ซู่ซินเซี่ยกล่าวตำหนิโทษมู่เฉียนซีอยู่ในใจโดยที่นางไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองนั้นอยู่ใกล้กับเทพแห่งความตายมากแค่ไหนแล้ว
นางคิดว่ากลิ่นอายแห่งจิตสังหารนั้นเพียงแค่ข่มขู่เท่านั้น ถึงอย่างไรเสียคงไม่มีผู้ใดกล้าสังหารคนในหอตำราของสำนักศึกษาซวนเสียแน่นอน ทว่า นางไม่รู้เลยว่าจิ่วเยี่ยนั้นไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักศึกษาซวนเสีย
ต่อให้จิ่วเยี่ยทำให้คนในสำนักศึกษากลายเป็นโครงกระดูกขาว สำนักศึกษาซวนเสียก็มิอาจทำอะไรเขาได้
มู่เฉียนซีจับแขนจิ่วเยี่ยไว้ ถึงอย่างไรเสียที่นี่ก็คือสำนักศึกษาซวนเสีย ทางที่ดีอย่าได้สร้างปัญหาจะดีกว่า
พลังอันรุนแรงพัดกระโชกไปกระทบกับร่างของซู่ซินเซี่ยจนนางกลิ้งลงไปจากบันไดชั้นหก!
ในเมื่อไม่ยอมไสหัวไปเอง เช่นนั้นก็จะช่วยสงเคราะห์ให้
“อ๊า!” เสียงกรีดร้องดังลั่นขึ้นที่บันได สีหน้าของซู่ซินเซี่ยตอนนี้ซีดเผือดจนกระทั่งร่างของนางตกลงมาหยุดอยู่ที่ชั้นสาม
จิ่วเยี่ยไว้ชีวิตนางก็นับว่าเป็นโชคดีของนางมากแล้ว มู่เฉียนซีกลัวว่าจิ่วเยี่ยจะถามคำถามนั้นขึ้นมาอีกครั้ง นางจึงรีบกล่าวขึ้นก่อนว่า “เราขึ้นไปดูชั้นเจ็ดกันเถอะ!”
เขาอยากจะอยู่นานแค่ไหนก็แล้วแต่เขาเถอะ! ถึงอย่างไรเสียทักษะเทียนซวนของนางก็ยังฝึกฝนไม่ถึงขั้นชำนาญ ยังต้องการอาจารย์ท่านนี้อยู่!
จิ่วเยี่ยพยักหน้าพลางกล่าว “อืม!”
ชั้นเจ็ด ชั้นแปด ชั้นเก้า หาไม่เจอสักชั้น
มู่เฉียนซีกล่าว “ดูท่าแล้วคงต้องไปหาดูเบาะแสที่สำนักในแล้วหล่ะ จิ่วเยี่ย เจ้าน่าจะเข้าไปด้านในได้ เจ้าไปหาที่นั่นก่อน!”
“อืม!”
ทันทีที่มู่เฉียนซีออกมากับจิ่วเยี่ย ก็ได้พบว่าด้านหน้าหอตำรามีผู้คนจำนวนมากยืนอยู่
“เจ้าก็คือมู่เฉียนซีใช่หรือไม่ ถึงแม้ว่าเจ้าจะสอบผ่านแล้ว แต่เจ้าก็ยังไม่ได้เป็นนักเรียนชั้นระดับกลางอย่างเป็นทางการ การที่เจ้าข้ามขึ้นไปชั้นหกเช่นนี้มันขัดต่อกฎเกณฑ์โดยสิ้นเชิง!”
มู่เฉียนซีมองไปยังคนแปลกหน้าเหล่านี้และกล่าวว่า “ข้าละเมิดกฎแล้ว เช่นนั้นจะได้รับโทษเช่นไรล่ะ ถูกออก หรือว่าสิ่งใด!”
“ไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นถูกออกหรอกนะ อย่างน้อยก็แค่หักค่าวิญญาณจำนวนหนึ่งหมื่น!”
