาย้อนกลับแต่อย่างใด และที่หน้าผากของนางก็ผุดเหงื่อซึมออกมา นางกล่าวว่า “ข้าว่าคนที่มั่วซั่วนั้นคือเจ้าต่างหากเล่า พลังความสามารถก็มีเพียงเท่านั้นยังจะไปโอหังกับคนอื่นอีก เจ้านี่มันช่างเลอะเทอะจริง” ท้ายที่สุดแล้วอาถิงก็ไม่สามารถหยุดยั้งเอาไว้ได้ ในตอนนี้ หอฉงโหลวบนเมฆาถูกพลังสีฟ้าซ่อมบำรุงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นเครื่องกลไกวิญญาณก็กล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้น “ยอดเยี่ยมเหลือเกิน ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ ข้าถูกบูรณะซ่อมแซมทั้งหมดแล้ว
“จากนี้ไปข้าไปกับเจ้าเป็นเช่นไร ว่าอย่างไรล่ะ ?”
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าเองก็รู้ว่าข้ามีหม้อเทพนิรันดร์ อีกทั้งยังมีศาลานิรันดร์ เจ้าที่เป็นเครื่องกลไกวิญญาณแบบสนับสนุนจะมีประโยชน์อันใด ? ถึงแม้ว่ามหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์จะฟังดูคล้ายจะร้ายกาจนัก แต่ว่าข้านั้นไม่ต้องการสิ่งไร้ค่า”
บัดนี้อาถิงที่ชอบโต้แย้งกับมู่เฉียนซีมาโดยตลอด รีบพยักหน้าเห็นด้วยกับนางเป็นอย่างมาก “ใช่แล้ว! มู่เฉียนซีนางมีข้ากับหม้อเทพก็พอแล้ว จะเอาเจ้าไปทำไมกัน ?” “ข้า… ขอเพียงแค่มอบหินแห่งมิติให้แก่ข้า ข้าสามารถเดินทางไปแห่งใดก็ได้บนโลกใบนี้ หรือแม้กระทั่งพื้นที่ที่สูงกว่าก็ยังสามารถไปได้”
อาถิงกล่าวขึ้น “หินแห่งมิติรึ ? เจ้าคิดว่าหินแห่งมิติในตอนนี้เป็นเหมือนดั่งผักกาดขาวที่หาได้โดยง่ายหรืออย่างไร ? ยังไม่รู้เลยว่าแม้แต่พื้นผิวนี้จะมีหินแห่งมิติอยู่หรือไม่”
“ข้า… เอ่อ…”
มู่เฉียนซีชี้ไปที่จิ่วเยี่ยก่อนจะกล่าวขึ้น “สำหรับสมบัติล้ำค่าเหล่านั้น จิ่วเยี่ยจะต้องมีมากกว่าข้าอย่างแน่นอน อีกทั้งเขายังเก่งกาจเป็นอย่างมาก เจ้าไปอยู่กับเขาจะมีอนาคตที่น่าสนใจมากกว่า”
หอฉงโหลวบนเมฆากล่าวออกมาด้วยเสียงอันสั่นระรัว “โอ้! ชายผู้นั้นน่ากลัวยิ่งนัก ข้ากลัว!” อาถิง “เช่นนั้นเจ้าก็อยู่เช่นนี้ไปก็แล้วกัน!”
หอฉงโหลวบนเมฆารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง มันนั้นเป็นถึงมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เชียว! และตอนนี้ก็ได้รับการซ่อมแซมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กลับถูกผู้อื่นรังเกียจ เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ?
จิ่วเยี่ยที่เงียบมานานกล่าวขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “รับเอาไว้ซะ”
มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์มองจิ่วเยี่ยเหมือนดั่งผู้มาโปรด นึกไม่ถึงเลยว่าบุรุษผู้ที่เหมือนเทพมมารจะมีจิตใจที่ดีเช่นนั้น
อาถิงขมวดคิ้ว กล่าวขึ้น “เพื่อที่จะให้เจ้าสิ่งเล็กกระจ้อยนี้ฟื้นฟูขึ้นมา จึงทำให้นางต้องลงมือ เจ้ารู้หรือไม่…?” “ไม่ใช่!” น้ำเสียงเย็นชากล่าวออกมาสองคำแล้ว สองคำนี้ตัดเข้าที่กลางประโยคของอาถิง
“นางอาสาเอง เจ้าโง่!” อาถิงกล่าวออกมาด้วยความผิดหวังระคนไม่พอใจ
มู่เฉียนซีมองจิ่วเยี่ยก่อนจะถามขึ้น “เจ้าไม่ต้องการหรือ ?”
