ซู่ซินเซี่ยม้วนตัวเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง พลังของนางฟื้นฟูขึ้นมากกว่าก่อนหน้าอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ
มู่เฉียนซีกล่าวเชิงหยอกล้อ “ก็ดีที่เจ้ามาพอดี ข้ากำลังกังวลอยู่เลยว่าเจ้าแพ้ไปเช่นนั้นมันก็น่าเบื่อเกิน ไหน ๆ เจ้าก็โผล่มาแล้ว หงายไพ่ตายของเจ้าออกมาแล้วสู้กันสักครั้งเถอะ”
เงาร่างสีขาวเคลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวซู่ซินเซี่ยก็ขึ้นมายืนบนแท่นเพื่อประลอง
“มู่เฉียนซี วันนี้ข้าจะต้องทำให้เจ้าเสียใจที่มาล่วงเกินข้า”
มู่เฉียนซีไม่สะทกสะท้าน “เหมือนข้าจะจำได้ว่าข้าไม่เคยล่วงเกินอะไรเจ้า ทั้งหมดล้วนเป็นความวุ่นวายที่เจ้าก่อเองทั้งสิ้น เจ้ามันจอมหาเรื่อง”
“เป็นเพราะเจ้านั่นแหละ ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า! อาจารย์หวงจิ่วเยี่ยถึงไม่สนใจข้า นี่เจ้ายังกล้ามาเล่นลิ้นอีกรึ ?”
“ต่อให้ไม่มีข้า จิ่วเยี่ยก็ไม่สนใจผู้อื่นหรอก” มู่เฉียนซียักไหล่
นี่คือเรื่องจริง …ก็เจ้าก้อนน้ำแข็งนั่นทำเป็นเพียงฆ่าคนเท่านั้น นางพูดผิดซะที่ไหน
“มู่เฉียนซี ไม่ว่ายังไงวันนี้ข้าก็ไม่ปล่อยให้เจ้ารอดไปได้” จิตสังหารแรงกล้าที่แผ่ออกมาจากร่างของซู่ซินเซี่ยไม่เคยปรากฏมาก่อน
ทุกคน ณ ที่นั้นล้วนตกตะลึง สตรีที่อ่อนโยนและจิตใจดีงามมาโดยตลอด บัดนี้ระเบิดจิตสังหารเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร
ไม่เพียงเท่านั้น ครู่ต่อมาพลังความแข็งแกร่งของซู่ซินเซี่ยก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ระดับพลังความแข็งแกร่งของนางพุ่งขึ้นไปที่จักรพรรดิแห่งภูตระดับห้าแล้ว
“ข้าว่าแล้ว เจ้ามีบิดาเป็นถึงรองอาจารย์ใหญ่ เจ้าก็คงต้องมียาเม็ดที่เอาไว้เพิ่มพลังอยู่บ้างนั่นแหละ แต่เพิ่มพลังความสามารถขึ้นมาเพียงขั้นเดียวนี่มันไม่น้อยไปหน่อยหรือ ?” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเกียจคร้าน น้ำเสียงเจือความดูถูกอย่างปกปิดไม่มิด
“มู่เฉียนซี เจ้าเลิกพล่ามได้แล้ว ข้าทะลวงพลังเข้าสู่ระดับห้าเพราะการต่อสู้เมื่อครู่นี้ มิได้ใช้ยาอย่างที่เจ้าคิด”
การสอบประจำเดือนนี้ของสำนักศึกษาซวนเสียนั้น การใช้ยาเพื่อเพิ่มระดับของตนเองถือเป็นการทำผิดกฎ
คำพูดเช่นนี้สามารถหลอกผู้อื่นได้ แต่ไม่สามารถหลอกนักปรุงยาอย่างมู่เฉียนซีได้ ถ้าหากว่าเพิ่งได้เลื่อนระดับขึ้นมาใหม่ ๆ พลังความสามารถของซู่ซินเซี่ยจะไม่มั่นคงอย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้พลังความสามารถของนางกลับมั่นคงเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนผู้ที่เพิ่งได้เลื่อนขึ้นไปอีกระดับแม้แต่น้อย
พูดจามากความไปก็ไร้ประโยชน์ กระชากหน้ากากออกมาเสียเลยจะดีกว่า!
