ในที่สุดใบหน้านิ่งสงบนั้นก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมาบ้างแล้ว พวงแก้มขาวราวหิมะของมู่เฉียนซีปรากฏสีแดงระเรื่อขึ้นมา นางเก้อเขินอย่างบอกไม่ถูกเลย
เพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ นั้น จิ่วเยี่ยอยากพานางไปด้วยจริง ๆ คงจะดีหากว่านางได้อยู่ข้างกายเขาตลอดเวลา
มู่เฉียนซีใช้กำลังทั้งหมดที่มีผลักเขาออกไป “จิ่วเยี่ย การที่เจ้าทำเช่นนี้มันทำให้ข้าอดไม่ได้ เจ้าทำให้ข้าอยากให้เจ้าอยู่ที่นี่ต่อนะ”
เข็มยาหลายเข็มถูกมู่เฉียนซีนำออกมา นางเตรียมพร้อมที่จะลงมือแล้ว ใบหน้าเย็นชาทว่างดงามนั้นเปี่ยมไปด้วยความสุขล้น แต่มู่เฉียนซีกลับกล่าวต่ออีกว่า “ข้ากลัวว่าอาการป่วยของเจ้าจะกำเริบ เมื่อถึงตอนนั้น หากข้าผู้เป็นหมอข้างกายเจ้าไม่อยู่ เจ้าคงต้องลำบากอยู่บ้าง”
มีหมอรับผิดชอบต่อหน้าที่ในความเป็นหมออย่างที่สุดอย่างเช่นนาง ไม่ว่าผู้ป่วยผู้ใดก็ควรรู้สึกดีใจ แต่ดวงตาเย็นชาของจิ่วเยี่ยกลับยิ่งฉายแววอันตรายมากขึ้น เขาเกลียดการที่นางทำตัวเป็นหมอที่ดีและรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเป็นที่สุด เขาอยากให้นางทำสิ่งเหล่านี้ให้เขาเพราะความรักใคร่ห่วงใยอย่างสุดซึ้งในฐานะคนรักมากกว่า
“แล้วยังมีอะไรอีก ?” เขากล่าวขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง
“แล้วก็… เจ้านั้นเป็นคนที่ข้าหมายตัวเอาไว้ ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีค่ารักษากับเจ้าเลย เช่นนั้นเมื่ออาการกำเริบแล้วก็อย่าได้ให้ผู้อื่นมาแตะเนื้อต้องกายเจ้าได้โดยง่าย มิเช่นนั้นแล้วข้าก็คงจะขาดทุนครั้งใหญ่”
กลิ่นอายอันตรายของจิ่วเยี่ยพลันอันตรธานไป เขากอดร่างบางไว้ พร้อมกันนั้นเสียงนุ่มนวลก็ดังออกมา “ไม่หรอก”
“เมื่อข้ากำเริบ แน่นอนว่าต้องมาหาเจ้า”
มู่เฉียนซีนั้นแทบจะขบลิ้นตนเองให้แตก เมื่อครู่นี้นางกล่าวอะไรออกไปโดยไม่ผ่านสมองขบคิดเลย เขารู้ทันนางแน่แล้ว
นี่มิใช่เป็นการหาเรื่องให้หมาป่ากัดเอาหรอกรึ ? ทว่าในตอนนี้จะเอาสิ่งที่ตนเองกล่าวออกไปกลับมาก็ไม่ทันเสียแล้ว
มู่เฉียนซี “ข้าไม่อยากที่จะเห็นสภาพตอนที่อาการป่วยของเจ้ากำเริบแล้ว เช่นนั้น เจ้าจะต้องควบคุมตนเองให้ดีนะ หากไม่ถึงคราวจำเป็นอย่างยิ่งจริง ๆ ก็จงอย่าได้อดทนอยู่กับมันเพียงลำพัง” “อ้อ แล้วก็ยังมียาอีกสองสามชนิดที่เจ้าต้องติดตัวเอาไว้ เมื่อกลับไปยังที่ของเจ้าก็อย่าได้ลืมหาข่าวเกี่ยวกับคัมภีร์หมื่นคำสาป และถ้าหากเจ้ามีเวลาก็หาข่าวคราวเกี่ยวกับสมุนไพรวิญญาณที่ข้าต้องการเสียหน่อย”
มู่เฉียนซีมีเรื่องกำชับกับผู้ป่วยผู้นี้มากมายนัก ในที่สุดนางก็กำชับเสร็จ