“นางนั้นเป็นของเจ้า หากเจ้าไม่ต้องการก็ทำลายทิ้งเสีย” กลิ่นอายอันเย็นยะเยือกพลันแผ่ซ่านออกมา มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่เดิมทีคิดว่าจิ่วเยี่ยนั้นใจดี ตกใจจนร้องไห้ออกมา ‘ฮือ! น่ากลัวจริง ๆ!’ “เจ้าจะต้องเอาข้าไปนะ…” เสียงขอร้องของมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ถูกส่งเข้าไปในหัวของมู่เฉียนซี
อาถิงกล่าว “อืม นี่เป็นน้ำใจของนาง ถ้าหากว่าเจ้าไม่รับมัน ข้าจะตายให้เจ้าดู”
สีหน้าของมู่เฉียนซีหม่นคล้ำ นางรู้สึกว่าเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนจะเคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างไรก็ไม่รู้ ในตอนที่เจอกันครั้งแรก ตอนที่จิ่วเยี่ยมอบกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ให้นาง อาถิงก็กล่าวเช่นนี้ เพียงแค่มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์อันหนึ่ง ยังไม่ทันที่จะทำอะไร ก็เอาความเป็นความตายมาบีบคั้นผู้เป็นนายของตนเอง ช่างไร้คุณธรรมเสียจริง
แต่จิ่วเยี่ยนั้นไม่เหมือนกัน
ในตอนนั้นเขาคุกคามชีวิตของนาง แต่บัดนี้ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว เขากล่าวแต่เพียงว่าจะทำลายหอฉงโหลวบนเมฆา
มู่เฉียนซีเงยหน้าขึ้นมองจิ่วเยี่ยผู้ที่มองทุกชีวิตเหมือนดั่งมดปลวก นางเห็นได้ว่าเขาเปลี่ยนไปแล้วโดยที่ไม่รู้ตัว ดวงตาสีฟ้าที่เย็นเฉียบคู่นั้นมองมาทางมู่เฉียนซีด้วยความสงสัย เขากล่าวถามขึ้น “ซี เจ้าไม่ชอบหรือ ?”
จะเอาเมื่อตอนแรกเห็นมาเทียบกับปัจจุบันได้อย่างไร
ในตอนนี้เขาโดนพิษฝังลึกเข้าไปในไขกระดูกเสียแล้ว ในใจไม่อาจที่จะยอมให้นางได้รับบาดเจ็บแม้เพียงเล็กน้อย ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่จะทำให้นางตายเลย
มู่เฉียนซีส่ายศีรษะเบา ๆ “ไม่หรอก ที่จริงแล้วเจ้านั่นก็ไม่เลว ในเมื่อเจ้าต้องการให้ข้ารับไว้ ข้าก็จะรับเอาไว้”
ในตอนนี้เอง หอฉงโหลวบนเมฆาตื้นตันจนร้องไห้ออกมาจริง ๆ “ประเสริฐนัก! ช้างประเสริฐนัก…” “แต่… ได้ยินมาว่าที่แห่งนี้มีดอกเก้าพิฆาตลึกลับ เจ้าควรนำมันออกมามอบให้ข้าเป็นของขวัญหรือไม่ ?” มู่เฉียนซีกล่าวถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เครื่องกลไกวิญญาณพึมพำกับตนเอง “ดอกเก้าพิฆาตลึกลับหรือ ? เหมือนว่าข้าจะโยนมันเข้าไปไว้ในมิติ นายท่านรอสักครู่ ข้าจะไปหามันประเดี๋ยวนี้เลย”
ผ่านไปเพียงไม่นาน เครื่องกลไกวิญญาณก็ได้นำดอกเก้าพิฆาตลึกลับมามอบให้มู่เฉียนซี ดอกไม้นี้บานออกเป็นเก้าชั้น มันเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายอย่างที่สุด เหมือนกับที่ในบันทึกได้กล่าวเอาไว้ทุกประการ
มู่เฉียนซีเก็บดอกเก้าพิฆาตลึกลับเอาไว้ ณ ตอนนี้ สมุนไพรวิญญาณที่สำคัญทั้งสามชนิดก็ได้มาครบแล้ว เพียงรอให้หอฉงโหลวบนเมฆาไปจัดการเรื่องวุ่นวายเหล่านั้นให้เสร็จสิ้น นางก็สามารถที่จะรวบรวมพลังสมาธิและปรุงยาออกมาเพื่อรักษาขาทั้งสองข้างของท่านอาเล็ก ให้ท่านอาเล็กสามารถยืนขึ้นมาได้