แม้นางคนขี้โกงนี้จะอยู่ในระดับห้า มู่เฉียนซีก็ยังมีวิธีที่สามารถรับมือได้
“ลมอ่อนทลาย!”
“มังกรวารีพิฆาต!”
เงาร่างสีขาวและสีม่วงพุ่งเข้าหากันพร้อมตัดกันไปมา ทั้งคู่รวดเร็วมากเสียจนเวลาเพียงชั่วพริบตาก็สู้กันไปไม่รู้กี่กระบวนท่าแล้ว แม้พลังความแข็งแกร่งของซู่ซินเซี่ยจะแข็งแกร่งกว่ามู่เฉียนซีถึงสี่ระดับ แต่ในเรื่องประสบการณ์ในการต่อสู้รวมถึงความเร็ว นางไม่อาจเทียบมู่เฉียนซีได้ ความห่างชั้นสี่ระดับนั้นกลายเป็นความเสมอภาคไป
— แกรก! —
เสียงนิ้วของซู่ซินเซี่ยดังลอยมา นิ้วของนางพลันกลายเป็นนิ้วที่คมกริบขึ้นมาทันที
“นั่น… นั่นคงมิใช่กรงเล็บแทงกระดูกกระมัง ?!” เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น
“แม่นางซู่ฝึกทักษะวิญญาณเช่นนี้จนสำเร็จได้จริง ๆ ข้านั้นไม่เคยคิดเลย…”
“แม่นางซู่อะไรกัน ต้องเรียกว่านางมารซู่สิถึงจะใกล้เคียง นี่เป็นวิชาชั่วร้ายวิชาหนึ่งที่หญิงมารนั่นได้ฝึกเมื่อตอนนั้น มันสามารถฉีกเนื้อหนังมังสาของศัตรูออกได้เป็นพัน ๆ ชิ้น”
“นึกไม่ถึงเลยว่าแม่นางซู่จะเป็นเช่นนี้ มิใช่ว่านางแสนอ่อนโยนเป็นคนดีเสมอมาหรอกหรือ ?”
“คนดี ๆ ไม่มีทางฝึกทักษะวิญญาณเช่นนี้แน่นอน ข้าได้ยินมาว่าทักษะวิญญาณนี่มัน…”
เสียงกระซิบกระซาบของผู้คนแล่นเข้าไปในหูของซู่ซินเซี่ย ทำให้สีหน้าของนางเพิ่มความโหดร้ายยิ่งขึ้น นางแค้นใจมาก วันนี้เพื่อสู้กับมู่เฉียนซี ถึงต่อให้ตัวนางเองต้องเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาก็คุ้มค่า
ไม่ว่าอย่างไร นางจะให้มู่เฉียนซีชดใช้อย่างแสนสาหัส
เสียงดังเสียดแก้วหูแหวกอากาศ กระบวนท่านี้ของซู่ซินเซี่ยมุ่งเข้าเล่นงานฝ่ายตรงข้ามอย่างดุดัน
มู่เฉียนซีใช้ปลายเท้าดีดตัวจากพื้นขึ้นไปอยู่กลางอากาศก่อนจะปล่อยพลังลงไปต้าน “ทักษะเทียนซวน!”
— ตูม! —
ซู่ซินเซี่ยหลบหลีกทักษะเทียนซวนไปได้ มือทั้งสองข้างของนางแปรสภาพเป็นอาวุธที่คมที่สุดอีกครั้ง นางพุ่งไปทางมู่เฉียนซี แววตาแทบลุกเป็นเพลิง
หากโดนกรงเล็บแทงกระดูกนี้เข้าไป คนที่ได้เปรียบขึ้นมาต้องเป็นนาง นางเท่านั้น
“มู่เฉียนซีเจ้าอย่าคิดหลบเชียว เจ้าเก่งกาจนักมิใช่รึ ? จะมาหลบข้าทำไม ?”