มู่เฉียนซีหันกลับไปกล่าวขึ้นว่า “ที่ท้องคลังในเรือยังมีสมบัติอีกมากมายที่ยังไม่ได้เก็บไป ในเมื่อจะต้องปิดผนึกทางผ่านนั้นเอาไว้ ข้าจะไปจัดการกับมันก่อน เพราะข้าเองก็ไม่อยากให้มีสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งเป็นที่สุดโผล่ออกมาอย่างกะทันหันในตอนที่ข้ากำลังผจญโลกอยู่”
นางจะไม่กล่าวว่าแล้วพบกันใหม่ เพราะอย่างไรเสียเขาก็อยู่เคียงข้างนางตลอดอยู่แล้ว
จิ่วเยี่ยที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็จะไม่เอ่ยคำลากับมู่เฉียนซีเช่นกัน ด้วยเพราะเขารู้ดีว่าตนอยู่ข้างกายนางตลอดจริง ๆ จื่อโยวยิ้มยียวน “อะแฮ่ม แม่นางมู่คนงามไม่ต้องห่วง! เยี่ยจะต้องปิดผนึกมันแน่นอน แม้แต่ยุงจากแดนคุมขังเพียงตัวเดียว เขาก็จะไม่ปล่อยให้มันออกมาได้ อย่างไรเสียที่นี่ในภายภาคหน้าก็คือใต้หล้าของเจ้า”
ด้วยพรสวรรค์ของสาวงาม เมื่อเติบโตขึ้นมาแล้ว หากจะบุกยึดครองไปทั่วทั้งสี่ทิศของโลกก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ยิ่งไปกว่านั้นนางเป็นนักปรุงยาที่วิปริตผู้หนึ่ง ต้องทราบก่อนว่านักปรุงยาสามารถเรียกและรวบรวมผู้แข็งแกร่งได้จำนวนมาก และมันจะต้องเป็นจำนวนที่มากที่สุดอย่างแน่นอน
“แม่นางมู่รอข้าด้วย”
โม่จิ่นที่ถูกกระบี่มังกรเพลิงรังแกอย่างชั่วร้ายรีบวิ่งตามนางไป ในตอนที่เขาได้ผ่านร่างของจิ่วเยี่ยไปนั้น พลันรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตายที่เกือบจะทำให้เขาสลายหายไปทั้งร่าง จื่อโยวยิ้ม “นี่เยี่ย แม่นางคนงามของเจ้าไม่ได้มีสายตาที่ย่ำแย่ขนาดนั้น เจ้าอย่าได้หึงหวงมากเกินไปนักเลย”
“ทุกคนที่เข้าใกล้มู่เฉียนซีล้วนแต่ควรทำให้หายไปตลอดกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นชาย” จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงเยียบเย็น
เมื่อมู่เฉียนซีจากไป จิ่วเยี่ยก็ได้เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนอีกคน ความมืดมิดปกคลุมถึงขีดสุดเหมือนดั่งมารมาเยือนก็มิปาน และไม่มีความรู้สึกใดทั้งสิ้นปรากฏในสีหน้า
เยี่ยอารมณ์ไม่ดี จื่อโยวผู้รู้งานจึงรีบกระโจนลงไปในทางผ่านนั้น “เยี่ย ข้าจะลงไปดูสถานการณ์ข้างล่างให้เจ้าก่อน นายท่านจิ่วเยี่ยไปเยือนคุกดำทั้งที คนเหล่านั้นต้องมาต้อนรับเจ้าอย่างอบอุ่นสิ จริงไหม ?”
ไม่รอคำตอบ เงาร่างของจื่อโยวหายไปในทางผ่านนั้น และจิ่วเยี่ยที่กำลังยืนอยู่ด้านบนของทางผ่านเหลียวหลังกลับไปหนึ่งครา ทว่า… ก็ไม่เห็นเงาร่างที่ตนอยากจะเห็นเสียแล้ว เขาจึงตามจื่อโยวเข้าไปในทางผ่านนั้น
…
ทางด้านมู่เฉียนซี
โม่จิ่นกล่าวถามขึ้น “หรือว่าพวกเราจะกลับไปดูเสียหน่อย ? หากเจ้าทางผ่านที่น่ากลัวนั่นยังไม่ถูกปิดผนึกละก็ เราจะทำอย่างไรกันดีล่ะ ?”