หอฉงโหลวบนเมฆามอบดอกเก้าพิฆาตลึกลับที่สำคัญเป็นอย่างมากให้แก่นาง ประโยชน์ในตัวของมันเองก็ไม่น้อยเลย แน่นอนว่ามู่เฉียนซีทำตามคำพูด สุดท้ายนางก็ทำพันธสัญญากับมัน มู่เฉียนซีและหอฉงโหลวบนเมฆาได้ทำพันธสัญญาที่เท่าเทียมต่อกัน เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่มีหินแห่งมิติอยู่ในมือ จึงมิอาจใช้มันพาให้ทะลุข้ามผ่านมิติไปได้
หลังจากที่ทำพันธสัญญากับหอฉงโหลวบนเมฆาแล้ว พวกเขาก็ได้ออกมาจากมิตินั้น
— ปัง! —
หอฉงโหลวบนเมฆาที่ใหญ่ยักษ์มลายหายไปกลางอากาศ จิ่วเยี่ยรีบกอดมู่เฉียนซีเอาไว้และกระโดดลงมาจากกลางอากาศ หลังจากนั้น ที่บนพื้นก็มีเสียงการต่อสู้ดังลอยมา
ที่ตรงนั้น เชียนอ้าวเซี่ย น่าหลานอวี้ และคนของพวกเขารวมถึงองค์รักษ์เงาแห่งตระกูลมู่กำลังดักตัวผู้พ่ายแพ้ของหุบเขาหมอเทวดาเหล่านั้นเอาไว้ ในตอนนั้นได้ปล่อยให้พวกเขาหนีไปก็คราหนึ่งแล้ว ไม่มีใครนึกเลยว่าจะได้มาเจอพวกเขาที่นี่ ถึงแม้ว่าร่างกายของพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก แต่อย่างไรเสีย พวกเขาก็เป็นยอดฝีมือระดับมหาจักรพรรดิ ฝ่ายที่จะขัดขวางพวกเขาเอาไว้เป็นเพียงระดับจักรพรรดิ จึงทำได้อย่างยากเย็นนัก
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามก็ต้องหยุดยั้งเอาไว้ หากปล่อยให้พวกนั้นหนีออกจากทวีปเซี่ยโจวไปได้ และนำเอาข่าวสารที่ว่ามู่เฉียนซีมีหม้อเทพนิรันดร์อยู่ในครอบครองไปแจ้งละก็ ถึงกับนึกผลของมันไม่ออกเลยทีเดียว
ต่อให้ต้องตาย ก็ต้องหยุดพวกเขาเอาไว้ให้ได้!
ทั่วทั้งสนามรบเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ชุดคลุมยาวสีขาวของเชียนอ้าวเซี่ยในเวลานี้ถูกย้อมกลายเป็นสีแดงเลือดไปแล้ว
“หลีกออกไปให้หมด พวกเราไม่อยากที่จะมาต่อสู้ติดพันกับพวกมดปลวกเช่นพวกเจ้า” คนของหุบเขาหมอเทวดากล่าวขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ
พวกเขานั้นไม่อยากที่จะต่อสู้ติดพันมากจนเกินไป พวกเขาอยากที่จะถือโอกาสตอนที่มู่เฉียนซียังไม่ลงมาจากหอฉงโหลวบนเมฆา พวกเขาจะรีบหนีออกจากทวีปเซี่ยโจวและนำเอาข่าวสำคัญนี้กลับไปแจ้งที่สำนักของพวกเขาโดยเร็ว
มู่เฉียนซีนั้นน่ากลัวยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นบุรุษชุดดำผู้นั้นที่อยู่ข้างกายนาง หรือว่าเด็กหนุ่มนัยน์ตาเขียว คนเหล่านี้ไม่ใช่ผู้ที่พวกเขาจะต่อกรด้วยได้ แต่พวกเขากลับนึกไม่ถึงว่าจะมีคนที่ไม่กลัวตายกลุ่มหนึ่งมาสู้อย่างเป็นเอาตายกับพวกเขาอีก นั่นทำให้พวกเขาโกรธแทบตาย
ทันทีที่มู่เฉียนซีออกมา นางก็ได้เห็นสภาพที่อนาถใจของสนามรบที่วนเวียนผลัดกันเข้าต่อตี สีหน้าของนางเปลี่ยนกลายเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที “ขออภัยด้วย ข้ามาช้าไป”
.