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้ากลัวใช่ไหมล่ะ ? เจ้ากลัวว่าข้าจะฉีกหน้าเจ้าออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยนับร้อยพันใช่ไหมล่ะ ?!”
“ทำไมบุรุษที่เก่งกาจดังเช่นอาจารย์หวงจิ่วเยี่ยถึงได้ดีแต่กับเจ้าเพียงผู้เดียว ทำไมเขาถึงรักเจ้าเพียงผู้เดียว หากว่าข้าฉีกใบหน้าของเจ้าให้ยับเยิน ดูซิว่าเขาจะยังต้องการเจ้าอีกหรือไม่”
ความริษยาเต็มทรวงนี้ทำให้นารีเป็นบ้าจนน่ากลัวขึ้นมาอย่างมาก ผู้ที่อยู่รอบบริเวณนั้นรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก …สหายสตรีที่พวกเขาชื่นชมกลายเป็นปีศาจอะไรไปแล้วก็ไม่รู้
แววตาและใบหน้าของแม่นางซู่เสมือนไม่ใช่แบบเดิมที่พวกเขาเคยรู้จักแล้ว ศิษย์หลายคนตะโกนขึ้น “สหายมู่ รีบลงมาจากแท่นประลองเร็วเข้า!”
“ไม่ต้องสู้แล้ว หญิงผู้นั้นเป็นบ้าไปแล้ว เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง”
“ใช่! หากเจ้าถูกกรงเล็บแทงเข้า เช่นนั้นจะเป็นอันตรายมาก”
ปฏิเสธไม่ได้ว่าซู่ซินเซี่ยที่กำลังบ้าคลั่งอยู่ตอนนี้อันตรายมากจริง ๆ แต่นี่มิใช่เวลามายอมแพ้อย่างแน่นอน มู่เฉียนซีรวบรวมสมาธิจนถึงขั้นสุดเพื่อเรียกพลังมาใช้เคล็ดวิชาย่างก้าวเงาเทวาแล้วรีบหลบการโจมตีกระหายเลือดของซู่ซินเซี่ย
ร่างสีม่วงรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ฉับพลันเสียงตะโกนก็ดังขึ้น “มังกรวารีพิฆาต!”
“ทักษะตี้ซวน!”
“ทักษะเทียนซวน!”
นางหลบการโจมตีที่น่ากลัวของนางมารซู่ไปได้ แต่การโจมตีที่ซู่ซินเซี่ยยังคงปล่อยมาอย่างต่อเนื่องใกล้ตัวเข้ามาเรื่อย ๆ มู่เฉียนซีจึงได้นำเอาไพ่ตายใบสุดท้ายออกมา
กระบี่มังกรเพลิงถูกชักออกมา มู่เฉียนซีโบกสะบัดกระบี่ด้วยท่วงท่าแสนสง่า
“มังกรเพลิงพิฆาต!”
จังหวะที่มังกรเพลิงสีแดงฉานพุ่งออกไปนั้น ซู่ซินเซี่ยอัญเชิญสิ่งล้ำค่าออกมาสิ่งหนึ่งนั่นก็คือโล่หยกสีขาว
โล่หยกสีขาวป้องกันการโจมตีของมังกรเพลิงเอาไว้ ทำให้ซู่ซินเซี่ยไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
และทันใดนั้น…
— แกร๊ก! —
กระบี่ของมู่เฉียนซีหักอีกแล้ว
ทุกคนรอบบริเวณนั้นล้วนตะลึงงัน “กระบี่หักอีกครั้งแล้ว!”