“ใช่! หักค่าวิญญาณหนึ่งหมื่น!”
ในกลุ่มนี้ ไม่เพียงแต่มีนักเรียน แต่ยังมีท่านอาจารย์อีกด้วย อีกอย่างคนพวกนี้ก็ล้วนแต่เป็นคนชั้นระดับกลางทั้งสิ้น มู่เฉียนซีไม่เข้าใจ แค่เข้าไปอ่านตำราในหอตำราเพียงแค่ครึ่งวัน เหตุใดถึงมีคนมาหาเรื่องถึงที่ได้เช่นนี้
มู่เฉียนซีเหลือบไปเห็นหญิงสาวชุดขาวผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังกลุ่มคนเหล่านี้ แสงสลัววาบผ่านดวงตานาง ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!
มู่เฉียนซีกล่าว “จิ่วเยี่ย เอาป้ายคำสั่งของอาจารย์ใหญ่ให้ข้า!”
“อืม!”
มู่เฉียนซีรับป้ายคำสั่งและเดินไปตรงหน้าอาจารย์ผู้ที่ส่งเสียงดังที่สุดผู้นั้น นางกล่าว “พวกเจ้าเบิกตาดูเอาเองว่านี่คือสิ่งใด”
“ป้ายคำสั่งของท่านอาจารย์ใหญ่!”
“เป็นป้ายคำสั่งของท่านอาจารย์ใหญ่จริง ๆ ด้วย!”
ป้ายคำสั่งหนึ่งแผ่นยังคงทำให้พวกเขาไม่ยอมแพ้ “ป้ายคำสั่งนี้ไม่ใช่ของเจ้า แถมยังเป็นของผู้อื่นอีก เจ้ามีสิทธิ์ใดเอามากล่าวอ้าง!”
มู่เฉียนซีกล่าว “ป้ายคำสั่งนี้ไม่ใช่ของข้า แต่เป็นของท่านอาจารย์ข้า ท่านอาจารย์ของข้านำป้ายคำสั่งของอาจารย์ใหญ่พาข้าขึ้นไปอ่านตำราการฝึกฝนในชั้นบน ไม่ได้เหรอ ?”
พวกเขาต่างก็พากันจ้องมองไปที่เงาร่างชุดดำนั่น และรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ!
“เขาเป็นอาจารย์ของเจ้างั้นเหรอ ?”
กลิ่นอายของจิ่วเยี่ย และการแต่งกายของเขานั้นแตกต่างไปจากอาจารย์คนอื่น ๆ ไปโดยสิ้นเชิง ทำให้พวกเขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งนี้จริง ๆ
มู่เฉียนซีกล่าว “หากพวกเจ้าไม่เชื่อ ก็ไปถามอาจารย์ใหญ่ได้ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นการจัดการของอาจารย์ใหญ่ทั้งสิ้น!”
มู่เฉียนซีเดินกลับมาตรงหน้าจิ่วเยี่ย ยื่นป้ายคำสั่งคืนให้เขาก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “อาจารย์จิ่วเยี่ย เราไปกันเถอะ!”
ร่างชุดดำกะพริบและได้อันตรธานหายไปต่อหน้าพวกเขา พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหายไปทางไหน
รวดเร็วยิ่งนัก! แข็งแกร่งยิ่งนัก! สำนักศึกษาของพวกเขามีอาจารย์ที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ด้วยเหรอ เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน
ซู่ซินเซี่ยที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ส่งเสียงร้องห่มร้องไห้ขึ้น ร้องไห้จนนักเรียนชายที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็รู้สึกเจ็บปวดใจ
“ซินเซี่ยเจ้าอย่าร้องไห้ไปเลยนะ สาวน้อยผู้นั้นมีผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนั้นคอยปกป้องอยู่ ตอนนี้พวกเรายังทำอะไรนางไม่ได้!”