มู่เฉียนซีตอบ “ไม่ต้องหรอก ข้าเชื่อในตัวจิ่วเยี่ย เราไปเก็บของที่คลังในเรือเถอะ”
เมื่อเห็นสมุนไพรวิญญาณที่อยู่ตรงหน้า อารมณ์และความรู้สึกวุ่นวายของมู่เฉียนซีก็ถูกมันรักษาให้ดีขึ้นมาไม่น้อย
“สิ่งที่เจ้าภูตนั่นเก็บสะสมเอาไว้ไม่เลวเลย! สมุนไพรวิญญาณข้าจะเอาไปทั้งหมด เจ้าคงไม่มีปัญหาใช่หรือไม่ ?” มู่เฉียนซีถาม
เมื่อเห็นอาการของมู่เฉียนซีที่ดวงตาดำลุ่มลึกคู่นั้นฉายแววกระตือรือร้นออกมา หากว่าเขากล้าที่จะปฏิเสธละก็ บ้าแล้ว! เขาต้องโดนหญิงสาวผู้นี้รมพิษตายแน่ ๆ
“ฮืม… ถ้าอย่างนั้น เราแบ่งกันอย่างเป็นธรรมก็แล้วกัน” มู่เฉียนซีเห็นอีกฝ่ายไม่พูดจึงกล่าวสรุปออกมาอย่างจริงจัง
ถึงแม้ว่าตระกูลมู่ของนางจะไม่ขาดเงินทอง นางก็ไม่นึกรังเกียจในการหาเงินทองให้มากเข้าไว้ เพราะนางยังต้องการสร้างกิจการในทวีปเสียโจว
โม่จิ่นเองก็ใจกว้างยิ่งนัก เขากล่าว “อืม นี่ค่อยคุยกันง่ายหน่อย” “ไปเร็ว! เรือลำนี้กำลังจะแย่แล้ว” ทันใดนั้น มู่เฉียนซีรู้สึกได้ว่าพื้นเรือใต้เท้ากำลังจะแตกสลาย นางรีบเร่งผลักดันโม่จิ่นให้ออกไป
“ได้!”
ทั้งสองพากันออกไปด้วยความเร็วขั้นสูงสุด จวบจนพวกเขาออกจากเรือวิญญาณมรณะลำนั้นมาแล้ว มันก็สลายเป็นผงจนสิ้น
และทางผ่านไปคุกดำก็มลายหายไปอย่างสมบูรณ์…
สายตาของมู่เฉียนซีหม่นหมองลง จิ่วเยี่ยเขาก็ต้องกลับไปยังที่ของตนเอง ผู้ที่เข้าไปในเรือวิญญาณมรณะในครั้งนี้ นอกจากมู่เฉียนซีและโม่จิ่นแล้ว ไม่มีใครมีชีวิตรอดกลับออกมาได้แม้แต่คนเดียว ยอดฝีมือส่วนมากของเกาะวิญญาณมรณะส่วนมากถูกฝังกลบไปเป็นที่เรียบร้อย
เกรงว่าการมีอยู่ของเกาะวิญญาณมรณะ ก็คงเป็นไปเพื่อเอาไว้เปิดทางผ่านแห่งนั้น
มาตอนนี้โม่จิ่นเป็นใหญ่ คำสั่งเดียวที่เขาได้ถ่ายทอดออกไปนั่นก็คือ…หาสมุนไพร!
อาชญากรที่ได้ทำความผิดชั่วร้ายและต้องโทษทั้งเกาะกลับถูกขอให้ช่วยตามหาสมุนไพรแปลกประหลาดนานาชนิด เมื่อได้สมุนไพรมาพอประมาณแล้ว ก็ถึงเวลาที่มู่เฉียนซีจะต้องจากไป
แผนชั่วของเจ้าภูตนั่นจะไม่มีทางสำเร็จ และผู้ที่ถูกขังอยู่ในนั้นก็ยังคงออกไปจากนอกเกาะไม่ได้
มู่เฉียนซีกล่าวถามขึ้นอย่างไม่จริงจังเท่าใดนัก “โม่จิ่น เจ้าอยากออกไปจากเกาะวิญญาณมรณะหรือไม่ ?”
“ออกจากเกาะ นอกจากตายแล้ว ข้าจะออกจากเกาะไปได้อย่างไรกันล่ะ ?”
มู่เฉียนซี “มิใช่ว่าจะทำไม่ได้นี่! ถ้าหากว่าเจ้าบรรลุขั้นมหาจักรพรรดิแล้ว มันก็ง่ายขึ้น”
“เป็นไปได้ยาก” โม่จิ่นแย้ง “อยู่ที่เกาะวิญญาณมรณะ ไม่มีใครบรรลุขั้นมหาจักรพรรดิได้หรอก” “ข้ามีอยู่วิธีหนึ่งที่น่าจะลองดู ถ้าหากว่าเจ้าสามารถออกไปได้สำเร็จ เจ้าจะต้องทำงานให้ข้าสามปีโดยห้ามคิดไม่ซื่อ เป็นเช่นไร ?” มู่เฉียนซีเสนอ
“หึ ๆ การที่ข้าต้องขายตัวเองสามปี เมื่อเทียบกับการถูกขังไปตลอดชีวิต มันไม่ต้องเทียบอะไรให้เสียเวลาเลย ข้าตกลง!”