“ทำไมกระบี่ของสหายมู่เฉียนซีถึงได้หักบ่อยนัก ?” “การโจมตีท่านั้นของกระบี่มังกรเพลิงร้ายกาจดีแท้ แต่เมื่อใช้ครั้งหนึ่งก็หักรอบหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินได้เห็นกระบี่เช่นนี้ น่าแปลกจริง ๆ”
กระบี่มังกรเพลิงของมู่เฉียนซีหักครั้งแล้วครั้งเล่า และมันก็ได้กลายเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่สุดเรื่องหนึ่งของสำนักศึกษาซวนเสีย แต่จะว่าไป เมื่อเห็นว่ามันหักครั้งแล้วครั้งเล่าก็เริ่มทำให้เหล่าศิษย์คนอื่น ๆ ชาชินกับเรื่องนี้
ซู่ซินเซี่ยเก็บโล่นั้นไปพลางหัวเราะอย่างได้ใจ “ฮ่า ๆ ๆ มู่เฉียนซี กระบี่ของเจ้าหักแล้ว ไพ่ตายใบสุดท้ายของเจ้าห่วยมาก ใช้ครั้งเดียวก็หักจนใช้การไม่ได้ ตอนนี้แหละ เจ้าต้องกลายเป็นแม่ทัพผู้พ่ายศึกภายใต้น้ำมือของข้า!”
เงาร่างสีขาวเพิ่มความเร็วมากขึ้นไปอีก หลังจากที่มู่เฉียนซีได้สู้กับนางหลายกระบวนท่า สุดท้ายนางก็กำลังจะไม่สามารถปัดป้องกรงเล็บที่น่าพรั่นพรึงนั่นได้
ซู่ซินเซี่ยรีบคว้าโอกาสนี้กวาดกรงเล็บเรียวยาวแหลมคมไปยังใบหน้ารูปทรงไข่อันงดงามที่นางริษยาเป็นหนักหนา
ทุกผู้คนที่ดูอยู่พากันร้องออกมา “สวรรค์โปรด! รีบหลบเร็วเข้าสหายมู่”
“ซู่ซินเซี่ยเจ้าโหดร้ายเกินไป เห็นได้ชัดว่าเจ้าก็ชนะแล้ว แต่มันจำเป็นต้องทำลายโฉมหน้าของผู้อื่นด้วยรึ ?”
“ซู่ซินเซี่ย เจ้าทำให้ทุกคนผิดหวังจริง ๆ”
ก่อนหน้านี้ศิษย์ส่วนมากในห้องเรียนระดับกลางล้วนแต่เรียกซู่ซินเซี่ยว่าแม่นางซู่ด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพ แทบจะยกนางให้เป็นองค์หญิงประจำห้อง เป็นสตรีงามผู้อ่อนโยนและเป็นคนดีอย่างที่สุด แต่การต่อสู้ในวันนี้ทำให้ได้เห็นธาตุแท้ของนาง พวกเขาจึงเรียกชื่อนางโดยตรง หลายคนถึงกับปิดตาไม่กล้ามอง เพราะเกรงว่าต่อจากนี้มู่เฉียนซีคงจะ…
— ตึง! —
แต่ทันใดนั้นเอง เสียงคนล้มลงไปบนพื้นดังให้ได้ยิน
ทุกคนตะลึงลาน ในตอนนี้ซู่ซินเซี่ยนอนตัวแข็งทื่ออยู่บนพื้นต่อหน้ามู่เฉียนซี ส่วนมู่เฉียนซีไม่ได้รับบาดเจ็บตรงใดเลย
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?
พวกเขาล้วนงุนงง นี่มันไม่สามารเข้าใจได้
อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่ซู่ซินเซี่ยเองก็ไม่เข้าใจ นางกำลังจะฉีกทึ้งใบหน้าที่นางเกลียดนักเกลียดหนาของมู่เฉียนซีอยู่ดี ๆ เหตุใดจู่ ๆ ร่างกายของนางถึงแข็งทื่อและขยับไม่ได้
จะร้ายดีอย่างไรซู่ซินเซี่ยก็เป็นบุตรสาวของรองอาจารย์ใหญ่ นางพลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“เจ้า… วางยา… ข้า…”
— ปัง! —
นางยังกล่าวไม่ทันจบคำก็ถูกมู่เฉียนซีถีบลงจากแท่นไป