“คนผู้นั้นก็หยิ่งยโสเกินไปแล้ว นางเตะเจ้าตกบันไดเพียงเพราะเจ้าขวางทางนาง”
“ห้องเรียนชั้นระดับต่ำปล่อยให้นางเย่อหยิ่งได้ตามใจ รอให้นางเข้ามาชั้นระดับกลางก่อนเถอะ คอยดูก็แล้วกันว่าพวกเราจะจัดการกับนางเช่นไร!”
“อาจารย์ในชั้นเรียนระดับต่ำกับชั้นเรียนระดับกลางนั้นคนละคนกัน รอให้นางได้เปลี่ยนอาจารย์ก่อนเถอะ ดูซิว่าใครจะปกป้องนางอยู่”
วันต่อมา มู่เฉียนซีก็ได้เข้าชั้นเรียนระดับกลางอย่างเป็นทางการแล้ว และผู้ที่เข้าชั้นระดับกลางเช่นกันนั้นก็คือโม่ซางคง
ฉินปานั้นอ่อนแอไปเล็กน้อย ครั้งนี้จึงแย่งชิงธงไม่สำเร็จ แต่เขากลับพยายามที่จะฝึกฝนให้มากขึ้น เพื่อแย่งชิงธงให้สำเร็จในการทดสอบครั้งหน้า
นักเรียนทั้งเก้าคนถูกมอบหมายให้เป็นศิษย์ของอาจารย์ในชั้นระดับกลางตามปกติ ส่วนอาจารย์ของมู่เฉียนซีนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นจิ่วเยี่ยอยู่
นี่เป็นสิ่งที่ทำให้คนที่ศรัทธาซู่ซินเซี่ยเหล่านั้นที่รอจัดการกับมู่เฉียนซีต้องผิดหวังแล้ว ส่วนซู่ซินเซี่ยเมื่อรู้ว่ามู่เฉียนซียังไม่ได้เปลี่ยนอาจารย์ ยังคงเป็นชายผู้นั้นที่อยู่ใกล้ชิดสนิทกันตลอดเวลา นางก็ยิ่งทวีความโกรธกัดฟันกรอดอย่างเคียดแค้นมากขึ้น
“ไม่ได้ ข้าต้องคิดหาวิธี!”
เวลาหนึ่งเดือนผ่านไป มู่เฉียนซีก็ต้องไปดูผลลัพธ์ของการฝึกฝนที่หน่วยสำนักปรุงยาสักหน่อยแล้ว
มู่เฉียนซีแปลงร่างเป็นอาถิงและมาถึงหน่วยสำนักปรุงยา สุดท้ายก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังมาจากสวนบุปผา
“ฮือฮือฮือ! ท่านพ่อ ข้าจะต้องเป็นนักเรียนของอาจารย์หวงจิ่วเยี่ยให้ได้ ท่านพ่อช่วยข้าหน่อยเถอะนะ! ท่านพ่อแค่ไปพูดกับอาจารย์ใหญ่ฉู่ ในฐานะที่ท่านพ่อเป็นรองอาจารย์ใหญ่ของหน่วยสำนักปรุงยา เขาต้องตอบตกลงแน่ ๆ”
มู่เฉียนซีชะงักฝีเท้าลง มีคนจะขัดเจตนาของอาจารย์นางงั้นเหรอ ?
ร่างชุดขาวนั้นช่างคุ้นตายิ่งนัก เป็นหญิงสาวที่เข้ามาชวนจิ่วเยี่ยคุยในหอตำราผู้นั้น จากนั้นก็ยั่วยุให้คนอื่น ๆ มาหาเรื่องเล่นงานนาง
รองอาจารย์ใหญ่กล่าว “ตาเฒ่าฉู่นั่นเป็นคนหัวดื้อ เขาอาจจะไม่ฟังพ่อก็ได้ อีกอย่างหวงจิ่วเยี่ยผู้นั้นก็แปลกประหลาดยิ่งนัก พ่อสืบข่าวหาที่มาที่ไปของเขาไม่ได้เลย คนเช่นนี้ ทางที่ดีเจ้าอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลยนะ”
ซู่ซินเซี่ย “ท่านพ่อ หากท่านพ่อไม่ช่วยข้า ข้าจะอดข้าวอดน้ำไม่กินอะไรเลย อีกอย่างด้วยรูปร่างหน้าตาของข้าแล้ว ขอเพียงแค่ได้สนิทสนมกับเขา เขาต้องมองเห็นความดีของข้าแน่ ๆ”
รองอาจารย์ใหญ่ก็ถูกบุตรสาวเตือนสติเข้าแล้ว ก็จริง!