“ได้ งั้นเจ้ารอประเดี๋ยว” มู่เฉียนซีพยักหน้า เดิมทีนางไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก แต่เมื่อได้สมุนไพรวิญญาณล้ำค่าจำนวนไม่น้อยมาจากเรือวิญญาณมรณะ ตอนนี้ความคิดของนางเปลี่ยนแล้ว นางคิดว่าคงไม่เป็นไรถ้าหากจะลองดู
มู่เฉียนซีนำเอาหม้อเทพนิรันดร์ออกมา นางเริ่มปรุงยาอีกครั้ง เวลานี้สภาพการณ์รอบด้านนั้นปลอดภัยแล้ว แน่นอนว่าความสงบไร้คนรบกวนเช่นนี้นางสามารถปรุงยาให้ถึงขั้นได้ผลดีที่สุดได้แน่ กลิ่นหอมของยาโชยมาปะทะจมูกโม่จิ่นอย่างจัง เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาในทันใด
“โอ้! หอมยา มันคือกลิ่นหอมของยา!”
เม็ดยากลม ๆ โต ๆ เม็ดหนึ่งถูกยื่นมาที่ด้านหน้าของโม่จิ่น มู่เฉียนซีกล่าว “กินสิ แล้วมาดูกันว่าเจ้าสามารถบรรลุขั้นมหาจักรพรรดิได้หรือไม่”
เกาะวิญญาณมรณะแห่งนี้มีการปิดผนึกพลังที่แข็งแกร่งยิ่งนัก แต่อย่างไรเสีย ใครจะคาดถึงว่าในใต้หล้านี้จะมีนักปรุงยาที่สามารถปรุงยามาท้าทายการปิดผนึกพลังมาที่เกาะวิญญาณมรณะแห่งนี้ และยังได้หลอมยาให้กับนักโทษเป็นการเฉพาะอีกด้วย
โม่จิ่นกลืนยานั้นเข้าไปอย่างไม่รอช้า ฉับพลันกำแพงที่กั้นมิให้บรรลุระดับมหาจักรพรรดิก็ได้ถูกทำลายลง พลังวิญญาณของเขาไหลพลุ่งพล่านราวกับน้ำเดือดทะลักล้นหม้อ “โอ้! สำเร็จแล้ว ข้าบรรลุขั้นมหาจักรพรรดิได้แล้ว”
ผลสุดท้าย ปรากฏว่ามู่เฉียนซีพาโม่จิ่นที่บรรลุขั้นมหาจักรพรรดิแหกคุกเสียแล้ว
ผู้พิทักษ์อาวุโสถูกจัดการไปหมด หลังจากนี้คงไม่มีคนที่สามารถตามจับโม่จิ่นได้ เขาแหกคุกได้อย่างราบรื่น
ท่ามกลางท้องทะเลไร้ที่สิ้นสุด พวกเขาผ่านเกาะจำนวนมาก ในที่สุดก็ได้เข้าไปใกล้เกาะที่ใหญ่ที่สุดของทวีปเสียโจวนั่นก็คือเกาะใต้
พวกเขาเติมเสบียงและสิ่งของจำเป็น อีกทั้งยังเข้าไปกว้านซื้อของตามร้านโอสถที่มีอยู่ทั้งหมดมา
โม่จิ่นรู้สึกจนปัญญากับนายหญิงคนใหม่ของตนเอง โดยปกติแล้วเหล่าสตรีเข้าเมืองเข้าตลาด มักจะซื้อของจำพวกแป้งผัดหน้าและสิ่งของแต่งหน้าแต่งตาชนิดต่าง ๆ ทว่านางผู้นี้ กลับสนใจเพียงสมุนไพรวิญญาณ
เมื่อนางเห็นสมุนไพรวิญญาณที่ดูแปลกประหลาด นางสนใจในพวกมันมากเสียกว่าสนใจในตัวของเหล่าชายงามเสียอีก
ราคาของสมุนไพรวิญญาณนี้ก็ไม่รู้ว่ามันแพงกว่าแป้งผัดหน้าตั้งไม่รู้กี่เท่า เขาเดินตามนาง ช่วยนางจ่ายเงินเสียจนมือไม้อ่อน นี่นาง…
สุรุ่ยสุร่าย!
มือเติบ!
มือเติบอย่างยิ่งยวด!
ในตอนนี้เอง เสียงใสแจ๋วเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น “อาจิ่น เจ้า… เจ้าออกมาจากเกาะวิญญาณมรณะแล้ว ข้าจำคนไม่ผิดแน่”