ชายผู้นั้นแข็งแกร่งมาก พลังความแข็งแกร่งก็ยากที่จะคาดเดาได้ หากบุตรสาวของตนเองมีความสัมพันธ์กับเขา บางทีอาจจะช่วยให้เขาได้เป็นอาจารย์ใหญ่ของหน่วยสำนักปรุงยาก็ได้
“พ่อจะลองดู! ดูว่าจะสำเร็จหรือไม่!”
“ขอบคุณท่านพ่อ!”
สำหรับแผนการของสองพ่อลูกนี้ มู่เฉียนซีไม่ได้สนใจเลย เพราะนางรู้ดีอยู่แล้วว่าพวกเขาต้องทำไม่สำเร็จแน่นอน
“พระเจ้า! ปีศาจมาแล้ว!”
“ปีศาจมาแล้ว ปีศาจมาแล้ว!”
“……”
ทันทีที่มู่เฉียนซีมาที่ห้องเจ็ดทุกคนในห้องเจ็ดต่างก็ตื่นตระหนกขึ้น
สมญานามที่เรียกมู่เฉียนซีเช่นนี้ แน่นอนว่านางไม่ได้สนใจแต่อย่างใด แต่สิ่งที่นางสนใจนั่นก็คือ……
“เอาผลงานของพวกเจ้ามาให้ข้าดูเถอะ! พวกเจ้าคงไม่มีใครแอบขี้เกียจหรอกใช่หรือไม่!”
“ท่านอาจารย์ พวกข้าจะกล้าแอบขี้เกียจได้เช่นไรกันล่ะ ท่านดูตาข้าสิแดงก่ำไปหมดแล้ว ขอบตาก็ดำราวกับเอาถ่านมาทาแล้ว!” เฟิ้งชิงอู่กล่าวอย่างน่าสงสาร
“ท่านอาจารย์ ท่านดูสิ ข้าซูบผอมลงไปมากแล้ว!”
“ข้า……”
“พูดไร้สาระให้มันน้อย ๆ หน่อย ส่งเม็ดยามาดูซิ!”
และผลจากการที่ส่งเม็ดยาก็คือเสียงร้องโหยหวนนั่นเอง เมื่อไม่ผ่าน ก็จะมีประสบการณ์ราวกับอยู่ในนรกนั่นเอง
รองอาจารย์ใหญ่ของหน่วยสำนักปรุงยาได้ไปหาอาจารย์ใหญ่ในเรื่องที่จะเพิ่มนักเรียนคนหนึ่งให้กับอาจารย์จิ่วเยี่ย แต่ก็โดนอาจารย์ใหญ่ฉู่ขับไล่ออกมาทันที
เขายังคิดว่าตนเองนั้นยังมีชีวิตอยู่ไม่นานพอ ยังไม่อยากตายก่อน!
ท่านพ่อของตนเองจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ ซู่ซินเซี่ยรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก จนในที่สุดนางก็ตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับมู่เฉียนซี ยากมากที่จะหยุดมู่เฉียนซีเอาไว้ได้ในขณะที่นางกำลังเดินเล่นอยู่ในสำนักศึกษา
นางถือกล่องอาหารกล่องหนึ่งและตะโกนขึ้นพลางเดินไปที่มู่เฉียนซี “สหายมู่เฉียนซี!”